TARADTHONG.COM
เมษายน 26, 2024, 09:34:30 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 16
31  สมาชิก VIP / General Discussion / สูตรช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์ เมื่อ: มิถุนายน 19, 2011, 04:40:50 PM
สูตรช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์



สำหรับ COST DOWN (ประหยัด) ให้ตนเอง

1. หากท่านใช้โทรศัพท์ มือถือ โทรไปหามือถือค่าย AIS ไม่มีคนรับได้ยินเสียงให้ฝากข้อความ ถ้าคุณวางสายก่อนสัญญาณเสียงตู๊ดจะไม่มีการคิดเงิน หากวางสายหลังหรือจนสายตัดไปเอง จะเสียค่าโทรตามเวลา 1นาที

2.หากท่านใช้โทรศัพท์ โทรไปหามือถือค่าย DTAC ไม่มีคนรับได้ยินเสียงให้ฝากข้อความ ไม่ว่าคุณวางสายก่อนหรือหลังสัญญาณเสียงตู๊ด จะเสียค่าโทรตามเวลา 1นาที ดังนั้น หากไม่มีใครรับสายเกิน 4 ตู๊ด ให้กดสายทิ้งทันที ก่อนฝากเสียง จะได้ไม่เสียเงิน

3.หากท่านใช้โทรศัพท์ โทรไปหามือถือค่าย True ไม่มีคนรับ ได้ยินเสียงให้ฝากข้อความ ไม่ว่าคุณวางสายก่อนหรือหลังสัญญาณเสียงตู๊ด จะเสียงค่าโทรตามเวลา 1นาที ค่าโทรที่ เกิดขึ้น ทศท. จะแบ่งกับ DTAC,AIS, ORANGE ในอัตราส่วนที่ตกลงกันโดย 70%จะเป็นของ DTAC,AISและ ORANGE เป็นของ ทศท. 30%

4.แต่ที่แย่กว่านั้ นหากใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์บ้านหรือมือถือโทรเข้าไปโทรศัพท์ของ TA  หากไม่มีคนรับแล้วได้ยินเสียงเรียกตู๊ด เกินกว่า 3ครั้งจะเสียค่าบริการทันที ครับอย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆด้วย

5. อย่าเกิน 4 ตู๊ด คุณว่าทุกวันนี้คุณจ่ายค่าโทรศัพท์ แพงเกินไปรึป่าว เราเป็นคนนึงที่ใช้โทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์และสงสัยกับค่าโทรศัพท์ที่ ขึ้น มาในบิลแต่ละเดือนว่าทำไมมันมากผิดปกติ ทั้งๆ ที่เรานึกๆ ดูแล้วก็ไม่ได้คุยบ่อยเท่าไหร่

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเราก็เริ่มสังเกตดูจากบิลค่าโทรศัพท์ที่บ้านเรา เวลาบิลที่ส่งมาจะมีบอกเบอร์มือถือที่เราโทรออก เราก็เห็นว่าทำไมเราถึงโทรหาเพื่อนคนเดิมเบอร์เดิมติดต่อกันในช่วงเวลาเดียว กัน คือมันจะขึ้นมาเป็นแถบเลยว่าโทรเบอร์นี้เวลานี้อาจจะห่างกันสัก 5นาที แต่ว่ายังเป็นเบอร์เดียวกันอยู่ แล้วแต่ละครั้งก็จะโทรนาน1นาที คิดเป็นเงิน 3บาทเราก็รู้สึกแปลกๆว่าเราจะโทรติดๆกันทำไม โทรติดคุยกันก็เลิกแล้ว
ไม่ต้องโทรติดๆ กันหลายครั้งแล้ว

เวลาเราโทรเราจะรอจนกว่าสายจะตัดตลอด จนมีอยู่วันนึง เราก็บ่นๆเรื่องนี้อยู่ พี่เราเค้าได้ยิน เค้าก็เลยบอกว่า ถ้าโทรไปไม่มีคนรับ แล้วเรารอโทรศัพท์เรียกเกิน 4 ครั้ง มันก็จะคิดตังค์เรา ไม่ว่าจะมีคนรับหรือไม่รับก็ตามเราก็เฮ้ยจริงเหรอ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะยังไม่ได้คุยเลยนะ

พอเดือนต่อมาเราก็เลยลองโทร เข้าเบอร์มือถือเรานี่แหละโทรเข้าไปแล้วรอจนสายตัดเลยหลายๆครั้งติดๆกัน พอบิลค่าโทรมาโอ้โฮ จริงๆ ด้วย เบอร์เราขึ้นมาเป็นแถบเลย เราก็เลยเซ็งๆมากๆว่าทำไมถึงทำกันอย่างนี้เราก็เลยอยากจะมาบอกทุกคนว่าให้ ระวังเอาไว้ อย่าโทรเกิน 4 ตู๊ดแล้วกัน เดี๋ยวเสียตังค์


หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดที่ทำให้กระจ่าง ก็มาจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย  
32  สมาชิก VIP / General Discussion / ดูทีวีติดต่อกันวันละ 2 ชม. คุกคามสุขภาพถึงชีวิต เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 05:04:51 PM
ดูทีวีติดต่อกันวันละ 2 ชม. คุกคามสุขภาพถึงชีวิต



 นี่คงเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ที่ชอบนั่งดูทีวีเลยทีเดียว เพราะเว็บไซต์เดลิเมลของประเทศอังกฤษ รายงานผลวิจัยอันน่าตื่นตระหนกว่า หากคุณมีพฤติกรรมนั่งดูทีวีติดต่อกันวันละ 2 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต

          ผลการวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารสาธารณสุขของสมาคมเภสัชกรรมแห่งอเมริกา เป็นผลงานของด็อกเตอร์ แอนเดอส์ กรอนท์เว็ด จากมหาวิทยาลัยแห่งเดนมาร์กตะวันตก และด็อกเตอร์ แฟรงค์ ฮู จากวิทยาลัยสาธารณสุขฮาวาร์ด ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากผลงานวิจัยอื่น ๆ อีก 8 ชิ้น ที่สำรวจจากผู้คน 235,000 คนในอเมริกา โดยชี้ว่า คนที่มีพฤติกรรมนั่งดูทีวีติดต่อกันเฉลี่ย 2 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงจะเป็นโรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้มากกว่าคนทั่วไป นั่นคือ เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานประเภทที่สอง มากกว่าคนทั่วไปถึง 20%, เสี่ยงต่ออาการหัวใจวายเฉียบพลันและโรคหัวใจ 15% และเสี่ยงที่จะเป็นโรคอื่น ๆ ที่อาจร้ายแรงต่อชีวิตมากกว่าคนทั่วไปอีก 13%



          จากผลการสำรวจดังกล่าวทำให้คาดการณ์ได้ว่าจากประชากรทุก ๆ 100,000 คน จะพบผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่สอง 178 คน เสี่ยงเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ 38 คน และเสี่ยงต่อการเป็นโรคใด ๆ ก็ตามที่สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้อีก 104 คน โดยเหตุผลสำคัญของความเสี่ยงดังกล่าวมาจากการขาดการออกกำลังกายและการกินอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดขณะดูทีวี

          เมารีน ทัลบ็อธ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศอังกฤษ ได้กล่าวถึงผลการวิจัยนี้ว่า เป็นการเพิ่มความหนักแน่นให้กับข้อมูลที่ว่า พฤติกรรมที่ไม่ได้ใช้กำลังส่วนใดเลย เช่นการดูโทรทัศน์นี้ ยิ่งเพิ่มความเสียงการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่สอง และโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ และยังได้เสริมว่า ปัจจุบันนี้มีคนจำนวนมาก ใช้เวลาช่วงค่ำหลังเลิกงานไปกับการจมจ่อมที่โซฟาหน้าทีวี กินขนบขบเคี้ยวต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กับเครื่องดื่มรสหวานเช่นน้ำอัดลม หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ซึ่งจะกลายเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อโรคเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าหากคนพวกนั้นทำจนเป็นกิจวัตร



          "เราควรจะใส่ใจเรื่องระยะเวลาในการที่อยู่หน้าจอทีวีให้มากกว่านี้ และทำกิจกรรมอื่นที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายบ้าง อย่างเช่น การออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมงให้ได้อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

          แม้จะเป็นผลการสำรวจจากประชากรอเมริกัน แต่เชื่อเถอะว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ต่างไปจากชาวอเมริกัน และเราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ดีต่อสุขภาพแน่นอน เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงการใช้เวลาจมจ่อมกับสิ่งใดนาน ๆ โดยไม่ได้ออกแรง และอย่าลืมแบ่งเวลามาออกกำลังกายกันด้วยนะคะ
33  สมาชิก VIP / General Discussion / ศึกชิงความเป็นหนึ่งของ Google-Facebook-Apple เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 04:58:44 PM
ศึกชิงความเป็นหนึ่งของ Google-Facebook-Apple



Google-Facebook-Apple ศึกยักษ์ชิงความเป็นหนึ่งบนโลกอินเทอร์เน็ต (นิตยสาร E-Commerce)
ผู้เขียน : บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์

           สถานการณ์บนโลกอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ คงเป็นภาวะที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์ในพงศาวดารจีนอย่างสามก๊ก ที่ต้องมีการชิงไหวพริบวางกลยุทธ์เพื่อทำศึก และเฝ้าศึกษาการทำยุทธ์พิชัยสงครามของฝ่ายตรงข้ามแต่ละฝ่ายเพื่อครองความเป็นใหญ่ในผืนแผ่นดิน แน่นอนว่าบนโลกอินเทอร์เน็ตก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ Google, Facebook และ Apple

           ถามว่าฝ่ายไหนได้เปรียบที่สุดคงจะตอบไม่ได้ เพราะแต่ละฝ่ายต่างมีดีติดตัวมาร่วมศึกกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Google ที่มีฐานสมาชิกบนโลกอินเทอร์เน็ต กับเครื่องมือค้นหาที่ได้รับความนิยม อีกทั้งระบบโฆษณาที่ทั่วโลกให้การยอมรับ Facebook ที่นับวันกำลังจะไล่ตามทัน Google เพราะทีเด็ดที่มากับระบบเครือข่ายสมาชิก อีกทั้งเป็นเครื่องมือในการทำการตลาดที่ยอดเยี่ยม โดยใช้ผู้เล่นในระบบเครือข่ายเป็นตัวหลักในการผลักดัน และประชาสัมพันธ์สินค้าบริการผ่านเกมเป็นส่วนใหญ่

           ส่วนน้องสุดท้ายคือ Apple ที่แม้จะมีกลยุทธ์ที่ดำเนินช้ากว่า 2 ยักษ์ใหญ่บนโลกออนไลน์แล้ว บนแพลตฟอร์มของอุปกรณ์ Apple ถือว่าเป็นผู้นำในเรื่องของการเปลี่ยนโลกทัศน์ที่นับวันจะมีไม้เด็ดออกมาสู่สายตาผู้ใช้งานในยุคของอินเทอร์เน็ตเป็นใหญ่นี้

