TARADTHONG.COM
พฤษภาคม 05, 2024, 09:30:56 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 16
46  สมาชิก VIP / General Discussion / ความเชื่อเรื่องการนำเงินใส่ปากศพ เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 04:30:41 PM
ความเชื่อเรื่องการนำเงินใส่ปากศพ

การนำเงินใส่ปากศพ ถือว่าเป็นความเชื่อในสังคมไทย มาช้านาน แม้แต่ชาติอื่นๆ ก็มีความเชื่อในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย จะแตกต่างกันในข้อปฏิบัติ ซึ่งในสังคมไทยวิธีปฏิบัติก็คือ จะนำ เงินพดด้วง หรือเงินเหรียญบาทหนึ่งหรือจะเป็นเหรียญสลึงสองสลึงไม่กำหนดตายตัว

แล้วห่อผ้าขาวผูกเชือกไว้หางยาว หย่อนลงในปากศพ ให้เชือกห้อยออกมานอกปาก ถ้าไม่ผูกเชือก จะห่อให้โตพอไม่ให้เลื่อนลึกลงไปในลำคอ เพราะเวลานำไปเผาจะได้ เอาออกมาเพื่อเก็บเป็นที่ระลึกหรือเครื่องรางได้ ในปัจจุบันบางทีก็ใช้ของมีราคา เช่น ทองคำ บรรจุแทนก็ได้ ซึ่งการกระทำเหล่านี้มีคำอธิบายไว้หลายเหตุผลว่าทำไปเพราะอะไร ดังนี้

 

 

ประการแรก การนำเงินใส่ปากศพก็เพื่อผู้ตายจะได้เอา ทรัพย์ติดตัว ไปใช้สอย ในเมืองผี แต่มีข้อสงสัยว่าทำไมจึงใส่เงินในปาก แค่เพียงหนึ่งบาทเท่านั้น แต่ตามความเชื่อของคนจีน จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ผู้ตายคราวละมากๆ จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันระหว่างความเชื่อของคนไทยกับคนจีน

ประการที่สอง เพื่อให้พิจารณาเห็นว่า บรรดา ทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ แม้มากสักเท่าใด ตายแล้วก็นำติดตัวไปไม่ได้ เขาย่อมควักเอาออกจากปาก สุดท้ายจะเอาไปได้ก็แต่กรรมที่ทำไว้ ซึ่งย่อมติดตามไปคล้ายเงาตน และจะส่งผลให้ได้ รับทุกข์ หรือสุขก็ตามแต่กรรมที่ตนได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้น คนเราเกิดมาอย่าได้ ลุ่มหลงอยู่กับ ทรัพย์สมบัติ

ประการที่สาม เพื่อให้เป็นค่าจ้างแก่สัปเหร่อที่จะนำศพไปเผา ที่ต้องนำไปใส่ไว้ ในปากเพราะว่าจะได้ค้นหาได้สะดวก เพราะถ้าเจ้าภาพบิดพลิ้วสัญญาค่าจ้างภายหลัง เงินใส่ปากศพจะกลายเป็นเงินค่าจ้าง เพราะในสมัยก่อนเงินบาทมีค่ามาก ตามความเชื่อ ของกรีกโบราณที่เล่าต่อๆกันมาว่า ผู้ที่ตายวิญญาณจะไปสู่เมืองผี

ซึ่งเมืองนี้อยู่ใต้ เมืองมนุษย์ ทางทิศตะวันตกอันไกลแสนไกล จะมีแม่น้ำปันแดนความสว่าง และความมืดชื่อว่า "แม่น้ำสติกษ์" (แปลว่าดำมืด) วิญญาณของผู้ตายไปสู่เมืองผีได้ก็ต้องข้ามแม่น้ำนี้ มีมนุษย์ชื่อว่า "การน" มีรูปร่าง เป็นคนแก่ผมหยิกดำ หนวดเครารุงรัง แจวเรือรับส่งวิญญาณข้ามฟาก โดยคิดค่าจ้างรับส่ง เป็นเงิน หนึ่งอะบะลัส

ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคนตาย ชาวกรีกโบราณจะนำเงินหนึ่งอะบะลัส ใส่ปากศพตรงใต้ลิ้น สำหรับเป็นค่าจ้าง ข้ามส่งให้กับมนุษย์การน เมื่อข้ามฟากได้แล้ววิญญาณจะถูกพาไปศาลเมืองผี และ จะถูกไต่สวนถึงบาปบุญที่ได้ทำไว้แต่ครั้งยังอยุ่ในโลกมนุษย์ ถ้าวิญญาณ ได้ทำบุญ ไว้จะถูก พิพากษาให้ไปสู่สถานบรมสุขเรียกว่า "อีลีเซียม" ซึ่งเป็นแดนรื่นรมย์ เมื่อเสวยสุขครบพันปี วิญญาณ จะกลับมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกครั้ง แต่ก่อนที่เวียนมาเกิดใหม่ วิญญาณจะต้องดื่มน้ำ ในแม่น้ำลีซี เพื่อ ให้ลืมความหลัง ส่วนวิญญาณที่ทำบาป จะถูกพาไปสู่นรก "ฮาดีส"

ในปัจจุบัน ชาวยุโรปที่นับถือลัทธิคริสตัง ที่สืบประเพณีโบราณกันมา จะเอาเบี้ยทองแดงเพนนีหนึ่งวางไว้ ตรากระบอกตาของคนตาย เพื่อใช้เป็นค่าจ้างข้ามแม่น้ำแห่งความตาย

ชาวฮินดู ก็มีความเชื่อ ในเรื่องนี้ไม่น้อยเหมือนกัน โดยจะเอาเงินและข้าวสารเล็กน้อยใส่ปากศพ พวกสิงโพที่เป็น ชาวป่าของพม่า เมื่อแต่งตัวศพเรียบร้อยแล้ว จะเอาเนื้อหมูและเหล้าและข้าวเซ่นสรวง และเอาเงินใส่ปากศพ ถ้าผู้ตายเป็นหัวหน้าจะเอาเอาหินแก้วอันมีค่าใส่ไว้ใต้รักแร้ ข้างละเม็ด แล้วจึงนำใส่โลง

ชาวจีนจะเอาอีแป๊ะใส่ปากศพและเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ด้วย
47  สมาชิก VIP / General Discussion / 10 วิธีดูแลสมองให้เฉียบแหลม เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 04:25:26 PM
10 วิธีดูแลสมองให้เฉียบแหลม



การทำงานของระบบสมองถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ เพราะสมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองกระปุกดอทคอมจึงขอเสนอวิธีการดูแลสมองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าอยากจะรู้ว่ามีวิธีใดบ้างแล้วล่ะก็ ตามมาดูกันเลย
 
 1. ออกกำลังกายซะบ้าง

          นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายท่านเห็นตรงกันว่าการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน จะเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลดีต่อระบบสมอง ขณะที่หัวใจและปอดก็จะแข็งแรงตามไปด้วย ซึ่งก็เท่ากับว่าหากสมองแข็งแรง ก็จะทำให้ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายแข็งแรงตามไปด้วย
 
 2. ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

          คุณรู้หรือไม่ว่า การได้รับพลังงานไม่ว่าจะมากหรือน้อยเกินไปส่งผลต่อการทำงานของระบบสมอง ดังนั้นแล้วอาหารหรือผลไม้อะไรก็ตามแต่ที่คุณทาน ก็ควรจะเป็นอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูง และให้ปริมาณของไขมันและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดการทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ก็จะทำให้การทำงานของระบบสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 
 3. ไม่ตามใจปาก

          การตามใจปาก ทานอาหารอย่างไม่ดูคุณค่าทางโภชนาการจะทำให้สมองทำงานช้าลง ดังนั้นจึงควรที่จะควบคุมการทานอาหารอย่างพอเหมาะ เพราะหากควบคุมอาหารที่มากเกินความจำเป็น ก็จะส่งผลเสียทำให้เกิดภาวะเบื่ออาหาร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการทำงานของสมองอย่างมาก
 
 4. ดูแลตัวเอง

          โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคความดันโลหิตสูง เป็น 3 โรคอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อสมองโดยตรง ทำให้กระบวนการรับรู้ของสมองแย่ลงจนอาจทำให้เกิดอาการความจำเสื่อมได้ ดังนั้นคุณจึงควรที่จะดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง เพื่อบรรเทาไม่ให้สมองถูกทำลายก่อนวัยอันสมควร