เร่งรับปรับกลยุทธ์

           แม้ว่าแต่ละฝ่ายจะมีอาวุธที่ยอดเยี่ยมในการสู้ศึกสงครามออนไลน์ ที่สถานการณ์ของสงครามตอนนี้นับวันพร้อมที่จะประทุ และคุกคามจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปถึงแพลตฟอร์มอื่น เช่น อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ซึ่งแต่ละฝ่ายนั้นคงไม่นิ่งนอนใจ และเชื่อมั่นในอาวุธที่ใช้ฟาดฟันได้เต็มที่เท่าใดนัก เพราะหากไม่รู้ศาสตร์ในการวางกลศึก ไม่ทราบกำลังของศัตรู แม้จะมีอาวุธที่ร้ายกาจ และมีประสิทธิภาพดีเยี่ยมเพียงใดก็อาจจะมีสิทธิเพลี่ยงพล้ำ และแพ้ศึกได้แน่นอน ซึ่งตอนนี้ทั้งสามฝ่ายอย่าง Google, Facebook และ Apple ต่างเฝ้าติดตามกันและกัน อีกทั้งยังเริ่มที่จะปรับกลยุทธ์ใหม่ไปพร้อมกัน โดยมีเป้าหมายหลักก็เพื่อจะครองใจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด

           Google ได้ปรับแผนดำเนินการขององค์กรใหม่ หลังจากที่ Larry Page เข้ารับตำแหน่ง CEO โดยหวังว่าการปรับแผนองค์กรใหม่ของ Google ในครั้งนี้ จะทำให้ Google สามารถทิ้งระยะให้ห่างจาก Facebook ที่นับวันจะวิ่งไล่ทันเข้ามาทุกที โดยการแต่งตั้งให้ผู้บริการระดับสูงทั้ง 6 ท่าน ประจำตำแหน่งรองประธานอาวุโสในฝ่ายต่างๆ ทั้ง 6 ฝ่าย เพื่อเป็นการควบคุมการแบ่งแยก Product Area ของ Google ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
ผู้เขียนมีความเห็นว่าการแบ่งรองประธานอาวุโสประจำแต่ละฝ่ายในครั้งนี้จะมีผลต่อการดำเนินงานของ Google ได้มากขึ้นนั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Google สามารถดำเนินแผนงานได้อย่างรวดเร็ว และมีความกระชับมากขึ้นกว่าเดิม

           ล่าสุด Google เร่งรัดพัฒนาระบบปฏิบัติการที่กำลังจะใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาอย่างแท็บเล็ตที่คาดว่าจะเป็นโครงการที่มีความลือว่า อาจจะดึงขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่อย่าง Chrome OS ที่มีการทำงานผ่านระบบ Virtualization หรือ Cloud Computing และแพลตฟอร์มบนสมาร์ทโฟนอย่างระบบปฏิบัติการ Android ที่ตอนนี้ทาง Google เตรียมแผนการที่จะปรับเปลี่ยนมาตรฐานของการพัฒนาเจ้าระบบปฏิบัติการตัวนี้จากค่ายพัฒนาอิสระ ให้เป็นไปตามมาตรฐานและกฎของ Google ตั้งขึ้น เพื่อจะได้ไม่เกิดข้อแตกต่างในรุ่นของระบบปฏิบัติการ Android ที่ถูกแยกย้ายพัฒนาจากหลายแห่งมากจนเกินไป

           สำหรับ Facebook ที่ตอนนี้กำลังมาแรง และกำลังจะกำหนดการให้เป็นมาตรฐาน แม้กระทั่งเครื่องมือค้นหาหรือ Search Engine ชื่อดังอย่าง Yahoo ยังอาศัยบุญของเจ้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ตัวนี้ไปด้วย ซึ่งกลยุทธ์ในการสร้างเครือข่ายที่รองรับการทำการตลาดผ่านอินเทอร์เน็ตให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นนั้น ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของ Facebook ที่น่าจะดำเนินไปตามแผนดำเนินการเดิมที่ตั้งไว้

           แต่ใครจะทราบว่าช่วงหลังมีกระแสข่าวลือบนโลกอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับเจ้าบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ตัวนี้อย่างหนาหู อาจจะเพราะกรรมการผู้จัดการ หรือ CEO ของ Facebook นาย Mark Zuckerberg มีแฟนสาวเป็นชาวจีน ซึ่งมองดูเผิน ๆ อาจจะไม่เกี่ยวอะไร แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว Facebook มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่า Facebook กำลังมีกลยุทธ์ที่จะเข้าถึงกลุ่มประชากรที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และยังเป็นประเทศที่กำลังจะก้าวหน้าในเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างประเทศจีน

           ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวยังไม่ได้ถูกเปิดเผย และอาจจะเป็นเพียงข่าวลือหรือไม่ ผู้เขียนก็คงไม่สามารถยืนยันได้ เพราะเป็นเพียงข้อความที่ถูก Tweet ขึ้นไปผ่านบัญชีของ Hu Yanping ผู้ก่อตั้ง DCCI หรือศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Data Center of the China Internet) ซึ่งเป็นข้อความที่กล่าวถึง Facebook ว่า ได้ตกลงร่วมมือกับเครื่องมือค้นหาชื่อดังของจีนอย่าง Baidu แล้ว ไม่ว่าข้อความดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่ ผู้เขียนมีความเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น เพราะ Facebook เตรียมหาโอกาสในการเป็นคู่แข่งกับ Google มาโดยตลอด การหาพันธกิจอย่าง Yahoo และ Baidu นั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

           การที่ Facebook ก้าวเข้าไปสร้างเครือข่ายบนประเทศจีนนั้นถือว่าเป็นการปูทางให้แก่ผู้ใช้งานภาคธุรกิจของจีนที่จะเริ่มหันมาใช้ระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งยังถือว่าเรื่องที่แปลกมากในการสร้างสื่อใหม่ในประเทศจีน ที่แม้แต่ Google เองนั้นก็ยังไม่สามารถเข้าถึงได้มาเป็นเวลานานแล้ว ที่สำคัญผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าประชากรญี่ปุ่นนั้นไม่นิยมใช้ Google เป็นเครื่องมือค้นหา  กลับใช้บริการของ Yahoo เป็นไปได้ว่าเป้าหมายของ Facebook คือ 2 ประเทศนี้ที่ขึ้นชื่อว่าก้าวหน้าระดับต้น ๆ ในเอเชีย

           Apple ถือว่าเป็นฝ่ายที่มีความแรงในการเป็นที่หนึ่งในเรื่องของสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์พกพาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว วัดได้จากยอดขายสมาร์ทโฟน, iPhone และ iPad ที่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นชัดว่าการสื่อสารบนโลกอินเทอร์เน็ตนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ฝ่ายเดียวแต่อย่างใด ล่าสุดบริการ iAd ที่ Apple นำเสนอว่าจะเป็นบริการจัดการสื่อโฆษณาออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน, iPhone และ iPad หรือ App Store ช่องโหว่บางอย่างของเว็บบราวเซอร์ในอุปกรณ์สมาร์ทของแต่ละค่าย แต่ละระบบปฏิบัติการจะมีการแสดงผลป้ายโฆษณา หรือลิงก์อักษรโฆษณาที่แตกต่างกันไป ในสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมระดับแนวหน้าบางรุ่น อย่าง Android และ Apple นั้นบางทีการเข้าหน้าเว็บไซต์แทบไม่มีการแสดงผลโฆษณาออนไลน์จาก Google หรือบริการ Google Adsense ให้ปรากฏออกมาแต่อย่างใด

           อีกทั้งในทุกวันนี้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนที่นับวันแทบจะทำธุรกรรมทุกอย่างผ่านแอพพลิเคชั่นทั้งหมดก็เริ่มมีจำนวนมากขึ้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ Apple จะสร้างบริการ iAd ที่มีรูปแบบธุรกิจที่คล้ายคลึงกับ Advertise Service อย่าง Google Adsense ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ มาเป็นเครือข่ายลองเชิงผ่านแอพพลิเคชั่นบน App Store อย่างบริการ iAd ที่จะเป็นกลยุทธ์ที่น่าจับตามองของ Apple ซึ่งผลดีของบริการนี้อาจจะเป็นสิ่งที่สามารถต่อยอดไปสู่การขายสื่อโฆษณาจากหน้านิตยสาร ไปสู่โฆษณาที่ปรากฏบนหน้าของ E-Magazine

แอพพลิเคชั่นที่ต่างกันเพียงแพลตฟอร์ม

           ในเรื่องของตลาดแอพพลิเคชั่น ถ้าวิเคราะห์บนแพลตฟอร์มของสมาร์ทโฟนอาจจะมีการแข่งขันเพียง 2 ค่ายหลักคือ Android ของ Google และ iOS ของ Apple ที่ต่างพากันงัดลูกเล่นและชุดพัฒนาที่แสนจะอำนวยความสะดวกแก่เหล่านักพัฒนาให้สร้างสรรค์แอพพลิเคชั่นมากมายให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนได้เลือกใช้กันไม่หวาดไม่ไหว ทั้งบน Android App Market และ App Store หากถามว่า Facebook ที่ไม่มีแพลตฟอร์มของแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบหรือเปล่า

           ผู้เขียนเห็นว่า ฝ่ายที่ดูจะสบายที่สุด และไม่ต้องเปลืองตัวเปลืองกำลังในศึกของแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มนี้ นั่นก็คือ Facebook เพราะแอพพลิเคชั่นทุกตัวที่ปรากฏบน Store ของแต่ละค่าย ล้วนต้องมีการแทรกชุดโปรแกรมที่ต้องเชื่อมต่อกับบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ Facebook เกือบทุกแอพพลิเคชั่น ตั้งแต่แอพพลิเคชั่นจำพวกเกม ข่าว หรือ Feed RSS Reader ที่มาในรูปแบบของ E-Magazine อย่าง Flip Board ก็ยังต้องมีฟังก์ชั่นการทำงานสำหรับแบ่งปันข้อมูลที่เราสนใจผ่านหน้า Wall บนบัญชี Facebook ของเราให้เพื่อนในเครือข่ายได้รับรู้กันโดยทั่ว อีกทั้งเกมต่างๆ ที่เราเล่นบนสมาร์ทโฟน ก็ยังมีการแบ่งปันคะแนนสูงสุดที่เล่นได้ผ่าน Facebook อีกด้วย

           ดังนั้น แพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนจึงเป็นแพลตฟอร์มที่ Google และ Apple จำเป็นต้องพึ่งพา Facebook ผู้เขียนอาจจะเปรียบสถานการณ์ในแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนตอนนี้ให้เหมือนเรื่องสามก๊ก ก็คงจะเปรียบว่า Facebook นั้นเหมือนฝ่ายของง่อก๊ก ที่นำโดยซุนกวน ที่ต้องชำนาญยุทธวิธีการทำศึกบนน่านน้ำ ซึ่งเป็นยุทธ์พิชัยศึกที่จ๊กก๊กของเล่าปี่ และวุยก๊กของโจโฉไม่ชำนาญ ทั้งสองฝ่ายอาจจำเป็นต้องพึ่งพา และยอมเสียเปรียบในการเป็นพันธมิตรแบ่งผลประโยชน์บางอย่างเพื่อช่วยเหลือในการทำสงคราม ที่บางครั้งต้องอาศัยภูมิศาสตร์ทางน้ำและผู้ชำนาญ เป็นต้น