 5. พักผ่อนให้เพียงพอ

          การนอนหลับถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดที่ทำให้ร่างกายและสมองได้รับการผ่อนคลายจากการใช้งานมาตลอดทั้งวัน ซึ่งการนอนอย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมง ก็จะทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น และตัวคุณเองก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นเช่นกัน
 
 6. กาแฟช่วยคุณได้

          มีการศึกษาพบว่ากาเฟอีนในกาแฟสามารถปกป้องสมองได้ การดื่มกาแฟวันละ 2 - 4 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อมได้ 30 - 60% เลยทีเดียว
 
 7. ทานปลาบำรุงสมอง

          ปลาถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและสมองสูง โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ที่อยู่ในเนื้อปลา มีประโยชน์ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 
 8. ปล่อยตัวไปตามสบาย

          เครียดมากเกินไปก็ส่งผลทำให้การทำงานและการจดจำของสมองแย่ลงได้ ดังนั้นแล้วจงปล่อยตัวไปตามสบายซะบ้าง ทำจิตใจให้สงบ อย่างเช่น การเล่นโยคะ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
 
 9. หลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมต่าง ๆ
 
          หากใช้อาหารเสริมต่าง ๆ อย่างผิดวิธีและเกินความจำเป็นจะส่งผลเสียต่อสมองอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะอาหารเสริมก็เหมือนยาชนิดหนึ่งซึ่งจะส่งผลดีก็ต่อเมื่อร่างกายมีปัญหาหรือร่างกายจำเป็นต้องได้รับเท่านั้น หากร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรใช้อาหารเสริมแต่อย่างใด
 
 10. ทำกิจกรรมที่ลับสมอง

          เพื่อเป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลาว่าง ให้ลองหาเกมลับสมองมาเล่นดู ไม่ว่าจะเป็นปริศนาอักษรไขว้ ต่อจิ๊กซอว์ เพราะนอกจากคุณจะได้เพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยให้ระบบการทำงานของสมองใช้การได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
 
          ได้รู้วิธีการดูแลบำรุงสมองดี ๆ ทั้ง 10 ข้อนี้แล้ว ก็อย่าลืมนำไปปรับใช้กันด้วยนะจ๊ะ เพื่อจะได้มีสมองที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและเฉียบแหลมอยู่ตลอดเวลา
48  สมาชิก VIP / General Discussion / เลาะทะเลชุมพร หาดทรายขาว ทะเลสวย เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 04:20:58 PM
เลาะทะเลชุมพร หาดทรายขาว ทะเลสวย



 นักท่องเที่ยวส่วนมากมักแวะเวียนไปสัมผัสความงดงาม ของทะเลแถบอันดามันซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจริง ๆ แล้วทะเลแถบอ่าวไทยก็งดงามไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้น กระปุกดอทคอมเลยขออาสาพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวทะเลฝั่งอ่าวไทย ในจังหวัดที่มีคำขวัญว่า...ประตูสู่ภาคใต้ ไหว้เสด็จในกรม ชมไร่กาแฟ แลหาดทรายรี ดีกล้วยเล็บมือ ขึ้นชื่อรังนก...นั่นก็คือ จังหวัดชุมพร



          เรียกได้ว่าประตูสู่ภาคใต้เริ่มต้นจาก จังหวัดชุมพร ทะเลชุมพรนับว่ามีแหล่งท่องเที่ยวอันลือเลื่อง จากความสวยงามของหาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลใสไม่แพ้ทะเลแถบอันดามัน รวมถึงมีความโดดเด่นในเรื่องความงามของโลกใต้ทะเล และมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายตลอดชายฝั่งทะเล และเกาะแก่งน้อยใหญ่ที่กระจายตัวอยู่ในบริเวณนี้



          อย่าง หาดทรายรี มีหาดทรายทอดยาวและขาวสะอาดตา มีที่พักและร้านอาหารบริการบริเวณใกล้ ๆ แนวชายหาด และยังเป็นที่ตั้งอนุสรณ์สถานของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผู้สถาปนากองทัพเรือไทยให้ทันสมัย และเป็นที่เคารพสักการะเป็นอย่างมากของคนไทย



          นอกจากนี้ ยังมี เกาะมะพร้าว ห่างจาก หาดทรายรี ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นเกาะขนาดเล็ก มีหาดทรายสีขาวนวล ยาวประมาณ 100 เมตร อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ สามารถเล่นน้ำได้  มีแนวปะการังอยู่ในสภาพสมบูรณ์และสวยงาม ซึ่งกระจายตัวอยู่ทางตะวันตกของเกาะด้วย อีกทั้งบนเกาะยังมีสภาพภูมิทัศน์สวยงาม



          ทั้งนี้ เกาะมะพร้าว เป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่น หากนักท่องเที่ยวต้องการขึ้นไปชมทัศนียภาพบนเกาะ จะต้องแจ้งให้สำนักงานจังหวัดชุมพรทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ โทรศัพท์             0 7751 1551       เพื่อจะได้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการนำชมเกาะ หรือจะนั่งเรือเพื่อดำน้ำชมปะการังรอบเกาะ สามารถติดต่อที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร โทรศัพท์ 0 7755 8144-5



          เกาะทะลุ อยู่ห่างจากปากน้ำชุมพรประมาณ 13 กิโลเมตร เป็นเกาะหินปูนขนาดเล็ก ตัวเกาะมีลักษณะเป็นโขดหิน ไม่มีหาดทรายหรือที่ราบ แต่ลักษณะเด่นที่สุดของ เกาะทะลุ คือ ตอนกลางของเกาะจะมีช่องทะลุไปอีกด้านหนึ่งได้ ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นที่ใช้เวลานาน ช่วงเดือนมีนาคม-เดือนเมษายน จะมีนกนางนวลมาวางไข่เป็นจำนวนมากสามารถเช่าเรือจากบริเวณ หาดภราดรภาพ บนเกาะไม่มีที่พัก สอบถามข้อมูลได้ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร โทรศัพท์ 0 7755 8144-5



          เกาะง่ามใหญ่ และ เกาะง่ามน้อย ซึ่งเป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่น บนเกาะมีหมู่บ้านที่ชาวบ้านยังชีพด้วยการหาปลา และเก็บรังนก บริเวณรอบเกาะยังมีแนวปะการังที่สมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งดำน้ำลึกที่น่าสนใจอีกแห่ง เกาะทองหลางมีหาดทรายขาวสะอาดสวยงาม



          เกาะรังกาจิว เป็นเกาะสัมปทานรังนกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จทอดพระเนตรการเก็บรังนกนางแอ่น ดังปรากฏตัวอักษรจีนโบราณและรอยจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. บนแผ่นหินและในโพรงถ้ำริมชายหาด การเดินทางไปหมู่เกาะต่าง ๆ สามารถทำได้โดยสะดวก เพราะอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่ง และมีเรือประมงท้องถิ่นให้บริการเช่าเหมาลำ  รวมทั้งมีบ้านพักของอุทยานฯ ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร โทรศัพท์ 0 7755 8144-5

          รวมถึง เกาะมัตรา เกาะขนาดใหญ่ มีหาดทรายสีขาวนวล มีแนวหินวางเรียงอยู่ประปราย 2 แห่ง ทางตองกลางของฝั่ง ซึ่งเหมาะสำหรับการตั้งแคมป์ นอกจากมีแนวปะการัง บน เกาะมัตรา ยังพบ "ปูไก่" ปูขนาดใหญ่ที่ส่งเสียงร้องเหมือนลูกไก่ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก



          ที่ไม่ควรพลาดหากได้มาที่นี่คือ หาดทุ่งวัวแล่น เป็นชายหาดที่เม็ดทรายสีขาวนวลละเอียดละออ ลักษณะหาดค่อย ๆ ลาดเอียงลงทีละน้อย จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทางด้านใต้ของหาดบริเวณเชิงเขา "โพธิ์แบะ" มีแนวหาดหินใต้น้ำเป็นแหล่งดำน้ำตื้น ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดชุมพร เพราะมีสาหร่ายฟองน้ำ ดอกไม้ทะล และปลาทะเลนานาชนิดอาศัยอยู่

          นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชุมพรเเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรานำมาฝาก เพราะจริง ๆ แล้ว จังหวัดชุมพร ยังมีแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ งาม ๆ อีกเพียบ!



การเดินทาง

          ใช้ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านจังหวัดเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ จนถึงสี่แยกปฐมพร จากนั้นแยกซ้ายเข้าตัวเมืองชุมพร ตามทางหลวงหมายเลข 4001 อีกประมาณ 8 กิโลเมตร ถึงจังหวัดชุมพร
49  สมาชิก VIP / General Discussion / วิธีแก้... เมื่อเกิดความเสียหายกับเลนส์ถ่ายภาพ เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 04:03:52 PM
วิธีแก้... เมื่อเกิดความเสียหายกับเลนส์ถ่ายภาพ



BROKEN LENS ความผิดพลาดและการแก้ไข (FOTOINFO)
คอลัมน์ SPECIAL SECTION เรื่องโดย : อิสระ เสมือนโพธิ์

         สำหรับนักถ่ายภาพแล้ว แทบทุกคนล้วนต้องการให้อุปกรณ์ถ่ายภาพที่ตนเองใช้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานเสมอ เพื่อให้ผลที่ได้มีคุณภาพสูงสุดเท่าที่อุปกรณ์ของเราทำได้ ความเสียหายของอุปกรณ์ถ่ายภาพที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง เลนส์หรือแฟลชนั้น นอกจากจะทำให้เสียโอกาส เสียการเสียงานแล้วยังทำให้เสียเงินอีก แต่นั่นอาจจะยังไม่เท่ากับการเสียความรู้สึก โดยเฉพาะถ้ากล้องหรือเลนส์ตัวนั้นพึ่งใช้งานได้ไม่นานก็จะยิ่งเสียความรู้สึกมากขึ้น

         ในส่วนของกล้องนั้น ความเสียหายอาจเกิดได้หลายกรณี ทั้งความผิดพลาดจากการผลิต ความผิดพลาดจากการใช้งานผิดวิธีของผู้ใช้เอง หรือการใช้งานหนักจนชิ้นส่วนบางอย่างหมดสภาพ แต่ในส่วนของเลนส์นั้นความเสียหายจะเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบเช่นเดียวกับกล้อง แต่หลาย ๆ อย่างเราสามารถป้องกันได้ ซึ่งจะทำให้เลนส์ของเราอยู่กับเราในสภาพที่สมบูรณ์ได้นานที่สุด

         ทั้งนี้ ความเสียหายของเลนส์ แบ่งแยกสาเหตุออกเป็น 2 ประเภท คือ เกิดจากความผิดพลาดจากการผลิต และความผิดพลาดจากการใช้งาน มาดูกันว่า มีอะไรบ้าง

ความผิดพลาดจากการผลิต

         ความผิดพลาดในการผลิตเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ทั้งส่วนของออฟติคและแมคคานิคดังนี้

         1. ชิ้นเลนส์เป็นฝ้า ปัญหาของฝ้าคือ มันทำให้ความใสของชิ้นเลนส์ลดลงเป็นผลให้รายละเอียดของภาพลดลง ความใสของภาพลดลง ภาพสูญเสียคอนทราสต์และเกิดปัญหาเรื่องแสงฟุ้งเมื่อถ่ายภาพย้อนแสง หากเป็นมากจะทำให้เลนส์สูญเสียคุณภาพจนไม่สามารถยอมรับได้

         ปัญหาเรื่องฝ้าที่เกิดจากการผลิตมี 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ

          ฝ้าที่เกิดจากการเสื่อมของกาวที่ใช้ยืดชิ้นเลนส์ (Compound Elements) และ ฝ้าที่เกิดจากการยืดเกาะของคราบและความชื้นบนผิวโค้ทเลนส์ กว่าร้อยล่ะเก้าสิบห้าของการเกิดฝ้าจนทำให้เลนส์เสียหายมาจากฝ้าในคอมปาวน์ของเลนส์ โดยเมื่อกาวที่ใช้ยึดชิ้นเลนส์ประกบเสื่อม ความชื้นจะแทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างชิ้นเลนส์ทำให้ผิวเลนส์บริเวณนั้นเกิดคราบเกาะ ความใสของชิ้นเลนส์จะลดลง การเสื่อมของชิ้นเลนส์ประกบเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ และมักจะเกิดจากขอบนอกของชิ้นเลนส์แล้วไล่ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดชิ้นเลนส์จะขุ่นไปทั้งชิ้น

         ฝ้าชนิดนี้ไม่ได้เกิดที่ผิวนอกจึงไม่สามารถล้างได้ ต้องเปลี่ยนชิ้นเลนส์แต่เพียงสถานเดียว ซึ่งราคาชิ้นเลนส์นั้นไม่ใช่ถูก ๆ เริ่มตั้งแต่ 2,000-20,000 บาทเลยทีเดียว หากมีให้เปลี่ยนก็ยังพอทำใจได้ แต่ถ้าเลนส์ตกรุ่นไปแล้ว ไม่มีอะไหล่ชิ้นเลนส์ให้เปลี่ยน ก็คงกลายเป็นที่ทับกระดาษ

          การแก้ไข หากมีชิ้นเลนส์ใหม่ให้เปลี่ยนก็ควรเปลี่ยนชิ้นเลนส์ (แต่ชิ้นเลนส์อะไหล่เหล่านี้ก็จะมีโอกาสเกิดฝ้าได้อีก เพราะผิดพลาดตั้งแต่ขั้นตอนการผนึกชิ้นเลนส์เช่นเดียวกัน) แต่ถ้าไม่มีชิ้นเลนส์ให้เปลี่ยนก็ยังมีช่างฝีมือที่สามารถซ่อมได้ โดยนำเลนส์ไปแช่น้ำยาเป็นเวลานานเพื่อให้ชิ้นเลนส์ประกบแยกตัวออก จากกันแล้วจึงนำไปล้างผิวเลนส์ นำมาอัดกาวใหม่ก็จะใช้ได้แต่คุณภาพอาจลดไปบ้างเพราะกาวที่ใช้และความหนาของการก็มีผลต่อระบบออฟติค แต่ถ้ายังไม่แยกช่างมักจะใช้วิธีต้มในน้ำเดือดเพื่อแยกชิ้นเลนส์ประกบ

          ฝ้าที่เกิดจากการยืดเกาะของคราบจากความชื้นบนผิวโค้ทเลนส์ พบได้บ่อยมาก เพียงแต่ฝ้าแบบนี้สามารถล้างออกได้ ด้วยน้ำยาเช็ดเลนส์ เพราะมันแค่เกาะบนผิวโค้ทเลนส์ จากประสบการณ์ส่วนตัวผมพบฝ้าบางๆ แบบนี้หลายรุ่น สิ่งที่พบคือ เมื่อเจอความชื้นจะมีคราบบางๆ เกาะบนผิวเลนส์ทำให้ความใสของเลนส์ลดลงและจะเห็นสีโค้ทจางลง แต่เมื่อเช็ดเลนส์มันจะกลับมาใสแจ๋วอีกครั้ง แต่ปัญหาก็คือ มันจะมีคราบบางๆ มาเกาะอยู่เรื่อยๆ หากเป็นกับเลนส์ชิ้นหน้าหรือชิ้นหลังก็คงไม่ใช่ปัญหาเพราะเช็คได้ แต่ถ้ามันเกิดกับชิ้นเลนส์ด้านใน เราจะเช็ดอย่างไร และถ้ามันเกิดกับผิวเลนส์หลายชิ้นคุณภาพจะลดลงอย่างแน่นอน เพียงแต่จะลดลงไม่มากนักซึ่งอาจจะเห็นได้เมื่อถ่ายภาพย้อนแสง

          การแก้ไข เป็นปัญหาจากผิวโค้ทบางชิ้นซึ่งน่าจะมาจากสารที่ใช้เคลือบผิวที่ดูดจับความชื้น และเป็นคราบมากกว่าปกติซึ่งคงไม่มีทางแก้ นอกจากเก็บเลนส์ในที่มีความชื้นเหมาะสม อย่าปล่อยให้เลนส์อยู่ในที่ชื้นๆ นานๆ





         2. ปัญหาเรื่องกระบอกเลนส์และระบบกลไก อะไรคือปัญหาจากระบบแมคคานิคของเลนส์ คุณเคยพบปัญหาเหล่านี้บ้างหรือไม่ กระบอกเลนส์ติดขัด กระบอกเลนส์หลวมคลอน สวิตซ์หรือปุ่มปรับหลุดได้ง่าย กระบอกเลนส์ไม่สามารถขยับเข้าออกได้เพราะบูชพัง ภาพชัดข้างนึงไม่ชัดข้างนึงทั้งที่ระนาบเดียวกัน

         ปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากการผลิต บ่อยครั้งที่ผู้ผลิตเลนส์ประเมินการใช้งานของช่างภาพเบากว่าความจริงจึงทำให้ปุ่มปรับต่างๆ ผลิตไม่แข็งแรงพอ ปรับแรงหน่อยสวิตซ์หลุด วงแหวนหัก ซูมบ่อย ๆ กระบอกคลอน