           แต่ถ้ามองในส่วนของแพลตฟอร์มบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ทำงานผ่านเว็บบราวเซอร์พื้นฐานทั้ง 3 ค่าย ต่างมีลูกเล่นที่โดดเด่นเฉพาะอย่าง โดยงัดมาต่อกรกันอย่างถึงพริกถึงขิง และคนที่เสียเปรียบในแพลตฟอร์มนี้กลับกลายเป็น Apple ที่แม้ว่า Apple จะมีบริการออฟไลน์/ออนไลน์ที่ยอดเยี่ยมอย่าง iTunes และเว็บบราวเซอร์ที่รวดเร็ว แสดงผลสวยงามอย่าง Safari อีกทั้งยังขับเคลื่อนทุกสิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีระบบปฏิบัติการของ Apple อย่าง Mac OS ก็ตาม หรือยอดขายที่ปรากฏส่วนใหญ่มาจากรูปลักษณ์และความเป็นมาตรฐานแม้จะมีปริมาณที่สูงพอควร อีกทั้งอาจจะเป็นผลพลอยได้จากผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone บางกลุ่มที่ถูกใจระบบจึงลองหันมาเปลี่ยนใจใช้เครื่อง Mac แต่กระแสตอบรับส่วนมากกลับไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเรื่องของ Widget และแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มของเครื่องคอมพิวเตอร์เท่าใดนัก อาจจะต้องยอมรับว่าลูกเล่นของเว็บบราวเซอร์มีผลต่อรายได้ที่ปรากฏอย่างต่อเนื่อง Firefox และ Google Chrome มี Add-On ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า Safari 

           ในตอนนี้ผู้อ่านหลายคนที่ใช้เครื่อง Mac อาจจะไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก แต่ผู้เขียนอาจจะต้องบอกให้ทราบว่า รายได้ที่มีต่อเนื่อง อย่างเช่น รายได้ของโฆษณาแฝงผ่านแอพพลิเคชั่นส่วนเสริมอย่าง Add-On แม้จะไม่มากเท่ายอดขายของตัวอุปกรณ์ เช่น เครื่อง Mac แต่ละปียอดขายอุปกรณ์อย่างเครื่อง Mac นั้นทำรายได้เพียงแค่ช่วงไตรมาสที่ 3 เพียงรอบเดียว แต่รายได้จากโฆษณานั้นเป็นอัตราที่ได้รับมาก-น้อย ต่อเนื่อง แต่ได้ทุกไตรมาสเมื่อทำการวิเคราะห์และประเมินผล โดยเฉลี่ยแล้วเป็นรายได้ที่ไม่ต่างกันเท่าใดนักในแพลตฟอร์มนี้

           Add-On และส่วนเสริมจึงเป็นอีกช่องทางที่ Google และค่ายเสรีอย่าง Firefox นั้นหันมาใช้เป็นช่องทางสร้างรายได้ โดยการแทรกโฆษณาผ่านป้ายอักษรและลิงก์ตัวอักษร เมื่อมีการเปิดใช้แอพพลิเคชั่น มองไปที่ Google Chrome Web Store จะเห็นว่าแอพพลิเคชั่นบางตัวนั้นให้ชำระเงินเพื่อซื้อ Feature หรือคุณลักษณะเด่นบางอย่างที่ตัวทดลองใช้ไม่สามารถทำได้ แต่ผู้ใช้งานที่สนใจเห็นแล้วรู้สึกยอมรับกับอัตราการจ่ายเงินเพื่อซื้อแอพพลิเคชั่นตัวเต็มโดยไม่ลังเล เพราะราคาของแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ไม่สูงมาก ยิ่ง Firefox นั้นผู้พัฒนา Add-On สามารถเพิ่มเว็บไซต์ของผู้พัฒนา และปุ่มบริจาค Donate Button ให้แก่ผู้ที่สนใจแอพพลิเคชั่น นั้นสามารถชำระเงินเพื่อสนับสนุนโครงการในการพัฒนา Add-On ที่โดนใจนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไป

           ในส่วนของ Facebook เองก็ยังคงมีการปล่อยชุดพัฒนาให้แก่นักพัฒนา หรือ API ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมร่วม นักพัฒนาหลายแห่งเริ่มหันมาพัฒนาแอพพลิเคชั่นผ่านมาตรฐานของ Facebook โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทสินค้าและบริการที่ต้องการประชาสัมพันธ์บริการ และสินค้ามักจะสร้างมินิเกม หรือเกมออนไลน์  ที่ปรากฏในรูปของแอพพลิเคชั่นบน Facebook มากขึ้น ซึ่งมินิเกมที่โปรโมตสินค้าและบริการเหล่านี้ นอกจากจะใช้ชุดพัฒนาของ Facebook แล้วยังสามารถนำไปต่อยอดในการสร้างสินค้าในเกมผ่านผู้ให้สนับสนุนเงินทุนผ่าน Virtual Goods ได้อีกด้วย ถ้าให้ประเมินสภาพการณ์แล้ว แพลตฟอร์มที่ Facebook กำหนดขึ้นให้นักพัฒนาใช้พ่วงกับข้อมูลของบริการเครือข่ายของตน นั้นมีผลที่เอื้ออำนวยต่อนักการตลาดออนไลน์ที่จะผลักดันแบรนด์ของสินค้า และบริการให้อยู่ในรูปของเกมเพื่อความบันเทิงได้มากขึ้น โดยการอ้างอิงสถิติจาก eMarketer 2010 จะพบว่า กลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมักจะใช้เวลาบน Facebook ไปกับความท้าทายของตัวแคมเปญออนไลน์ที่ส่วนใหญ่มักถูกนำเสนอในรูปแบบของเกม

ทำเนียบที่สั่นคลอนของ Google

           หากพูดในเรื่องของอาณาจักรหรือพื้นที่ที่ถูกควบคุมในอินเทอร์เน็ตแล้ว Google คงจะเป็นมาตรฐานที่เป็นใหญ่มาโดยตลอด ตลอดเวลาที่ผ่านมาการที่นักการตลาดจะทำการปั่นกระแสและโปรโมตเว็บไซต์ หรือแคมเปญการตลาด และกิจกรรมออนไลน์ให้ดังเพื่อจะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ต่างต้องใช้เทคนิคการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ หรือแคมเปญออนไลน์ที่ตนดูแลติดอันดับต้นๆ ของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google โดยอาศัยสิ่งที่ช่วยในการจัดอันดับที่เรียกว่า Page Rank ธุรกิจการบริหารเว็บไซต์ให้ติดอันดับเครื่องมือค้นหา หรือการทำ Search Engine ผ่านบริการ Adwords เพื่อให้ข้อความในการเชิญชวน และประชาสัมพันธ์โปรโมตเว็บไซต์นั้นผ่านหู ผ่านตาผู้สนใจให้ได้มากที่สุด

           ตรงกันข้าม ถ้าหากว่ากลุ่มผู้สนใจในเรื่อง ๆ หนึ่ง ต้องการค้นหาหรือคำแนะนำจากคนที่สนใจในเรื่องเดียวกันเกี่ยวกับแคมเปญ สินค้า และบริการนั้น กลับใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook เป็นตัวช่วยในการค้นหา เพราะ Facebook ในตอนนี้มีคุณลักษณะที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเอาใจผู้ใช้ในแต่ละกลุ่มให้สามารถแสดงผลให้ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานเครือข่ายสนใจจริงๆ จะต่างกันก็เพียงแค่ในตอนนี้ Facebook ยังคงมีนโยบายความเป็นส่วนตัวค้ำหัวอยู่ จึงอยู่ในมาตรฐานกึ่งเปิด (Semi-Close Platform) อาจจะเห็นว่าตอนนี้ Traffic ของ Facebook ยังคงมีน้อยกว่าและตามหลัง Google อยู่บ้าง

           แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ การใช้เครือข่ายที่ชาญฉลาด และผลลัพธ์ของการค้นหาที่แน่นอนตรงความต้องการผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ของเพื่อนที่เรามี อาจจะทำให้มาตรฐานของ Facebook สามารถเติบโตได้เทียบเท่ากับ Google ได้ ลองคิดเล่นๆ ถ้าวันหนึ่งทุกคนเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วเข้าเว็บฯ แรกเป็น Facebook ไม่ใช่ Google อีเมลก็ใช้ Fan Page, Group และ Wall ของตัวเอง สนใจซื้อสินค้าก็ตัดสินใจรีวิวจากเพื่อนในเครือข่าย และจับจ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มของ Facebook ดีไม่ดีอนาคตเปิดคอมพิวเตอร์อาจจะต้องใช้ Facebook Account ในการ Login เข้าใช้งานเครื่องก็เป็นไปได้ ที่สำคัญทุกสิ่งที่ปรากฏบน Facebook นั้นล้วนเป็น Real-Time

           สิ่งที่ผู้เขียนยกขึ้นมาข้างต้นนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ Google พอจะประเมินอนาคตของตัวเองได้ ไม่นานมานี้เผยโครงงานที่ทาง Google ซุ่มพัฒนาก็ได้เปิดตัวให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกได้เห็นโดยทั่วกัน ซึ่งโครงงานดังกล่าวมีชื่อว่า Google Caffeine เป็นการยกเครื่องปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมของระบบการค้นหาขึ้นมาใหม่ โดยมีแนวคิดว่า Next Generation Architecture of Google Search ซึ่งเป็นไม้ตายที่ Google บอกว่าจะมาแทนที่โครงสร้างสถาปัตยกรรมระบบดั้งเดิมคือ Google Indexing ในปัจจุบัน น่าจะเป็นการปรับการทำงานของ Google ให้เป็น Real-Time เหมือนที่เคยสร้าง Google Wave ขึ้นมาแน่นอน ในเรื่องของการแย่งชิงอาณาเขตบนโลกออนไลน์นี้คงจะมีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้ว Apple อยู่ตรงไหน ผู้เขียนคิดว่าสำหรับ Apple ในตอนนี้คงครองฐานสมาชิกผู้ใช้บนแพลตฟอร์มพกพาไปก่อน ในเรื่องของอินเทอร์เน็ตนั้นผลพลอยได้ที่ Apple ได้รับดูจะกดดันน้อยที่สุดหากเทียบกับศึกของ Google และ Facebook

           ศึกครั้งนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละฝ่ายต่างยกระดับของแพลตฟอร์มที่เป็นไม้ตายของตนให้โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดชัยชนะของแต่ละฝ่ายว่าจะลงเอยที่ใคร เพราะถ้าชัยชนะลงเอยที่ฝ่ายไหนก็พึงรู้ไว้ว่า พฤติกรรมของผู้ใช้ก็จะเปลี่ยนกลายเป็นแนวทางที่นิยมบนแพลตฟอร์มของผู้ชนะในศึกนี้นั่นเอง
34  สมาชิก VIP / General Discussion / อาหารเช้า สำคัญไฉน เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 12:35:38 AM
อาหารเช้า สำคัญไฉน



เช้าแห่งความวุ่นวาย และรีบเร่งที่จะต้องออกไปต่อสู้กับการจราจรแสนติดขัด อาจทำให้หลายคนหลงลืมทาน "อาหารเช้า" ไปด้วยความตั้งใจ โดยอ้างว่าไม่มีเวลาบ้างล่ะ ตื่นสายบ้างล่ะ แต่รู้ไหมคะว่า "อาหารเช้า" คืออาหารมื้อที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยชาร์จพลังงาน เติมเต็มวันใหม่ของเราให้สดใส แถมยังมีประโยชน์อีกเพียบที่คุณ ๆ ได้ยินแล้วต้องร้อง "ไม่น่าเชื่อ!!!"