         บางรุ่นก็ทำมาแข็งแรงดีแต่ไม่เพียงพอ เช่น เลนส์ซูม 14-24 มม. ของยี่ห้อหนึ่ง กระบอกเลนส์ส่วนหน้าใหญ่และหนักมาก หากใช้งานตามปกติก็คงไม่เป็นปัญหา แต่โปรไม่ได้ใช้แบบธรรมดา ต้องวิ่งกล้องแกว่งไปมา ไอ้ที่คิดว่าแข็งแรงพอก็ยังทานไม่ไหว บูชพังเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว

         เลนส์บางรุ่นไดอะแฟรมก็ค่อยข้างเปราะบาง เสียง่าย ค่าซ่อมก็แพง บางรุ่นมอเตอร์แบบไซเร้นจ์ก็เงียบสมชื่อคือไม่หมุน ค่าซ่อมก็แพง บางรุ่นระบบป้องกันภาพสั่นไหวก็ชอบมีปัญหา บางรุ่นมอเตอร์ก็แรงเกินไปจนระบบกลไกเอาไม่อยู่ก็พังอีก

         อาการเหล่านี้หากยังอยู่ในประกันก็โชคดีไป แต่ส่วนใหญ่มักจะเจอตอนหมดประกันใหม่ๆ

          การแก้ไข ใช้งานอย่างระมัดระวังสักหน่อย หากไม่ได้เป็นมืออาชีพที่ต้องลุย ต้องแย่งมุมถ่ายภาพ ต้องเบียดต้องกระแทกก็อย่าใช้เลนส์รุนแรงเกินไป แม้จะเป็นเลนส์ระดับเทพ เพราะเทพก็พังได้ เลนส์ที่ขึ้นชื่อเป็นที่เลื่องลือในเรื่องอาการร้ายๆ ทั้งหลาย ก็ควรระวังในการซื้อมาใช้

         3. ปัญหาเรื่องโฟกัส เป็นที่น่าแปลกใจว่าในขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไม่หยุดยั้ง แต่เรากลับพบปัญหาเรื่องที่ไม่ควรเป็นปัญหา คือการโฟกัสผิดตำแหน่งที่เรียกกันว่า Black Focus หรือ Front Focus

         ปัญหานี้เกิดได้ทั้งจากกล้องและจากเลนส์ แต่ที่พบบ่อยคือจากกล้อง ส่วนปัญหาที่เกิดจากเลนส์ก็พบได้และมักจะเกิดจากความผิดพลาดในการผลิตส่งผลให้ตำแหน่งที่กล้องล็อกโฟกัสคลาดเคลื่อน หรือบางครั้งอาจเกิดการขยับของชุดโฟกัสขณะชัตเตอร์กำลังเริ่มทำงาน ทำให้โฟกัสเลื่อน

          การแก้ไข ส่งเลนส์ไปเช็ดที่ศูนย์ ให้จัดการตั้งโฟกัสให้ใหม่ ให้ตรงตลอดช่วงซูม และถ้ากล้องที่คุณใช้อยู่สามารถปรับชิพท์โฟกัสที่เซ็นเซอร์ได้ ก็ควรปรับแบบ Fine Tune กับกล้องที่คุณใช้อยู่ ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดปัญหาเรื่องการโฟกัสกับเลนส์ตัวนั้นอีก

ความผิดพลาดจากผู้ใช้

         1. เลนส์เป็นฝ้าเป็นรา ปัญหาเรื่องเลนส์เป็นราหรือเป็นฝ้า ก็มาจากผู้ใช้ด้วยเช่นกัน โดยปัญหาเรื่องการเกิดราในเลนส์นั้นมาจากการเก็บเลนส์ในที่ชื่นเป็นเวลานาน เช่นกล้องวางอยู่ในกระเป๋ากล้องในห้องที่มีความชื้นสูง บางท่านก็นำไปไว้ในตู้เสื้อผ้า และที่เป็นปัญหาก็เพราะเข้าใจผิดว่าใส่สารดูดความชื้น (ซิลิก้าเจล) ลงไปในกระเป๋ากล้องแล้วน่าจะปลอดภัย แต่ความจริงก็คือ คุณใช้สารดูดความชื้นผิดวิธี การใส่ลงไปในกระเป๋ากล้องนั้น เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงมันก็จะดูดความชื้นจนอิ่มตัว หมดสภาพ แต่ความชื้นในกระเป๋ายังถ่ายเทจากภายนอกได้อยู่ ความชื้นภายในกระเป๋าจึงยังสูงอยู่ หากกล้องต้องอยู่นิ่งๆ ในกระเป๋าเป็นเวลานาน โอกาสจะเกิดราจึงมีค่อนข้างมาก

         ส่วนปัญหาเรื่องฝ้ามักจะมาจากการเก็บเลนส์ในที่ร้อนบ่อยๆ เช่น เก็บกล้องและเลนส์ไว้ในกระเป๋ากล้องที่วางไว้ท้ายรถยนต์ที่จอดตากแดดเป็นเวลานาน ความร้อนในรถนั้นสูงมาก นานๆ เข้าอาจทำให้กาวที่ใช้ในการยืดชิ้นเลนส์คอมปาวน์เสื่อมได้ โอกาสที่เลนส์จะเป็นฝ้าจึงมีมากกว่าปกติ

         นอกจากนั้นการเก็บเลนส์ไว้ในที่ชื้นนานๆ ก็มีโอกาสทำให้เลนส์เกิดฝ้าได้มากขึ้น และอีกกรณีคือ การเปลี่ยนอุณหภูมิและความชื้นอย่างฉับพลัน เช่น วางกล้องและเลนส์ในห้องแอร์เป็นเวลานาน แล้วเมื่อยออกมาข้างนอกก็หยิบกล้อง และเลนส์ออกมาใช้งานทันที การเปลี่ยนแปลงความชื้นอย่างรวดเร็วจากห้องแอร์ที่มีความชื้นต่ำมาก และมีอุณหภูมิต่ำมาเป็นภายนอก เช่น กลางแดดที่มีอุณหภูมิสูงและความชื้นสูง ไอน้ำจะควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ เกาะบนผิวเลนส์แทบทุกชิ้น รวมทั้งช่องมองภาพของกล้อง เกิดเป็นผ้าชั่วคราวจนพ็อกไปหมดต้องรอประมาณ 3-4 นาที เมื่อกระบอกเลนส์อุณหภูมิสูงขึ้น ไอน้ำที่เกาะบนผิวเลนส์จะระเหยออกไป ชิ้นเลนส์จะใส แต่สิ่งที่ต้องระวังคือมันอาจจะใส่ไม่เท่าเดิม เพราะอาจเกิดคราบบนชื้นเลนส์บางชิ้น ทำให้ความใสของชิ้นเลนส์ลดลง ซึ่งถ้าเป็นกับผิวเลนส์ชิ้นหน้ากับชิ้นท้ายก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้ามันเกิดกับเลนส์ด้านในบ่อยๆ คุณภาพเลนส์จะลดลงแน่นอน เพราะความใสจะน้อยลงจากคราบบางๆ

          การแก้ไข

          หลีกเลี่ยงการเก็บกล้องและเลนส์ในรถยนต์ที่จอดตากแดดไว้อย่างเด็ดขาด และถ้าหากจำเป็นต้องเก็บไว้จริงๆ ควรหากล่องโฟมขนาดใหญ่ และใส่กระเป๋ากล้องทั้งใบลงใบในกล่องโฟมเพราะจะช่วยกันความร้อนได้ และยังไม่เป็นที่ล่อตาล่อใจของโจรขโมย

          หากไม่ใช้กล้องเป็นเวลานาน ต้องเก็บกล้องและเลนส์ในที่ๆ มีความชื้นต่ำ หากจะใช้สารดูดความชื้นจะต้องอยู่ในภาชนะที่ปิดสนิท ความชื้นเข้าไม่ได้ เช่นในกล่องกันความชื้น กล่องถนอมอาหารที่มีซีลกันความชื้น (เช่น ยี่ห้อ SUPER LOCK) หรือใส่เลนส์ลงในถุงพลาสติกแล้วใส่สารดูดความชื้นลงไปจากนั้น ก็รัดถุงให้แน่นด้วยหนังยาง หรือถ้ามีงบอาจใช้ตู้ดูดความชื้นในการเก็บกล้อง