ว่าแล้วก็มาดูกันซิว่า อาหารเช้า มีคุณประโยชน์อย่างไรบ้าง

          1.อาหารเช้าช่วยควบคุมโรคอ้วน และน้ำหนักได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะจากมื้อดึกจนถึงเช้าวันใหม่ เราอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่ทานอาหารเช้าเข้าไปอีก จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง จนไปเพิ่มแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น และนี่ก็เป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้อย่างไม่รู้ตัว

          2.ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้ด้วย เพราะในตอนเช้าเลือดของเรามีความเข้มข้นสูง และทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้ารับประทานอาหารเช้าเข้าไป จะช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจางลง

          3.มีการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขึ้น แต่หากใครไม่ทานอาหารเช้า จะมีสมาธิน้อยลง และสมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่

          4.ช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่ว การไม่รับประทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมงจะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนาน หากนาน ๆ ไปสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่หากเราทานอาหารเช้าเข้าไปล่ะก็ มันจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันอยู่ได้

          5. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ โดยคนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลงถึง 35-50% เลยทีเดียว

          6.สำหรับเด็ก ๆ การอดอาหารเช้าเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง การเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามเกณฑ์ และยังส่งผลต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสมาธิ ส่งผลเสียในระยะยาวอีกด้วย



แล้วเราควรทานอะไรเป็นอาหารเช้าอะไรดีล่ะ

           หากไม่มีเวลาคิด หรือคิดไม่ออกว่า ควรจะทานอาหารเช้าอะไรดีจึงจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เราก็มีเมนูง่าย ๆ มาแนะนำกัน

1.ซีเรียล หรือ คอร์นเฟลก

           ข้าวโพดแผ่นบางกรอบราดด้วยนม ถือเป็นอาหารเช้าที่เข้าท่าทีเดียว สำหรับคนที่อาจไม่มีเวลาทานข้าวเช้า นอกจากจะได้ความอร่อยแล้ว ยังให้พลังงาน แถมคอร์นเฟลกยังมีไขมันต่ำอีกด้วย ถ้าจะให้ดีลองผสมผลไม้สดลงไปในคอร์นเฟลกด้วย ก็จะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนค่ะ

2.ปลา

           ปลา เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพของสมองโดยตรง แถมยังเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน รับรองว่าไม่ทำให้อ้วนแน่นอนค่ะ

3.ไข่

           อาหารเช้ายอดฮิตบนโต๊ะอาหารของหลาย ๆ บ้าน ไม่ว่าจะเป็นไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ล้วนเป็นอาหารจานโปรดของใครหลาย ๆ คน และเป็นอาหารที่มีสารอาหารหลากหลาย ทั้งโปรตีน วิตามินบี 12 และสังกะสี แถมยังช่วยเสริมสร้างความจำ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอของสมองอีกด้วย จึงดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ค่ะ แต่ว่าก็มีข้อควรระวังนิดหนึ่ง คือ ไม่ควรทาน "ไข่แดง" ให้มากเกินไป เพราะจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงขึ้นได้ง่าย ๆ

4.โยเกิร์ต

           อีกหนึ่งอาหารเช้ายอดฮิตที่หาซื้อ หาทานได้ง่ายทีเดียว แถมยังเป็นอาหารที่มีโปรตีนจำพวกกรดอะมิโนสูง มีผลต่อระบบขับถ่าย และไม่ทำให้อ้วนด้วยล่ะ

5.ผักผลไม้

           ประกอบไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน และเส้นใยในปริมาณมาก ฉะนั้นแล้วเราควรทานผักผลไม้ทุกวัน โดยเริ่มตั้งแต่เช้าวันใหม่เลย และไม่ควรเลือกทานผลไม้ที่มีรสหวานจัดจนเกินไป เพราะหากระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินไป จะทำให้สมองมึนซึม คิดอะไรไม่ค่อยออก แถมยังต้องนั่งง่วงอีกด้วย

6.ธัญพืชไม่ขัดสี

           ไม่ว่าจะเป็นลูกเดือย ขนมปังโฮลวีท เหล่านี้เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง และเป็นคาร์โบ"ฮเดรตเชิงซ้อนที่ให้พลังงานได้นาน

7.ข้าว

           ปิดท้ายที่อาหารหลักของคนไทยอย่าง "ข้าว" นั่นเอง รู้ไหมว่า ข้าวมีคุณสมบัติช่วยให้ระบบการย่อยของร่างกายทำงานเป็นปกติ แถมยังเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ช่วยชาร์จพลังงานยามเช้าให้เราได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าจะอยากได้รับประโยชน์จากข้าวแบบเต็ม ๆ แล้วล่ะก็ ลองเลือกทาน "ข้าวซ้อมมือ" หรือ "ข้าวกล้อง" ดูสิคะ จะได้รับวิตามินเพิ่มเติม แถมอิ่มไปทั้งมื้อด้วย
35  สมาชิก VIP / General Discussion / งามสง่าด้วยชุดแต่งงานหลากแบบ เมื่อ: มิถุนายน 17, 2011, 06:13:52 PM
งามสง่าด้วยชุดแต่งงานหลากแบบ





สาว ๆ ทุกคนคงใฝ่ฝันอยากจะสวมชุดเจ้าสาว สีขาวบริสุทธิ์ บานฟูฟ่อง ยืนเคียงข้างอยู่กับเทพบุตรสุดหล่อเหมือนดั่งในนิยาย เพราะฉะนั้น ในการเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงาน ชุดแต่งงาน จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เจ้าสาวให้ความสำคัญมาเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้





          แต่ยิ่งให้ความสำคัญเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มความเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น ทั้งเกรงว่าแบบชุดแต่งงานจะไม่ถูกใจบ้างล่ะ กลัวใส่ออกมาไม่สวย ไม่เหมาะ ไม่รู้จะแต่งหน้าทำผมสไตล์ไหนให้เข้ากับชุดบ้างล่ะ ก็แหม...ชุดแต่งงานเป็นเสมือนตัวช่วยที่ทำให้เจ้าสาวและดูสง่างามยิ่งขึ้น จะกังวลเป็นพิเศษก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร





          วันนี้จึงหยิบเอารูปภาพชุดแต่งงาน หลากแบบหลายสไตล์มาให้ชมกัน สำหรับเป็นไอเดียในการตัดสินใจเลือกชุดแต่งงานของเจ้าสาว ที่ยังลังเลและเลือกไม่ได้ค่ะ


















36  สมาชิก VIP / General Discussion / 10 จุดหมายปลายทาง สุดฮิตในเอเชีย เมื่อ: มิถุนายน 17, 2011, 06:06:33 PM
10 จุดหมายปลายทาง สุดฮิตในเอเชีย


 ในทวีปเอเชียของเรามีสถานที่มากมาย ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ให้ได้ไปเยี่ยมชมและสัมผัสกับความงดงาม ทั้งทางด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งด้วยเหตุนี้
จึงได้ทำการรวบรวม 10 จุดหมายปลายทางสุดฮิต ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปกันมากที่สุด เอาไว้เพื่อให้ทุก ๆ ท่านได้เก็บเป็นข้อมูลในการเดินทาง จะมีที่ใดบ้างนั้น ตามมาดูกันเลย



1. เมืองลาซา ประเทศทิเบต (Lhasa, Tibet)

          เมืองลาซา ตั้งอยู่บนที่ราบสูงในแถบหุบเขาของเทือกเขาหิมาลัย มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นนิยมมากที่สุดคือ พระราชวังโปตาลา (Potala Palace) พระราชวังซึ่งเคยเป็นที่ประทับขององค์ดาไลลามะองค์ก่อน ทัวร์ชมภายในพระราชวังกันแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะชมความงดงามของทัศนียภาพตลอด 2 ข้างทาง ในระหว่างการเดินทางมาที่นี่อีกด้วย และอีกสถานที่หนึ่งที่มีความงดงามน่ามาเที่ยวไม่แพ้กันคือ วัดโจคัง (Jokhang Temple) โดยวัดแห่งนี้ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็น "เมืองมรดกโลก" เพราะมีประวัติศาสตร์และความน่าหลงใหลมากมาย ให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกได้เดินทางมาเยี่ยมชมกัน



กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

2. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

          กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยเรานั้น ถือเป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ต่างต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นด้านความงดงามของสถาปัตยกรรม ประเพณี แหล่งช็อปปิ้งที่ราคาสบายกระเป๋า และความบันเทิงในยามราตรี ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงรอยยิ้มของคนไทย เหล่านี้ถือเป็นเสน่ห์ ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ต้องไปสัมผัสกับความงดงามอันวิจิตรตระการตาให้ได้ก็คือ วัดอรุณราชวราราม หรือที่เรียกกันว่า "วัดแจ้ง" นั่นเอง



กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล

3. เมืองกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล (Kathmandu, Nepal)

          ที่เมืองแห่งนี้มี จัตุรัส ดูร์บาร์ (Durbar Square) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และเป็นอดีตพระราชวังเดิมอีกด้วย มีสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามทั้งวัดและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญเมื่อเดินทางมาที่นี่แล้ว คุณต้องไม่พลาดที่จะตั้งแคมป์พักแรมที่ยอดเขา มัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) สถานที่ที่สามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด



เลห์ ประเทศอินเดีย

4. เมืองเลห์ ประเทศอินเดีย (Leh, India)

          เมืองเลห์ เป็นเมืองศูนย์กลางของการท่องเที่ยวของ ลาดัคห์ (Ladakh) เมืองเล็ก ๆ ที่งดงามไปด้วยสิ่งปลูกสร้างจากหิน "Whitewash" ตั้งอยู่ที่สี่แยกประวัติศาสตร์อย่าง "Silk Route" นอกจากนี้ ยังมี หุบเขานูบรา (Nubra Valley) สถานที่ซึ่งมีความงามตามธรรมชาติ ทั้งฟาร์มขนาดเล็ก และมีเกสต์เฮ้าส์ไว้พร้อมให้บริการอีกด้วย



ประเทศสิงคโปร์

5. ประเทศสิงคโปร์ (Singapore)

          หากมาสิงคโปร์แล้วไม่ได้แวะที่ Marina Bay ถือว่ายังเดินทางมาไม่ถึงสิงคโปร์อย่างแท้จริง เพราะที่นี่ถือเป็นที่หมายสำคัญที่ต้องแวะมาเยี่ยมชม จับจ่ายซื้อของให้ได้ นอกจากนั้นแล้วยังมีสิ่งใหม่ ๆ อย่าง โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) พิพิธภัณฑ์ศิลปะวิทยาศาสตร์ (ArtScience Museum) สะพานเฮลิกซ์ (The Helix Bridge) ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ (The Singapore Flyer) และ โรงแรม ฟูลเลอร์ตัน เบย์ (Fullerton Bay) ที่คอยดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ยังมีส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามใ นการเยี่ยมชมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นย่านไชน่าทาวน์ หรือ ลิตเติ้ล อินเดีย สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความงดงามทางวัฒนธรรม



หลวงพระบาง ประเทศลาว

6. เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว (Luang Prabang, Laos)

          เมืองหลวงพระบาง ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศลาว ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือการนั่งเรือจากปากอู (Pak OU) ชมทัศนียภาพของทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง นอกจากนั้นแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่เราอยากแนะนำให้ทำ ก็คือการใส่บาตรกับพระสงฆ์และสามเณรในตอนเช้า ช่วงเวลาประมาณ 05.30 น. เพราะนอกจากจะได้บุญได้กุศลกันแล้ว คุณยังได้สัมผัสกับบรรยากาศยามเช้าที่แสนจะสดชื่นอีกด้วย



เกาะพีพี ประเทศไทย

7. เกาะพีพี ประเทศไทย

          เกาะพีพี อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลอ่าวนพรัตนธารา จ.กระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามัน ด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ มีน้ำทะเลสะอาด สวยใส หาดทรายขาวละเอียด ที่สำคัญยังเป็นสถานที่ซึ่งใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "The Beach" อีกด้วย แถมยังมีกิจกรรมทางน้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำลึก การดำน้ำตื้น และการชมความงามของถ้ำต่าง ๆ อีกมากมาย



เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

8. เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา (Siem Reap, Cambodia)

          ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็ต่างอยากไปชื่นชมกับความสวยงามและอลังการของ "นครวัด" (Ankor Wat) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา รวมถึงเก็บภาพบรรรยากาศยามพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า ๆ ที่งดงามจับใจ อีกทั้งเมืองเสียมเรียบถือเป็นเมือง ที่มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในด้านของสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมใหม่ ๆ ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี จึงทำให้สะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก



เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

9. กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น (Kyoto, Japan)

          เมืองที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทั้งวัดวาอารามและศาลเจ้าต่าง ๆ แถมยังเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเมือง ในฐานะที่เคยเป็นอดีตเมืองหลวงของประเทศอีกด้วย โดยสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยคือ การที่ได้เห็นสาว ๆ ชาวญี่ปุ่นอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม ด้วยการสวมใส่ชุดกิโมโน ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น เดินตามท้องถนนกันอย่างสง่างามน่ายกย่อง



เกาะฮ่องกง

10. เกาะฮ่องกง ประเทศจีน (Hong Kong, China)

          เมืองที่มีความวุ่นวายสูงเมืองหนึ่งของโลกแห่งนี้ ถือเป็นเมืองสำคัญที่อุดมไปด้วยร้านค้าต่าง ๆ มากมาย ทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า กระเป๋า ฯลฯ แถมยังมีตลาดกลางคืนเอาใจขาช้อปกันอย่างเต็มที่ แต่ที่พลาดไม่ได้เลยก็คืออาหารสไตล์ฮ่องกง โดยเฉพาะ "Kong Chai Meen" หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบฉบับฮ่องกง ซึ่งมีขายทั่วไปตามร้านข้างทาง ถือเป็นเมนูที่ควรจะหาทานอย่างยิ่ง รวมไปถึงลูกชิ้นปลา เต้าหู้ทอด และเค้กอร่อย ๆ ก็ไม่ควรที่จะพลาดเช่นเดียวกัน

          ได้เห็นทั้ง 10 จุดหมายปลายทางสุดฮิตของทวีปเอเชียแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงจะอยากเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้น จะช้าอยู่ใย เก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปกันเลย ^^
37  สมาชิก VIP / General Discussion / เม็กซิโกซิตี้ ติดกล้องวงจรปิดมากที่สุดในโลก เมื่อ: มิถุนายน 17, 2011, 05:57:27 PM
เม็กซิโกซิตี้ ติดกล้องวงจรปิดมากที่สุดในโลก



อย่างที่เราทราบกันว่า กรุงเม็กซิโก้ซิตี้เป็นหนึ่งในเมืองที่มีการเกิดอาชญากรรมมากที่สุดในโลก ทำให้หลายปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวมีความหวาดกลัวที่จะมาท่องเที่ยว ดังนั้น รัฐบาลเม็กซิโกจึงเซฟ โดยการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ทั่วเมืองเม็กซิโก้ซิตี้ ทำให้เม็กซิโกซิตี้กำลังจะกลายเป็นเมืองหลวงที่มีกล้องวงจรปิดมากที่สุดในโลก ซึ่งโครงการนี้จะเสร็จสมบูรณ์ภายในสิ้นปีนี้ โดยทุ่มเงินงบประมาณกว่า 14,200 ล้านบาท



          สำหรับโครงการดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่ปี 2553 โดยได้ต้นแบบมาจากลอนดอน, เยรูซาเลม, สิงคโปร์ และชิคาโก โดยขณะนี้ได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วเม็กซิโกซิตี้จำนวน 11,500 ตัว เพิ่มจากกล้องวงจรปิดที่เอกชนมีอยู่เดิม 100,000 ตัว

          ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดระบบใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้จับคนร้าย และช่วยประสานความร่วมมือในการแก้ปัญหาภัยธรรมชาติ โดยจะติดตั้งกล้องซ่อนไว้ตามผนังด้านนอกของอาคารต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ได้มีการสร้างศูนย์กล้องวงจรปิด 5 แห่ง พร้อมบุคลากรประจำ 24 ชั่วโมง เพื่อจับตาดูกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ทั่วเมือง และตามทางรถไฟใต้ดิน ขณะเดียวกัน ก็เชื่อมต่อเข้าระบบออนไลน์ ทำให้ตำรวจสามารถมาถึงที่เกิดเหตุได้ภายใน 5 ถึง 12 นาที ขณะที่เทคโนโลยีใหม่ก็ทำให้กล้องเหล่านี้ สามารถระบุใบหน้าคน อ่านป้ายทะเบียนรถ และชี้จุดที่มีการยิงปืน รวมถึงมีปุ่มสัญญาณเตือนภัยเพื่อใช้เตือนกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติ



          โดยทางการเม็กซิโก เผยว่า อัตราการเกิดอาชญากรรมตามทางรถไฟใต้ดิน ในเม็กซิโกซิตี้ ปัจจุบันเหลือเพียง 1.1 รายต่อวัน ลดลงร้อยละ 40 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่า เม็กซิโกซิตี้กำลังจะกลายเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยมีการเปิดเผยว่า พื้นที่ที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดนี้ การเกิดอาชญากรรมลดลงถึง 35 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามมีกลุ่มที่ไม่พอใจด้วยเช่นกัน โดยมองว่ากล้องวงจรปิดเหล่านี้เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน เช่น เด็กหญิงคนหนึ่งในเมืองกล่าวว่า การติดกล้องวงจรปิดจำนวนมากเช่นนี้ทำให้ตนรู้สึกเหมือนอยู่ในรายการ Big Brother เพราะเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา
38  สมาชิก VIP / General Discussion / นาซ่าพบหลักฐาน หลุมดำ มีจริง ยุคต้นจักรวาล เมื่อ: มิถุนายน 17, 2011, 11:07:54 AM
นาซ่าพบหลักฐาน หลุมดำ มีจริง ยุคต้นจักรวาล



NASAพบหลักฐานหลุมดำมีจริงยุคต้นจักรวาล (ไอเอ็นเอ็น)
 
          องค์การนาซ่า ค้นพบหลักฐานเป็นครั้งแรกว่า หลุมดำขนาดใหญ่มีอยู่จริงและพบทั่วไปในยุคต้นของจักรวาล

          นักดาราศาสตร์ขององค์การการบินอวกาศสหรัฐ หรือนาซ่า เปิดเผยการพบหลักฐานโดยตรงเป็นครั้งแรกว่า หลุมดำขนาดใหญ่มีอยู่ทั่วไปในยุคต้นของจักรวาล หรือในขณะที่จักรวาลยังมีอายุน้อยกว่า 1,000 ล้านปี หรือมีอายุระหว่าง 800 ล้านถึง 950 ล้านปี

          การค้นพบใหม่ล่าสุดโดยหอดูดาวจันทรา เอ็กซ์เรย์ของนาซ่า ยังพบด้วยว่า หลุมดำที่เกิดใหม่ มีการขยายตัวที่รวดเร็วมากกว่าที่นักดาราศาสตร์เคยคาดไว้อย่างมาก และเติบโตไปพร้อม ๆ กับแกแล็กซี่ หรือกลุ่มดาวที่หลุมดำนั้นตั้งอยู่ ข้อมูลใหม่ที่พบจากหอดูดาวจันทรา เมื่อนำไปรวมกับภาพอินฟราเรดจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิ้ลของนาซ่า ทำให้นักดาราศาสตร์ค้นพบว่า มีหลุมดำอยู่ใน 200 แกแล็กซี่

          ก่อนหน้านี้ นักดาราศาสตร์ไม่เคยรู้ว่า หลุมดำที่อยู่ในแกแล็กซี่ยุคต้น ๆ นั้น เป็นอย่างไรบ้าง และไม่รู้แม้กระทั่งว่า หลุมดำเหล่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ได้แต่เพียงคาดการณ์เท่านั้น แต่ไม่เคยมีการค้นพบหลุมดำเหล่านั้น แต่การค้นพบล่าสุดนี้ ยืนยันว่า มีหลุมดำอยู่จริง และยังมีการเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้มาก นอกจากนี้ ยังพบว่า หลุมดำขนาดใหญ่ในยุคที่จักรวาลยังมีอายุน้อยนั้น มีอย่างน้อย 30 ล้านหลุม หรือมากกว่าที่นักดาราศาสตร์เคยคาดไว้ถึง 100 เท่า

          สำหรับหลุมดำเป็นสิ่งลึกลับอย่างหนึ่งในอวกาศ ซึ่งนักดาราศาสตร์พยายามศึกษาถึงการมีอยู่จริงของมัน เชื่อว่าหลุมดำเกิดจากดาวฤกษ์ที่ระเบิดและยุบตัวและแปรสภาพเป็นหลุมดำ มีแรงดึงดูดมหาศาลและสามารถดูดวัตถุทุกอย่างที่เข้าไปใกล้ได้ รวมถึงแสง
39  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / แฉกลโกงใหม่! ภัยคอลเซ็นเตอร์ เหยื่อสูญเงินนับล้าน เมื่อ: มิถุนายน 17, 2011, 07:54:42 AM
แฉกลโกงใหม่! ภัยคอลเซ็นเตอร์ เหยื่อสูญเงินนับล้าน



ยังคงตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ทุกวันนี้มีเหยื่อรายหลายออกมาแฉถึงขั้นตอนกระบวนการที่โดนหลอก  ให้บรรดาประชาชนรู้เท่าทัน แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็สรรหารูปแบบวิธีการหลอกลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เหยื่อตายใจและโอนเงินมาให้ใช้ อย่างสบายมือเลยทีเดียว