          การนำกล้องออกจากห้องแอร์หรือจากรถยนต์ เพื่อใช้งานกลางแดดไม่ควรหยิบกล้องออกจากกระเป๋ากล้องทันที ควรให้กล้องและเลนส์ค่อยๆ ปรับอุณหภูมิและความชื้นด้วยการให้มันอยู่ในกระเป๋ากล้อง (ไม่ต้องเปิดฝากกระเป๋ากล้อง) เป็นเวลา 4-5 นาที แล้วจึงค่อยหยิบกล้องและเลนส์ออกมาใช้งาน เลนส์ของคุณจะไม่เกิดฝ้า

          วิธีที่ดีในการป้องกันการเกิดรา คือใช้งานบ่อยๆ หรือให้กล้องและเลนส์เปลี่ยนสภาพอากาศ อุณหภูมิและความชื้นอยู่ตลอด โอกาสที่จะเกิดราจะน้อยมาก





         2. เลนส์พังเพราะการใช้งาน ปัญหาเรื่องเลนส์เสียหายจากการใช้งานอย่างไม่ระมัดระวังนั้นเกิดขึ้นบ่อยๆ เช่นสะพายกล้องเดินไปเดินมาโดยเลนส์ซูมออกมาที่ช่วงเทเล กระบอกเลนส์ที่ยืดออกมาทำให้ชุด CAM ของระบบซูมอาจเสียหายได้ เมื่อกล้องแกว่งไปมา โดยเฉพาะกับเลนส์ราคาประหยัดที่โครงสร้างของกระบอก ควบคุมระบบซูมไม่ได้แข้งแรงเท่าใดนัก กระบอกเลนส์อาจหลวมคอลน หรือแม้แต่เลนส์ระดับโปรบางรุ่นที่มีกระบอกเลนส์ส่วนหน้าใหญ่และหนัก หากต้องสะพายกล้องแกว่งไปมาบ่อยๆ ชุด CAM ก็อาจพังได้ แม้จะทำจากโลหะก็ตาม

         อีกกรณีหนึ่งที่หลายท่านอาจคาดไม่ถึง คือการปรับซูมเล่นบ่อยๆ บางท่านอยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็ปรับซูมเข้าซูมออก เห็นเป็นเรื่องสนุก แต่ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก็คือ สายแพร์ที่ขดอยู่ในกระบอกเลนส์เมื่อเคลื่อนเข้าออกบ่อยๆ ก็อาจจะขาดได้ และอาจทำให้กระบอกซูมหลวมเร็วกว่าปกติ

         สวิตซ์ปรับล็อกช่วงโฟกัส (ในเลนส์มาโคร) สวิตซ์เลือกโหมดโฟกัส (AF/M) หรือสวิตซ์เปิดการทำงานของระบบ IS, VR นั้นก็ควรใช้แบบเบามือหน่อย โดยเฉพาะวงแหวนปรับเลือกโหมดโฟกัส (AF/M) ในเลนส์นิคอน AF 80-200mm f/2.8, AF 60mm f/2.8 Micro หรือ AF 105mm f/2 DC นั้นต้องระวังให้มากเพราะแตกกันบ่อยๆ

           การแก้ไข ถ้ามีปัญหาขึ้นมาก็คงต้องซ่อมกันสถานเดียวสำหรับระบบแมคคานิคทั้งหลาย และหากความผิดพลาดเกิดจากการใช้งานของคุณ ไม่ใช่ของสินค้า ก็อาจต้องจ่ายค่าซ่อมเอาเอง ดังนั้นจึงควรใช้เลนส์อย่างระมัดระวังสักหน่อย หากต้องวิ่งต้องเดนิอย่างเร่งรีบ การสะพายกล้องควรใช้มือประคองใต้กระบอกเลนส์ไว้เพื่อไม่ให้เลนส์แกว่งมากเกินไป ป้องกันกระบอกเลนส์เสียหาย และหากเลนส์ที่ใช้มีสวิตซ์ ZOOM LOCK ก็ควรจะล็อกไว้เพื่อไม่ให้กระบอกเลนส์เลื่อนไหลออก

         อย่าปรับซูมเข้าซูมออกอย่างรวดเร็ว รุนแรง เพราะกลไกลของชุด CAM และบล็อกยืดชุดเลนส์อาจจะเคลื่อนที่ได้




         3. น้ำ ฝุ่น และการทำความสะอาดที่ผิดวิธี ปัญหาเรื่องน้ำและฝุ่นกับเลนส์นั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องระวัง หากเลนส์ที่คุณใช้เป็นเลนส์เกรดโปรที่มีการซีลเพื่อป้องกันน้ำ คุณจะสามารถใช้เลนส์ตัวนั้นในสถานการณ์ที่มีละอองน้ำแรงๆ เช่น บริเวณน้ำตก หรือใช้ในขณะฝนตกได้ โดยไม่เกิดความเสียหาย แต่ถ้าเลนส์ที่คุณใช้ไม่ได้ซีลกันละอองน้ำ การใช้งานในสภาพที่มีละอองน้ำแรงหรือท่ามกลางสายฝนนั้นความเสียหายอาจเกิดกับเลนส์ของคุณได้ เพราะน้ำสามารถแทรกเข้าไปตามรอยต่อต่างๆ เช่นวงแหวนซูม วงแหวนโฟกัส ทำให้เลนส์พังได้ ส่วนเรื่องฝุ่นนั้นปัญหายังไม่น่ากลัวนัก เพราะเพียงแค่เข้าไปในกระบอกและชิ้นเลนส์ภายใน

         ส่วนปัญหาในเรื่องการทำความสะอาดที่ผิดวิธีนั้น เป็นเรื่องใหญ่ ยังมีนักถ่ายภาพจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจหลักการทำความสะอาดเลนส์เช่น ใช้น้ำยาเช็ดเลนส์คุณภาพต่ำในการทำความสะอาดเลนส์ (มักจะเป็นน้ำยาเช็ดเลนส์ที่จัดชุดขายพร้อมลูกยางและแปรง) ซึ่งน้ำยาเช็ดเลนส์เหล่านี้บางชนิดค่อนข้างอันตรายต่อโค้ทเลนส์ และส่วนใหญ่จะทั้งคราบไว้บนผิวเลนส์

         ใช้ผ้าเช็ดเลนส์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้ผิวเลนส์เป็นรอยได้ ต้องใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เนื้อนุ่มเท่านั้น และผ้าจะต้องสะอาดโดยเก็บในของกันฝุ่นเมื่อใช้เสร็จทุกครั้ง เพราะฝุ่นทรายที่ติดบนผ้าอาจทำให้เลนส์เป็นรอยขูดขีดได้

         หากไม่จำเป็นไม่ควรเช็ดผิวเลนส์ การใช้ฟิลเตอร์ PROTECT หรือ UV ครอบหน้าเลนส์แล้วเช็ดที่ฟิลเตอร์แทนจะปลอดภัยกว่า เพราะพลาดพลั้งไปก็แค่เสียค่าฟิลเตอร์ตัวเดียว





           การแก้ไข เลนส์ที่มีปัญหาเรื่องน้ำเข้านั้นในเบื้องต้นถ้าเลนส์ยังทำงานได้ ก็อาจทำความสะอาดในเบื้องต้นได้โดยถอดเลนส์ออก แล้วใช้ผ้าสะอาดซับน้ำออกจากเลนส์ให้หมด จากนั้นนำเลนส์ให้หมด จากนั้นนำเลนส์ผึ่งให้แห้งในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดีและไม่ชื้น ไม่ควรนำไปตากแดดเพราะอาจทำให้เกิดคราบในชิ้นเลนส์ ถ้าเลนส์เพียง แค่มีน้ำเข้าเล็กน้อยก็อาจไม่เสียหายจนต้องส่งซ่อมแต่อย่างใด เพียงแต่อย่าเพิ่งใส่กับกล้องแล้วเปิดสวิตซ์ เพราะถ้ามีน้ำอยู่อาจเกิดการช็อต ทำให้วงจรเลนส์เสียหาย

         แต่ถ้าทำแล้วเลนส์ยังไม่ทำงาน หรือยังมีน้ำเข้าไปอยู่ภายในก็คงต้องส่งศูนย์บริการจัดการให้ ส่วนเรื่องของฝุ่นนั้นไม่ได้มีผลต่อคุณภาพมากนัก ไม่จำเป็นต้องส่งล้างแต่อย่างใดถ้าฝุ่นไม่ได้มากจนเห็นได้ชัด สำหรับเรื่องการเช็ดเลนส์นั้นหลีกเลี่ยงการใช้ของเหลวใดๆ กับเลนส์ถ้าคุณไม่ใช้ผู้ชำนาญ ในการเช็ดเลนส์ เพราะอาจเกิดความเสียหายกับเลนส์ แนะนำว่าไม่ควรทำความสะอาดผิวเลนส์โดยไม่จำเป็น ใช้เพียงแปลงอ่อนๆ กับลูกยางเป่าฝุ่นก็พอแล้ว เพราะหากเลนส์มีฟิลเตอร์ครอบอยู่ ก็เช็ดทำความสะอาดที่ฟิลเตอร์เท่านั้น