       โดยเหยื่อรายล่าสุด ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ฟังว่า ตนมีเงินสะสมอยู่ในธนาคารอยู่ประมาณกว่าล้านบาท ซึ่งตนจะเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ต้องเสียเงินที่มีทั้งหมดให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยแก๊งดังกล่าว โทรมาหาตนทำทีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง แล้วบอกกับตนว่า ตนเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่ 4 หมื่นบาท ก่อนที่จะโอนสายโทรศัพท์ไปมาหลายครั้ง จนครั้งสุดท้าย ถูกโอนสายไปยังชายคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็น พันตำรวจโท จากดีเอสไอ ซึ่งชายดังกล่าว บอกกับตนว่า เงินที่อยู่ในบัญชีของตนนั้นเป็นเงินที่ถูกฟอก และมีความผิด ขณะเดียวกัน ก็พยายามหลอกล่อ ถามตนถึงจำนวนเงินในบัญชี  ซึ่งตนตกใจเลยบอกจำนวนเงินดังกล่าวไป

        จากนั้นคนร้ายก็ได้หลอกให้ตนไปกดเงิน โดยใช้หน้าจอภาษาอังกฤษ เพื่อให้ตนสับสน และหลอกให้ตนโอนเงินจำนวน 99,999 บาท ถึงสองครั้ง และให้ตนทำลายสลิปต์เงินทันที โดยอ้างว่าเป็นรหัสลับของทางราชการ อีกทั้งยังให้ตนเบิกเงินจากธนาคารจำนวน 1 ล้านบาท และไม่ยอมให้บอกใคร พร้อมทั้งติดตามดูพฤติกรรมของตนผ่านกล้องวงจรปิด เสร็จแล้วก็ให้ตนนำเงินเหล่านั้นโอนเข้าเครื่องรับฝากอัตโนมัติ จำนวน 3 บัญชี โดนโอนครั้งละ 100,000-200,000 บาท จนจำนวนเงินครบล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น คนร้ายยังทราบว่า ตนมีเงินอยู่ในธนาคารอื่นอีกจำนวนหนึ่ง จึงออกอุบายให้ตนไปทำธุรกรรมลักษณะดังกล่าวต่อ แต่หลานสาวของตนทราบเรื่อง จึงสั่งระงับเงินที่เหลืออยู่ได้ ทำให้คนร้ายไหวตัวทัน และหนีไปได้ในที่สุด

       ทางด้าน พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้เปิดเผยข้อมูลในการระดมกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์พร้อมกัน 7 ประเทศ โดยระบุว่า มีต้องหาทั้งสิ้น 692 คน เป็นชาวไต้หวัน 471 คน, จีน 214 คน, เวียดนาม 1 คน, เขมร 1 คน, เกาหลีใต้ 2 คน และไทย 3 คน  ทั้งนี้คนร้ายในประเทศไทย จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร และบอกว่ามีหนี้บัตรเครดิต เสร็จแล้วจะโอนสายไปยังผู้ที่อ้างตนว่าเป็นตำรวจและบอกว่าเงินของเหยื่อเป็นเงินที่ถูกฟอก ซึ่งเหยื่อที่หลงกลเชื่อ ก็จะโอนเงินให้ทางเอทีเอ็ม โดยอ้างว่าเป็นบัญชีกลางของทางราชการ

      ล่าสุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็มีกลยุทธใหม่ ๆ เพราะกลยุทธ์แบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล โดยวิธีใหม่นั้น เป็นการเรียกค่าไถ่ ซึ่งคนร้ายจะโทรศัพท์เข้าบ้านในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้ผู้สูงอายุที่บ้านรับสาย แล้วอ้างว่า ลูกหลานและญาติ ถูกจับไปเป็นตัวประกัน เพราะไปค้ำประกันให้คนอื่น จากนั้นก็ทำเสียงเหมือนว่ามีการทำร้ายร่างกาย ทำให้เหยื่อเกิดความกลัว ต้องโอนเงินให้คนร้ายในที่สุด

      อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมาในรูปแบบไหน อยากให้ประชาชนระมัดระวัง และไม่ให้หลงเชื่อโอนเงินให้ผู้อื่นง่าย ๆ อีกทั้ง อย่าให้เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัวกับโทรศัพท์ที่ไม่น่าไว้วางใจเด็ดขาด
40  สมาชิก VIP / General Discussion / เผย 4 ข้อการใช้ยาแบบผิด ๆ ที่คนมักทำ เมื่อ: มิถุนายน 16, 2011, 05:33:14 PM
เผย 4 ข้อการใช้ยาแบบผิด ๆ ที่คนมักทำ



แนะใส่ใจ 4 ข้อการใช้ยา เพื่อคนไทยสุขภาพดี (ไทยโพสต์)

          สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาลฯ แนะคนไทยหันมาใส่ใจวิธีการใช้ยาอย่างถูกต้อง เพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของยา โดยเฉพาะยาพื้นฐาน อาทิ ยาหม่อง ยาแก้ไอ และยาคุมกำเนิด เป็นต้น ซึ่งมักจะใช้บ่อย ๆ แต่กลับใช้แบบผิด ๆ ด้วยเหตุนี้ สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) จึงอยากรณรงค์ให้คนไทยใช้ยาอย่างถูกต้องและเหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดี

          โดย ภญ.รศ.ดร.บุษบา จินดาวิจักษณ์ อุปนายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า โดยปกติคนไทยเป็นคนที่มีนิสัยง่ายสบาย ๆ อยู่แล้ว เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาสามัญประจำบ้านที่คุ้นเคย จึงอาศัยความเคยชิน ความคุ้นเคยในการใช้ยามากกว่าการอ่านฉลาก อีกทั้งนิสัยคนไทยยังเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อนหรือผู้มีประสบการณ์ จึงใช้ยาตามคำบอกเล่าของบุคคลต่าง ๆ โดยมักไม่อ่านฉลากยาเช่นกัน... โดย 4 ข้อหลัก ๆ ที่เป็นความเข้าใจผิดยอดฮิตเกี่ยวกับการใช้ยาที่มักพบบ่อย มีดังนี้

 1.ทายาหม่องทันทีเมื่อฟกช้ำ

          เป็นเรื่องเคยชินเมื่อเกิดหกล้ม กระทบกระแทกจนได้แผลบวมฟกช้ำดำเขียว และปวด คนส่วนใหญ่จะหยิบยาหม่องขึ้นมาถูนวดบรรเทาอาการทันที แต่แท้จริงแล้วเมื่อร่างกายได้รับแรงกระแทก เส้นเลือดฝอยบริเวณผิวหนังจะขาดทำให้มีเลือดคั่งเกิดขึ้น ก่อให้เกิดอาการบวมและปวด ซึ่งหากทายาหม่องทันทีจะทำให้บวมมากขึ้น เพราะเมื่อขี้ผึ้งเสียดสีกับร่างกายโดยการถูนวด จะทำให้เกิดความร้อนและส่งผลให้เส้นเลือดฝอยขยายตัว เลือดจึงยิ่งมาคั่งบริเวณนั้นมากขึ้น ทำให้บวมยิ่งขึ้นอีกด้วย การรักษาที่ถูกต้องควรใช้ผ้าเย็นประคบ เพื่อทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว แล้วอาการบวมจะยุบลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งความเย็นยังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงด้วย หลังจากนั้นจึงทายาหม่องที่มีตัวยาระงับอาการเจ็บปวด ลดอักเสบ

 2.ยาแก้ไอกินคนเดียวจิบจากขวดสะดวกดี

          ไม่ควรจิบยาแก้ไอจากขวดโดยตรง เพราะเชื้อโรคจากปากและคอจะลงไปปนในขวดยาได้ นอกจากนี้ขนาดยาที่ได้รับในแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน เพราะจะจิบเล็กจิบใหญ่ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะผู้ป่วยบางรายจะจิบยาแก้ไอทุกครั้งเมื่อไอ อาจทำให้ได้รับยาเกินขนาด แม้อาจไม่เป็นอันตรายร้ายแรงนัก แต่หากเป็นยาแก้ไอที่มีตัวยาโคดีอีนเป็นส่วนผสม หรือยาแก้ไอน้ำดำ หากจิบอึกใหญ่เกินไปหรือถี่เกินไป อาจจะได้ปริมาณยามากเกินไปจนอาจกดการหายใจได้

          นอกจากนี้ยาแก้ไอที่มีตัวยาโคดีอีนหรือยาแก้ไอน้ำดำ ยังมีอาการข้างเคียงส่งผลให้ง่วงนอนและมึนงงได้ จึงต้องหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร จักรเย็บผ้า ขับรถ การใช้ยาที่ถูกต้องควรใช้ช้อนมาตรฐานตวงยารับประทานทุกครั้ง และมีช่วงห่าง 4-6 ชั่วโมงให้แน่นอน (1 ช้อนชา เท่ากับ 5 ซีซี, 3 ช้อนชา เท่ากับ 1 ช้อนโต๊ะ)

 3.ลืมกินยามื้อหนึ่งรวบยอดไปมื้อถัดไป

          เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง การกินยาแบบรวบยอดไปมื้อถัดไป อาจส่งผลให้ได้รับยาเกินขนาด โดยเฉพาะในกลุ่มที่กินยาปฏิชีวนะหรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น เพราะหากระดับยาในเลือดสูง ๆ ต่ำ ๆ จะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร การใช้ยาที่ถูกต้อง หากลืมกินยามื้อหนึ่งควรกินทันทีเมื่อนึกได้ แต่ไม่ควรรวบเป็น 2 เท่าในมื้อถัดไป และควรกินยาอย่างสม่ำเสมอทุกวันตามเวลาที่กำหนดเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด

          อีกปัญหาที่พบบ่อยคือ ผู้ป่วยลดหรือเพิ่มขนาดยาเองตามความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็น อยากหายไว ๆ รู้สึกอาการดีขึ้นแล้ว คิดว่ากินยาแล้วไม่ได้ผล เป็นต้น ในกรณีนี้ผู้ป่วยควรรู้ว่าที่อาการผู้ป่วยดีขึ้นนั้น เป็นผลมาจากขนาดยาที่แพทย์สั่งให้นั้นเหมาะสมแล้ว การใช้ยาที่ถูกต้อง ควรกินยาตามขนาดที่แพทย์สั่งเท่านั้น อ่านฉลากทุกครั้งก่อนกินยา เพราะแพทย์อาจมีการปรับขนาดยาจากที่เคยได้รับ