         และถ้าเลนส์ของคุณเกิดความเสียหายไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝ้า รา หรือระบบกลไกใดๆ ก็ตามควรส่งศูนย์บริการหรือร้านที่ไว้ใจได้เท่านั้น แต่ทางที่ดีควรดูแลรักษาเลนส์ของคุณให้ดี เพราะการส่งซ่อมนั้นนอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังเสียความรู้สึกและเสียความมั่นใจว่า "มันอาจจะให้ภาพไม่ดีเหมือนเดิม" อีกด้วย...
50  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / เมืองเบียร์เผยพบถั่วงอกต้นตอแหล่ง “อีโคไล” แพร่ระบาด เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 03:55:06 PM
เมืองเบียร์เผยพบถั่วงอกต้นตอแหล่ง “อีโคไล” แพร่ระบาด



วันนี้ (6 มิ.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี ว่า กระทรวงเกษตรแคว้นโลเออร์ แซกโซนี ของเยอรมนี ตรวจพบสาเหตุการแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคโล ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในยุโรป 22 รายแล้ว โดยต้นแหล่งเชื่อว่ามาจากถั่วงอก ที่เกษตรกรในแคว้นโลเออร์ แซกโซนี ทางเหนือของประเทศ เพาะปลูกในฟาร์มเรือนกระจก
นายเกิร์ต ฮาห์เน โฆษกกระทรวงฯ เผยว่า จากการตรวจสอบของคณะเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อว่าถ่วงอกท้องถิ่นคือต้นแหล่งการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมรณะ จึงขอเตือนให้ประชาชนงดบริโภคถั่วงอกดังกล่าว ที่มักจะใช้เป็นส่วนประกอบในสลัดประเภทต่าง ๆ
ด้าน นายไรน์ฮาร์ด บูร์แกร์ ประธานสถาบันโรเบิร์ต คอช ศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติเยอรมนี เผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคไลทั่วยุโรป ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย ทำให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 22 ราย โดย 21 รายอยู่ในเยอรมนี ส่วนอีก 1 รายอยู่ในสวีเดน และยังมีผู้ล้มป่วยจากโรคนี้ 2,153 คน และ 627 รายในจำนวนดังกล่าวเกิดโรคแทรกซ้อนที่แทบไม่เคยพบ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไตวาย ขณะที่โฆษกองค์การอนามัยโลก (ฮู) เผยว่า นอกจากเยอรมนีและสวีเดนแล้ว อีก 10 ประเทศของยุโรป และสหรัฐ มีผู้ป่วยจากการระบาดของอีโคไลอีกประมาณ 90 คน
แหล่งข่าวในสาธารณสุขเยอรมนี เผยต่อว่า อีก 9 ประเทศในยุโรปที่มีการแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไล ตามที่โฆษกองค์การอนามัยโลกแถลงประกอบด้วย ออสเตรียอังกฤษ สาธารณรัฐเชก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สเปน และสวิตเซอร์แลนด์.
ที่มา : เดลินิวส์
51  สมาชิก VIP / General Discussion / การเตรียมความพร้อมรับมือดินโคลนถล่ม เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 07:10:13 AM
การเตรียมความพร้อมรับมือดินโคลนถล่ม



การเตรียมความพร้อมรับมือดินโคลนถล่ม (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)


          ช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีนี้หลายพื้นที่ของประเทศไทยเกิดดินถล่มบ่อยครั้งมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลานานบนที่ลาดเชิงเขา ประกอบกับไม่มีรากไม้ยึดเกาะหน้าดินทำให้ดินภูเขาที่ชุ่มน้ำอยู่แล้ว ไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้จนพังถล่มและเลื่อนไหลลงมา สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อลดความสูญเสียดังกล่าว กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขอแนะข้อสังเกตและวิธีปฏิบัติกรณีเกิดดินถล่ม ดังนี้

          ลักษณะของพื้นที่เสี่ยงเกิดดินถล่ม อยู่บริเวณภูเขา ใกล้ลำห้วย มีร่องรอยดินไหลหรือดินเลื่อนบนภูเขามีรอยแยกบนพื้นดินบนภูเขา อยู่บนเนินหน้าหุบเขา และเคยมีร่องรอยการเกิดดินโคลนถล่ม มีกองหินเนินทรายปนโคลนและต้นไม้ในลำห้วยใกล้หมู่บ้าน รวมถึงพื้นห้วยมีก้อนหินขนาดเล็กใหญ่ปนกันตลอดท้องน้ำ ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพื้นที่เสี่ยงดินถล่ม รวม 51 จังหวัด 323 อำเภอ 1,056 ตำบล 6,450 หมู่บ้าน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ดินโคลนถล่มรุนแรงมากขึ้นเกิดจากปัจจัย 5 ด้าน ได้แก่

           1 สภาพธรณีวิทยา เป็นหินเนื้อแน่น เมื่อเกิดการผุกร่อน ทำให้เกิดชั้นดินหนา

           2 สภาพภูมิอากาศ เกิดฝนตกติดต่อกันเป็นเวลานาน

           3 สภาพภูมิประเทศ เป็นภูเขาและหน้าผาลาดชัน

           4 การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม โดยการตัดถนนผ่านไหล่เขาหรือภูเขาลาดชัน

           5 การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตร โดยปลูกพืชชนิดเดียวบนที่ลาดเชิงเขา เช่น ยางพารา ข้าวโพด เป็นต้น ซึ่งพืชชนิดนี้มีรากตื้นและเกาะชั้นดินที่มีความลึกระดับเดียว ทำให้เสถียรภาพของชั้นดินลดลง     


 การเตรียมความพร้อมรับมือดินโคลนถล่ม

            สิ่งบอกเหตุก่อนเกิดดินถล่ม มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง วัดปริมาณน้ำฝนได้มากกว่า 100 มิลลิเมตร น้ำในแม่น้ำมีสีขุ่นข้นและระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มีต้นไม้ขนาดเล็กไหลปนมากับน้ำ มีเสียงดังผิดปกติบริเวณภูเขา ให้สันนิษฐานว่าอาจเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มขึ้นได้  ให้เตรียมอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยในทันที

            การอพยพหนีภัยดินถล่ม ให้อพยพไปตามเส้นทางที่พ้นจากแนวการไหลของดินถล่ม ขึ้นที่สูงหรือสถานที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีแนวการไหลของดิน และเส้นทางที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก หากจำเป็นต้องใช้เส้นทางดังกล่าว ให้ใช้เชือกผูกลำตัวแล้วยึดติดไว้กับต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างที่มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากพัดจมน้ำ ห้ามว่ายน้ำหนีโดยเด็ดขาด เพราะอาจกระแทกกับซากต้นไม้หรือหินที่ไหลมาตามน้ำจนจมน้ำเสียชีวิตได้

            หลังเกิดดินถล่ม  ห้ามเข้าใกล้บริเวณที่เกิดดินโคลนถล่มหรือบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย เนื่องจากอาจเกิดการพังทลายซ้ำ กำหนดเขตปลอดภัย โดยติดตั้งป้ายเตือนว่าพื้นที่ใดปลอดภัยและพื้นที่ใดเสี่ยงต่อการเกิดดินโคลนถล่มซ้ำพร้อมเร่งระบายน้ำออกจากบริเวณที่ดินถล่มให้มากที่สุดโดยทำทางเบี่ยง เพื่อไม่ให้น้ำไหลลงมาสมทบเข้าไปในมวลดินเดิมที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว

            การหมั่นติดตามพยากรณ์อากาศ การปฏิบัติตนตามประกาศแจ้งเตือนภัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และรู้จักสังเกตสัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติ จะช่วยลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากดินโคลนถล่ม
52  สมาชิก VIP / General Discussion / ย้ำเตือนโทษ...ของผงชูรส เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 07:07:55 AM
ย้ำเตือนโทษ...ของผงชูรส




ย้ำเตือนโทษ...ของผงชูรส (Woman's Story)

          เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วในห้องครัวเกือบทุกบ้านต้องมี "ผงชูรส" เป็นหนึ่งเครื่องปรุงรสที่อยู่ในครัวอย่างแน่นอน ที่มาของผงชูรสนั้น มาจากประเทศญี่ปุ่น โดยศาสตราจารย์ ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ ค้นพบว่าผลึกสีน้ำตาลที่สกัดจากสาหร่ายทะเลที่ชื่อว่าคอมบุ นั่นก็คือ กรดกลูตามิก อีกทั้งเป็นอาหารประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

          แต่หากรับประทาน "ผงชูรส" มากเกินไป ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เพราะ "ผงชูรส" จะไปทำลายสมองส่วนที่ควบคุมการเจริญเติบโต นอกจากนั้นยังไปทำลายระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาทตา และอาจจะเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรจะรับประทาน เพราะหากรับประทานมากเกินไป ผงชูรสจะผ่านเยื่อที่กั้นระหว่างรก ทำให้ทารกในครรภ์จะได้รับผลโดยตรง

          นอกจากนี้บางคนอาจจะมีอาการแพ้ผงชูรสอีกด้วย ผู้ที่แพ้ผงชูรสนั้นจะมีอาการชา ร้อนวูบที่ปากและลิ้น มีผื่นขึ้นตามร่างกาย แน่นหน้าอก หรืออาจจะมีอาการหายใจไม่สะดวก เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่ผงชูรส หรือไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 ช้อนชาต่อวัน และควรใช้ผงชูรสแท้ที่มีตรา อย. อีกด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเองค่ะ
53  สมาชิก VIP / General Discussion / เคล็ดลับในการเก็บน้ำหอม เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 06:46:58 AM
เคล็ดลับในการเก็บน้ำหอม



เคล็ดลับในการเก็บน้ำหอม (Lisa)


          น้ำหอมก็เหมือนผลิตภัณฑ์ความงามอื่น ๆ นั่นแหละ คือมีวันหมดอายุเหมือนกัน แต่คุณสามารถยืดอายุน้ำหอมให้มีกลิ่นหอมคงเดิมออกไปได้ด้วยเคล็ดลับดี ๆ ต่อไปนี้

            อย่าเก็บไว้ใกล้ความร้อนหรือความเย็นจัด : คุณคงรู้ดีอยู่แล้วว่าความร้อนทำให้น้ำหอมมีกลิ่นเปลี่ยนไปได้ แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าการเก็บน้ำหอมไว้ในตู้เย็นที่มีความเย็นจัด บางครั้งก็ทำให้น้ำหอมมีกลิ่นเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน อุณหภูมิที่เหมาะกับการเก็บน้ำหอมคือประมาณ 10-15 องศาเซลเซียส

            อย่าเก็บไว้ในห้องน้ำ : การวางน้ำหอมไว้แถว ๆ อ่างล้างหน้าก็ดูเข้าทำดี แต่จริง ๆ แล้วไม่ดีหรอก เพราะในห้องน้ำนั้นทั้งร้อนและชื้น ซึ่งอาจทำให้โมเลกุลน้ำหอมเกิดการแตกตัว หรือมีเชื้อแบคทีเรียเข้ามาได้

            เก็บไว้ในที่มืด ๆ : การปล่อยน้ำหอมให้โดนแสงจะทำให้โมเลกุลน้ำหอมลดประสิทธิภาพลง ฉะนั้น จึงเป็นการดีที่ควรเก็บน้ำหอมไว้ในตู้หรือลิ้นชักที่ไม่มีแสงลอดเข้าไปได้ ถ้าจำเป็นต้องนำออกมาวางในที่ที่มีแสงส่องถึง ก็ควรเทไว้ในขวดสีชาหรือขวดที่มีความทึบแสง

            อย่าเปิดฝาทิ้งไว้ : น้ำหอมส่วนใหญ่จะมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ซึ่งจะระเหยได้ง่าย ถ้าโดนอากาศ ฉะนั้น การเผลอเปิดฝาทิ้งไว้ ก็เท่ากับว่าน้ำหอมจะแห้งเร็วขึ้น
54  สมาชิก VIP / General Discussion / 11 วิธีปฏิเสธคนให้เป็น เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 06:41:19 AM
11 วิธีปฏิเสธคนให้เป็น



หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ที่ถูกชักชวนให้ไปไหน หรือทำอะไรโดยที่ใจจริงไม่อยากทำ แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธได้ ทำให้เกิดความลำบากใจ ยุ่งยากใจ และทำให้ไม่มีความสุขกับสิ่งนั้น ๆ วันนี้เราจึงขอนำเสนอตัวช่วยที่จะทำให้คุณบอกปฏิเสธได้อย่างเหมาะสม ลองมาดูกันว่ามีวิธีใดที่จะช่วยให้คุณกล้าและรู้จักพูดปฏิเสธได้บ้าง

1. เคารพความรู้สึกของตัวเอง

          เชื่อแน่นอนว่าการที่คุณจะปฏิเสธอะไรสักอย่างนั้น เท่ากับว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่คุณไม่อยากยุ่งเกี่ยว หรือวุ่นวายด้วย ดังนั้นเมื่อคุณมีความรู้สึกเช่นนั้น ก็ควรที่จะเคารพความรู้สึกของตัวคุณเอง เพราะหากคุณตอบรับกับสิ่งนั้น ๆ ไปแล้ว จะส่งผลทำให้คุณหมดความสนุก ไม่มีความสุขกับมันเลย

2. คิดถึงสิ่งที่จะตามมา

          ให้คุณคิดอย่างรอบคอบ คิดอย่างละเอียดถึงสิ่งที่คุณทำ ให้ลองคิดดูว่าหากคุณลองตอบตกลงไปแล้วนั้น สิ่งที่คุณจะต้องประสบพบเจอนั้นมีอะไรบ้าง ขณะเดียวกันหากคุณปฏิเสธ จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า ลองคิดและเปรียบเทียบกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น

3. มั่นใจว่าปฏิเสธแล้วไม่ส่งผลกระทบ

          ในการที่คุณจะปฏิเสธกับสิ่งใด ๆ ก็แล้วแต่ คุณควรที่จะตระหนักถึงผู้ชวนหรือผู้ให้ด้วย ว่าหากคุณทำการปฏิเสธไปแล้ว จะส่งผลกระทบอะไรกับเขาหรือไม่ อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อให้เป็นการรักษาน้ำใจของเขาคนนั้นเอาไว้

4. หาวิธีบอกปฏิเสธให้เหมาะสม

          เมื่อคุณถูกชักชวนให้ไปไหนหรือทำอะไร ก็อาจจะเจอวิธีการชักชวน ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการชวนต่อหน้า ชวนทางโทรศัพท์ ชวนทางอีเมล์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นแล้วเวลาที่คุณตอบกลับไป ก็ควรจะเลือกตอบให้เหมาะสม หรือให้เขารับรู้ได้ดีที่สุด

5. มีเหตุผลในการปฏิเสธ

          คุณควรบอกเหตุผลในการปฏิเสธเพียงสั้น ๆ เท่านั้น เอาแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความ อย่าเยิ่นเย้อ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ดูน่ารำคาญและไม่จริงใจ เหมือนพยายามหาข้ออ้างมาปฏิเสธมากกว่า

6. ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ

          วิธีนี้ถือเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ชักชวนรู้สึกเสียน้ำใจน้อยที่สุด แถมยังจะช่วยให้เขาเข้าใจถึงเหตุผลที่คุณปฏิเสธได้ดีอีกด้วย

7. มีตัวช่วยในการปฏิเสธ

          หลาย ๆ ครั้งที่คุณไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ด้วยตัวของคุณเอง หรืออาจจะยังกล้า ๆ กลัว ๆ ลองให้คนอื่นเป็นคนบอกปฏิเสธแทนคุณ ก็เข้าท่าอยู่ไม่น้อย

8. ทำตัวเองให้ยุ่งเข้าไว้

          อีกหนึ่งวิธีที่หลีกเลี่ยงและทำให้คุณปฏิเสธได้อย่างสมเหตุสมผล คุณต้องทำตัวเองให้ยุ่งวุ่นวายเข้าไว้ โดยอาจจะอ้างเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องใด ๆ ก็แล้วแต่

9. เขียนระบายอารมณ์ซะก่อน

          คุณเชื่อหรือไม่ว่า การเขียนสิ่งที่คุณไม่อยากทำ หรือเขียนระบายความในใจถึงสิ่งที่คุณกำลังจะปฏิเสธ จะช่วยให้คุณรู้สึกดีมากขึ้น ที่สำคัญยังทำให้คุณได้คิดไตร่ตรองว่าควรจะตอบตกลงหรือปฏิเสธมากกว่ากัน