 4.ลืมกินยาคุมกำเนิดบางวันคงไม่เป็นไร

          ในกรณีนี้หากลืมกินยาคุมกำเนิดให้รีบกินทันทีที่นึกได้ แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมงนับจากเวลาที่กินปกติ เพราะอาจทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลืมกินในช่วง 7-10 เม็ดแรก ควรหยุดยา และเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิดเป็นการใช้ถุงยางอนามัย หลังจากหยุดยาแผงนั้นและมีเลือดประจำเดือนออกแล้ว ก็เริ่มยาแผงใหม่ได้ แต่หากลืมกินในเม็ดที่ 15 ของแผงไปแล้วอาจไม่ส่งผลต่อการคุมกำเนิด แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้เลือดออกกะปริดกะปรอยได้ การใช้ยาที่ถูกต้อง ควรกินยาอย่างสม่ำเสมอทุกวันและตรงเวลา เพื่อให้ระดับยาในเลือดสม่ำเสมอ ลดโอกาสที่จะมีเลือดออกและการคุมกำเนิดจึงจะได้ผลเต็มที่

          อุปนายกสมาคมเภสัชกรรมฯ กล่าวในตอนท้ายว่า การใช้ยามีเคล็ดลับง่าย ๆ เพียงใช้ตามที่ฉลากเขียนไว้ ใช้ตรงเวลา ไม่ขาดยา หากไม่เข้าใจหรือมีข้อสงสัยให้ปรึกษาเภสัชกร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้ยา เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคุณเอง
41  สมาชิก VIP / General Discussion / โพลชี้ผู้หญิง “อัฟกานิสถาน” เสี่ยงอันตรายมากที่สุดในโลก เมื่อ: มิถุนายน 16, 2011, 08:43:47 AM
โพลชี้ผู้หญิง “อัฟกานิสถาน” เสี่ยงอันตรายมากที่สุดในโลก



บีบีซี - อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่ผู้หญิงตกอยู่ในภาวะอันตรายที่สุดในโลก ผลการสำรวจของบรรดาผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยประเด็นทางเพศรายงาน
      
       วิกฤตความรุนแรง การอนามัยย่ำแย่ และปัญหาความยากจน ล้วนเป็นประเด็นสำคัญที่ผลักดันให้อัฟกานิสถานกลายเป็นเสมือนสุสานสำหรับผู้หญิง ผลการศึกษาของมูลนิธิธอมสัน-รอยเตอร์รายงาน
      
       นอกจากนี้ ผลการศึกษายังชี้ว่า สาธารณรัฐประชาธิปไคยคองโกและปากีสถานเป็นสถานที่อันตรายสำหรับผู้หญิงเป็นอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ
      
       อินเดียติดอยู่ในอันดับ 4 ของรายชื่อประเทศที่อันตรายสำหรับผู้หญิง เนื่องจากมีอัตราการทำแท้งเถื่อน และการลักลอบค้าบริการทางเพศสูง ส่วนโซมาเลีย ดินแดนที่เป็นซ่องโจรสลัดตามมาเป็นอันดับ 5
      
       อันโตเนลลา โนตาริ แกนนำกลุ่มวูเมน เชนจ์ เมกเกอร์ องค์กรที่ให้การสนับสนุนนักลงทุนหญิงทั่วโลก กล่าวว่า “ปัญหาที่ยังคาราคาซัง การโจมตีทางอากาศของนาโต และธรรมเนียมการปฏิบัติต่อผู้หญิง ล้วนทำให้อัฟกานิสถานเป็นสถานที่แสนอันตรายสำหรับผู้หญิง”
      
       “นอกจากนั้น ผู้หญิงที่พยายามเรียกร้อง หรือมีบทบาททางสังคมที่ท้าทายทัศนคติทางเพศ ว่า สิ่งไหนผู้หญิงควรทำ หรือไม่ควรทำ เช่น ทำงานเป็นตำรวจหญิง หรือผู้ประกาศข่าว มักถูกข่มขู่ หรือ ฆ่าทิ้ง”
      
       การสำรวจนี้ได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญจำนวน 213 คนจาก 5 ทวีป โดยขอให้เรียงลำดับประเทศในหัวข้อต่างๆ อาทิ การรับรู้ถึงภัยอันตราย การเข้าถึงศูนย์อนามัย ความรุนแรง การเลือกปฎิบัติ และการค้ามนุษย์
      
       ปากีสถานติดอยู่ในอันดับ 3 เพราะมีปัญหาสำคัญ ทั้งการแต่งงานก่อนวัยอันควร และคดีอาชญากรรมเกี่ยวกับสินสอด (dowry death) ซึ่งครอบครับสามีจะทำร้าย หรือบีบบังคับให้ภรรยาฆ่าตัวตาย เพื่อให้ผู้ชายที่หวังสินสอดสามารถมีผู้หญิงคนใหม่ได้ เนื่องจากฝ่ายเจ้าสาวต้องให้ตามวัฒนธรรมเอเชียใต้ ส่วนอินเดียมีการทำแท้งเถื่อน การฆ่าทารก และการค้ามนุษย์เป็นปัญหาใหญ่
42  สมาชิก VIP / General Discussion / ว่าด้วยเรื่องของความคัน เมื่อ: มิถุนายน 13, 2011, 04:01:37 PM
ว่าด้วยเรื่องของความคัน



หลายคนนึกว่าเรื่องคันตามเนื้อตัวร่างกายนั้นเป็นเรื่องเล็กๆ แต่วันนี้จะบอกท่านว่าเรื่องของการคันนี้ไม่ใช่เรื่องแสบๆ คันๆ เท่านั้น

เรารู้สึกคันตามผิวกายเกือบตลอดเวลา มากบ้างน้อยบ้างตามเรื่อง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอาการคันคืออาการเจ็บนั่นเอง เพราะความรู้สึกคันเกิดขึ้นจากปลายประสาทผิวหนังถูกกระตุ้นหรือเกิดความ ระคายเคือง ประสาทที่รับความรู้สึกคันก็คือประสาทที่รับความรู้สึกเจ็บ ถ้ามีสิ่งกระตุ้นให้เกิดความระคายเคื่องต่อปลายประสาท แต่รู้สึกเจ็บเพียงเล้กน้อยตามผิวหนัง ก็จะกลายเป็นความรู้สึกคัน เช่น มดหรือแมลงไต่ตามผิวหนัง เป็นต้น อาการคันจึงเท่ากับอาการเจ็บในปริมาณที่น้อยนั่นเอง

สาเหตุการเกิดอาการคัน มีดังนี้

1.การเปลี่ยนแปลงชั้นผิวหนัง คันจากการสัมผัส สารระคาย หรือสารภูมิแพ้ สารใยแก้ว หนามและขนของแมลง พืชบางชนิดก็ทำให้คันได้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อากาศร้อน ลมแรง อากาศหนาว อากาศแห้งก็เป็นปัจจัยทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดอาการคันตามมา

2.คัน จากโรคผิวหนัง โรคผิวหนังส่วนใหญ่จะมีอาการคันร่วมด้วย แต่ความรุนแรงจะขึ้นกับสภาพจิตและความไวของแต่ละบุคคล ผื่นคันเฉพาะที่พบบ่อย คือ ผื่นแพ้สัมผัส ผื่นแพ้ผิวหนัง กลาก ผื่นคันทั่วตัว เช่น ลมพิษ โรคหิด และ ผื่นคันไม่ทราบสาเหตุเฉพาะที่ เช่น ผื่นบริเวณอวัยวะเพศ และรอบทวารหนัก

3.โรคแฝงในอวัยวะอื่นอาจพบรอย ผื่นเกาทั่วตัวไม่พบลักษณะจำเพาะเจาะจงของโรคผิวหนัง อาการคันเป็นอาการที่นำมาพบแพทย์ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคตับ โรคไต โรคโลหิตและมะเร็งต่าง ๆ ภาวะหมดประจำเดือน และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

4.คันจากความผิดปกติของระบบปลายประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคงูสวัด และเริมใน

5.สาเหตุอื่น ๆ อาการคันอาจเกิดจากสารสื่อในสมองปรวนแปร และอาจเกิดจากปัญหาทางจิตใจ

เมื่อเกิดอาการคันหรือการเจ็บน้อยแล้ว คนเราจึงต้องเกาเพื่อให้ส่วนที่คันนั้นเจ็บ เมื่อเปลี่ยนความรู้สึกเป็นเจ็บแล้ว คนก็พอใจที่หายคัน แม้จะต้องทนเจ็บแทน

ธรรมชาติของมนุษย์นี่ก็ประหลาดดีครับ ทนคันไม่ได้ แต่ว่าทนเจ็บได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
43  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / สื่อมะกันเผย IMF โดนโจมตีระบบคอมพ์ครั้งใหญ่ เมื่อ: มิถุนายน 13, 2011, 02:22:37 AM
สื่อมะกันเผย IMF โดนโจมตีระบบคอมพ์ครั้งใหญ่

เอเอฟพี - กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ถูกโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ครั้งใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไอเอ็มเอฟ วานนี้(11)
      
       สถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้นำในการแก้ไขวิกฤตยูโรโซนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาแห่งนี้ เก็บบันทึกข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับสถานะการคลังของนานาประเทศ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อความเป็นไปของตลาดโลก
      
       “นี่เป็นการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ที่ร้ายแรงมาก” เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟเผยกับ นิวยอร์ก ไทม์ส โดยระบุว่า การเจาะข้อมูลซึ่งกินระยะเวลานานหลายเดือน เกิดขึ้นก่อนที่ โดมินิก สเตราส์-คาห์น อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ไอเอ็มเอฟ จะตกเป็นผู้ต้องหาทำร้ายทางเพศแม่บ้านโรงแรมในนครนิวยอร์ก
      
       แม้ ไอเอ็มเอฟ จะยังไม่ออกแถลงการณ์ใดๆ ทว่า นิวยอร์ก ไทม์ส อ้างการให้สัมภาษณ์ของโฆษก ไอเอ็มเอฟ ที่ว่า ทางกองทุนฯกำลังเร่งตรวจสอบเหตุดังกล่าวอย่างเต็มที่
      
       นิวยอร์ก ไทม์ส เผยด้วยว่า ธนาคารโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ตรงข้ามฝั่งถนนกับ ไอเอ็มเอฟ ได้ตัดการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ระหว่างองค์กรทั้งสองเพื่อความปลอดภัยแล้ว ซึ่งทางธนาคารโลกก็ยังไม่ออกมาเปิดเผยรายละเอียดใดๆเช่นกัน
      
       เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟทราบข่าวการโจมตีตั้งแต่วันพุธ(8)ที่ผ่านมา แต่ทางกองทุนฯไม่ได้ประกาศให้สาธารณชนทราบ
      
       แม้เจ้าหน้าที่จะไม่ยอมเผยต้นตอของการโจมตี แต่ นิวยอร์ก ไทม์ส ระบุว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากการปลอมอีเมล์ (Spear Phishing) ซึ่งหลอกให้ผู้รับคลิกเข้าไปในลิงค์อันตราย หรือเปิดโปรแกรมที่ทำให้บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของผู้รับได้
      
       เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กลุ่มแฮกเกอร์ “นิรนาม” (Annonymous) เคยประกาศโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของไอเอ็มเอฟ เนื่องจากไม่พอใจข้อปฏิบัติอันเข้มงวดที่ ไอเอ็มเอฟ ใช้เป็นเงื่อนไขในการออกเงินช่วยเหลือให้กรีซ

IMF เผยถูก'แฮก'มา'หลายเดือน'ตื๊อฝังตัวเป็น'คนใน'ลอบดูข้อมูลลับ

 เอเจนซี / เอเอฟพี - กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ตกเป็นสถาบันยักษ์ใหญ่รายล่าสุดที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยขบวนการแฮกเกอร์ระดับพระกาฬ โดยสื่อดังสหรัฐฯ รายงานว่า กลุ่มมือดีเหล่านี้ได้พยายามเจาะเข้าระบบมาเป็นเวลานานหลายเดือนตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบุว่า เป้าหมายของจารชนกลุ่มนี้ ก็คือ ลักลอบฝังซอฟต์แวร์ที่จะทำให้ตนสามารถแสดงสถานะเป็น “คนใน” ภายในเครือข่ายดังกล่าวเพื่อจารกรรมข้อมูลลับด้านเศรษฐกิจที่ใช้ในการกำหนดนโยบายของสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ต้นตอของแฮกเกอร์ยังคงอยู่ในระหว่างการสืบสาวโดยเอฟบีไอและไอเอ็มเอฟ โดยที่นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า อาจเกี่ยวข้องกับรัฐบาลต่างชาติ
       
       หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานในฉบับวันเสาร์ (11) โดยอ้างเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า สถาบันการเงินระดับโลกซึ่งเป็นหัวหอกในการกอบกู้วิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซนตลอดช่วงหลายเดือนมาแห่งนี้ ถูกกลุ่มแฮกเกอร์ไม่ทราบฝ่ายโจมตีอย่างรุนแรงชนิดกัดไม่ปล่อยเป็นเวลานานหลายเดือนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานี้
       
       “นี่เป็นการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ครั้งใหญ่มาก” เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ เปิดเผยกับ นิวยอร์ก ไทมส์ โดยเสริมว่า การแฮกโจมตีเกิดขึ้นก่อนหน้าที่โดมินิก สเตราส์-คาห์น อดีตกรรมการผู้จัดการของไอเอ็มเอฟ จะตกเป็นผู้ต้องหาพยายามข่มขืนแม่บ้านทำความสะอาดของโรงแรมโซฟิเทลในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม เสียอีก
       
       นิวยอร์ก ไทมส์ ระบุว่า วิธีการที่พวกแฮกเกอร์นี้ใช้ก็คือ สเปียร์ฟิชชิง (Spear Phishing) หรือ การหลอกล่อให้ผู้รับอีเมล คลิกเข้าไปในลิงค์อันตราย หรือ ตัวรันระบบโปรแกรมที่ทำให้บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของผู้รับยังเป้าหมายปลายทางได้
       
       สื่อดังของสหรัฐฯ ฉบับนี้ รายงานด้วยว่า ธนาคารโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนกับไอเอ็มเอฟ ได้ทำการตัดระบบเชื่อมต่อทางคอมพิวเตอร์ระหว่างองค์การทั้งสองเพื่อความปลอดภัยแล้ว
       
       ด้านทอม เคลเลอร์แมน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยบนพรมแดนไซเบอร์ซึ่งทำงานให้ทั้งไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลกที่สำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ระบุว่า เป้าหมายของกลุ่มแฮกเกอร์ในการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของไอเอ็มเอฟครั้งนี้ ก็เพื่อลักลอบติดตั้งซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งลงไปในระบบอันจะทำให้ประเทศหนึ่งสามารถแสดงสถานะทางดิจิตอลเป็นคนในเพื่อโลดแล่นผ่านเครือข่ายของไอเอ็มเอฟได้
       
       การปรากฏตัวบนเครือข่ายด้วยสถานะดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงแหล่งขุมทรัพย์ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งไอเอ็มเอฟได้อาศัยข้อมูลเหล่านี้ในการพิจารณากำหนดนโยบายส่งเสริมเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน, สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศอันสมดุล ตลอดจนจัดหาทรัพยากรต่างๆ เพื่อช่วยเยียวยาประเทศสมาชิกที่เผชิญวิกฤตด้านการขาดดุลงบประมาณ
       
       “มันเป็นการโจมตีโดยมีเป้าหมาย” กล่าวโดย เคลเลอร์แมน ซึ่งยังมีฐานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของสมาพันธ์ปกปักษ์ความมั่นคงบนโลกไซเบอร์ (Cyber Security Protection Alliance) และอดีตเคยรับผิดชอบงานข่าวกรองในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้กับทีมบริหารเงินของเวิลด์แบงก์ และปัจจุบันยังเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีที่แอร์เพตรอล บริษัทที่ปรึกษาด้านระบบไซเบอร์
       
       เคลเลอร์แมน ระบุว่า รหัสที่ใช้ในปฏิบัติการเจาะระบบไอเอ็มเอฟนี้ ถูกพัฒนาและนำมาใช้ด้วยจุดประสงค์ที่ว่านี้
       
       ขณะที่บลูมเบิร์ก รายงานว่า ผู้รุกรานระบบคอมพ์ของไอเอ็มเอฟคราวนี้อาจโยงใยถึงรัฐบาลต่างชาติ หลังจากที่พบข้อมูลในอีเมลหลายฉบับและข้อมูลอื่นๆ ถูกจารกรรมไป อย่างไรก็ตามบลูมเบิร์ก ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลใด ส่วนผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ให้ทัศนะว่า เป็นการยากเอามากๆ ที่จะสามารถแกะรอยการเจาะระบบคอมพ์อันช่ำชองนี้ไปจนถึงต้นตอสุดของพวกแฮกเกอร์นี้ได้
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กลุ่มแฮกเกอร์ “นิรนาม” (Annonymous) เคยประกาศโจมตีระบบคอมพ์ของไอเอ็มเอฟ โดยให้เหตุผลว่าไม่พอใจในข้อปฏิบัติอันเข้มงวดที่ ไอเอ็มเอฟ ใช้เป็นเงื่อนไขในการปล่อยเงินกู้แก่รัฐบาลกรีซ
       
       อย่างไรก็ตาม เดวิด ฮอว์ลีย์ โฆษกของไอเอ็มเอฟ ระบุเมื่อวันเสาร์ (11) ว่า ระบบคอมพิวเตอร์ของทางกองทุนยังคงใช้งานได้เต็มรูปแบบตามปกติ ถึงแม้จะถูกโจมตีดังกล่าวก็ตาม
       
       “ผมสามารถยืนยันได้ว่า พวกเรากำลังสืบสวนเหตุการณ์นี้อยู่” เขากล่าว โดยเสริมว่า เขาไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่จะสาธยายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดได้ นอกจากนี้ ฮอว์ลีย์ ยังปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อสรุปของเคลเลอร์แมนเรื่องเป้าหมายของกลุ่มแฮกเกอร์ด้วย
       
       ขณะที่นาวาโทหญิง เอพริล คันนิงแฮม โฆษกเพนตากอน ระบุในอีเมลถึงรอยเตอร์เมื่อคืนวันเสาร์ (11) ว่า ตอนนี้ทางสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ได้ร่วมกับไอเอ็มเอฟ ในการสืบสวนเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้แล้ว
       
       รายงานข่าวการแฮกระบบคอมพิวเตอร์ไอเอ็มเอฟคราวนี้ นับเป็นข่าวล่าสุดหลังจากที่กระแสการโจมตีทางไซเบอร์เกิดขึ้นเป็นระลอกๆ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา โดยที่เหยื่อทั้งหมดล้วนเป็นบริษัทอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกและองค์การระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น กูเกิล เสิร์ชเอนจิ้นยักษ์ใหญ่, ล็อกฮีด มาร์ติน บริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์อันดับหนึ่งของสหรัฐฯ, โบอิ้ง ผู้นำด้านอุตสาหกรรมเครื่องบินของโลก, โซนี ยักษ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ , รวมถึง นินเทนโด ผู้นำโลกด้านวิดีโอเกม เป็นต้น

44  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / เยอรมนี เผย ผลการทดสอบถั่วงอกไม่พบเชื้ออีโคไล แต่ยังห้ามบริโภคต่อไป เมื่อ: มิถุนายน 07, 2011, 07:38:57 AM
เยอรมนี เผย ผลการทดสอบถั่วงอกไม่พบเชื้ออีโคไล แต่ยังห้ามบริโภคต่อไป



หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- อังคารที่ 7 มิถุนายน 2554 07:05:43 น.
ข่าวต่างประเทศ รายงานว่า การหาต้นตอของเชื้อแบคทีเรียอีโคไล เชื้อมรณะที่สังหารชาวยุโรปไปแล้วกว่า 22 รายนั้น ล่าสุด จากการทดสอบถั่วงอกจากรัฐโลเวอร์ แซกโซนี ในเยอรมนี ไม่พบว่ามีการปนเปื้อนเชื้อดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ เยอรมนีก็ยังได้รับการเตือนให้เลี่ยงการบริโภคถั่วงอกทุกประเภทต่อไป โดย นายเกิร์ต ฮาห์น โฆษกกระทรวงเกษตรของรัฐโลเวอร์ แซกโซนี กล่าวว่า ถั่วงอกยังคงเป็นแหล่งที่เชื่อว่าจะเป็นต้นตอของเชื้ออีโคไลมากที่สุด

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบล่าสุดโดยได้ทำการตรวจตัวอย่างถั่วงอก 23 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 40 ตัวอย่าง พบว่า ไม่พบเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวแต่อย่างใด แต่เยอรมนีก็ยังคงคำสั่งห้ามการบริโภคผักชนิดต่างๆ ต่อไป ไม่ว่าจะเป็น มะเขือเทศ แตงกวา และผักกาดหอม จนกว่าจะตรวจหาต้นตอของเชื้อได้ก่อน

45  สมาชิก VIP / General Discussion / แหวนแต่งงาน สไตล์ทองคำขาว เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 04:57:39 PM
แหวนแต่งงาน สไตล์ทองคำขาว



แหวนแต่งงาน ที่พบเห็นได้บริเวณนิ้วนางข้างซ้าย เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะภาพ "การแต่งงาน" ที่มีพลังและคุณค่ามหาศาล ดังนั้น แหวนแต่งงาน จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่คู่บ่าวสาวควรจัดการในการเตรียมตัวแต่งงาน เพราะ แหวนต่งงาน จะอยู่คู่คุณทั้งคู่ไปตลอดชีวิต อีกทั้งยังสะท้อนถึงบุคลิก รสนิยมในตัวคุณทั้งคู่ด้วย



          ทำให้ปัจจุบันมีบ่าวสาวหลายคู่ หันมานิยมเลือก แหวนแต่งงาน แบบ แหวนทองคำขาว หรือ แหวนแพลทินัม (Platinum) เพราะคงทน แข็งแรง และเป็นสีขาวธรรมชาติ ไม่มีการเปลี่ยนสี แถมยังมีสไตล์หลากหลายให้เลือกอีกด้วย แต่มีข้อเสียอีกนิดหน่อย คือ ไม่สามารถแก้ไขหรือขยับขยายได้ เพราะ แหวนทองคำขาว มีความแข็งมาก รวมถึงมีราคาค่อนข้างแพง เพราะความแข็งแรงจึงต้องใช้ช่างที่ชำนาญ ทำให้มีค่าแรงสูง














หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 16

Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!