10. ยื้อเวลา

          ลองวิธีแบบง่าย ๆ สั้น ๆ ด้วยการยื้อเวลาในการตอบตกลงไปเรื่อย ๆ ทำเป็นไม่สนใจบ้าง บ่ายเบี่ยงการให้คำตอบบ้าง ก็ช่วยคุณได้เยอะเลยล่ะ

11. ไม่ต้องตอบกลับแต่อย่างใด

          หากคุณมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ จนแทบจะไม่มีเวลาตอบอะไรใครทั้งนั้น ก็ไม่ต้องกังวลไป ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก่อน หรือไม่ก็เลือกตอบแต่เรื่องที่สำคัญ ๆ เท่านั้นจะดีกว่า

          และนี่ก็คือวิธีที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้การเลือกปฏิเสธอย่างเหมาะสม และคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หากคุณจะพูดปฏิเสธเรื่องบางเรื่องหรือคนบางคนไปบ้าง เพราะนั่นจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจ และมีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นตามแต่ที่ใจคุณจะต้องการได้อีกเยอะเลย
55  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / "เฟียต" ฮุบกิจการ "ไครส์เลอร์" กวาดหุ้นส่วนใหญ่จากรัฐบาลมะกัน เมื่อ: มิถุนายน 05, 2011, 10:52:25 PM
"เฟียต" ฮุบกิจการ "ไครส์เลอร์" กวาดหุ้นส่วนใหญ่จากรัฐบาลมะกัน


 เอเอฟพี - บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน "ไครส์เลอร์" ตกอยู่ภายใต้การควบคุมกิจการของ "เฟียต" อย่างเป็นทางการ เมื่อค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของอิตาลีรายนี้ประกาศว่าได้ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครองอยู่เรียบร้อยแล้ว
       
       การฮุบกิจการครั้งนี้เกิดขึ้น 2 ปีหลังจากเฟียตถือหุ้น 20% เพื่อแลกกับการแบ่งปันเทคโนโลยี และหาผู้นำที่น่าเชื่อถือ ขณะที่ไครส์เลอร์กำลังฟื้นตัวจากการล้มละลาย โดบมีรัฐบาลสหรัฐฯ หนุนหลัง
       
       ประธานาธิบดีบารัค โอบามาฉลองข่าวนี้ด้วยการเยือนโรงงานผลิตรถของไครส์เลอร์ในโทเรโด มลรัฐโอไฮโอ พร้อมบอกกับพนักงานทั้งหลายว่า การตัดสินใจช่วยเหลือทางการเงินแก่ไครส์เลอร์ เจเนอรัล มอเตอรส์ และซัพพลายเออร์อื่นๆ ที่ไม่เป็นที่นิยม ได้รับการสะสางแล้ว
       
       เมื่อ 2 ปีก่อน โรงงานผลิตรถในโทเลโด และเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศเกือบต้องปิดตัว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งทำให้มีการเลิกจ้างในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ราว 400,000 ตำแหน่ง และยังเสี่ยงสูญอีกหลายล้านตำแหน่ง หากไครส์เลอร์ และจีเอ็มล้มละลาย
       
       "วันนี้ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อเมริกันทั้ง 3 แห่งกำลังกลับมามีกำไร ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2004 วันนี้ ผู้ผลิตรถยนต์อเมริกันทั้ง 3 แห่งกำลังได้รับส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1995 แล้ว" โอบามากล่าว
       
       ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเสริมว่า 3 บิ๊กผู้ผลิตรถยนต์แห่งดีทรอยต์ ได้แก่ ฟอร์ด จีเอ็ม และไครส์เลอร์กำลังขยายการผลิต ซึ่งช่วยฟื้นการจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ 113,000 ตำแหน่งใน 2 ปีที่ผ่านมา
       
       อย่างไรก็ตาม ขณะที่ไครส์เลอร์อาจจ่ายหนี้ ที่เพิ่มขึ้นหลังโอบามาเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ปี 2009 ได้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ 6 ปี แต่ผู้จ่ายภาษีชาวอเมริกันก็ยังได้รับผลกระทบ
       
       กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประเมินว่า ยังไม่สามารถคืนเงิน 1,300 ล้านดอลลาร์ จากทั้งหมด 12,500 ล้านดอลลาร์จากกองทุนเงินภาษี ที่อัดฉีดให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ดังกล่าว ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2008 สมัยที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชยังดำรงตำแหน่งอยู่
56  สมาชิก VIP / General Discussion / ห้องพระ...จัดดีเป็นมงคลกับบ้าน เมื่อ: มิถุนายน 04, 2011, 08:45:20 AM
ห้องพระ...จัดดีเป็นมงคลกับบ้าน



ห้องพระ เป็นอีกห้องหนึ่งที่จะต้องนำมาพิจารณากัน ถ้าบ้านหลังนั้นกำหนดให้มีห้องพระ บางบ้านอาจจะไม่มีห้องพระก็ได้ อาจทำแค่หิ้งพระเล็กๆ แทน ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่ความต้องการของเจ้าของบ้านเป็นหลัก

การกำหนดห้องพระให้อยู่ส่วนไหนของบ้านนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่หลายประการทีเดียว แต่ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า เรื่องห้องพระเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจใช้หลักเหตุผลอย่างเดียวมาวิเคราะห์ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่หาคำอธิบายได้ยาก

1. ห้องพระวางชั้นบนดีกว่าชั้นล่าง การกำหนดผังบ้าน พยายามเลือกวาง ห้องพระเอาไว้ชั้นบนสุด ไม่ว่าบ้านจะกี่ชั้นก็ตาม เพราะพระเป็นของสูง เป็นที่สักการะบูชา การวางต่ำกว่าคนในบ้าน ย่อมไม่เป็นมงคลแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะวางห้องพระชั้นล่างไม่ได้

เพียงแต่ว่า การวางห้องพระชั้นล่าง จะมีข้อจำกัดมากมาย และการหาตำแหน่งในการวางห้องพระค่อนข้างจะยาก เพราะชั้นล่าง จะเต็มไปด้วยห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องส้วม นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาห้องที่อยู่ชั้นบนอีกด้วยว่า ห้องชั้นบนที่ตรงกับห้อง พระชั้นล่าง เป็นห้องอะไร ถ้าเป็นห้องส้วม ห้องนอน ก็จะห้ามเอาไว้อีก บ้านที่เอาห้องพระไว้ชั้นล่าง ชั้นบนที่ตรงกับห้องพระจะต้องเป็นห้องว่าง ที่ไม่มีคนอยู่ถึงจะใช้ได้

 



ห้องนอนตรงกับห้องพระชั้นล่าง ถ้าพระตรงกับเตียงถือเป็นข้อห้าม

 

2. ห้องพระห้ามติดกับห้องส้วม เหตุผลในเชิงฮวงจุ้ยบอกว่า ห้องส้วมเป็นธาตุน้ำ ห้องพระเป็นธาตุไฟ ตามกฎเบญจธาตุ ( 5 ธาตุ) ธาตุน้ำพิฆาตธาตุไฟ

 



 

ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางห้องพระติดกับห้องส้วม ควรหาตู้มาพิงผนังห้องส้วมแล้วหันพระไปทางอื่นที่ไม่ตรงกับห้องส้วม

บ้านที่เอาห้องพระวางติดกับห้องส้วม ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระจะเสื่อม เพราะถูกพลังของธาตุน้ำ บั่นทอน นั่นเอง เพราะฉะนั้น ควรหลีกเลี่ยงวางห้องพระติดกับห้องส้วม ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางติดกัน ก็ไม่ควรวางองค์พระพิงผนังห้องส้วม และหาตู้มาพิงด้านที่เป็นกำแพงห้องส้วมเอาไว้ ก็จะถือว่าใช้ได้

3. ห้องพระต้องอยู่ในทำเลที่สงบ ลองพิจารณาดูพื้นที่บ้านสิว่า มีมุม ไหนที่ไม่พลุกพล่าน เป็นมุมสงบบ้าง ห้องพระต้องการความสงบนิ่ง ไม่ใช่อยู่ในตำแหน่งที่วุ่นวาย เช่น ติดกับห้องเอนเตอร์เทน ที่มีเสียงดังจากทีวี วิทยุ ห้องครัว

ซึ่งนอกจากมีเสียงทำกับข้าวแล้ว ยังมีกลิ่นมารบกวนความสงบอีกด้วย ห้องรับแขก ที่มีเสียงคุยกัน เพราะฉะนั้น การเลือกวางห้องพระเอาไว้ชั้นบน น่าจะหามุมสงบได้ง่ายกว่า เพราะจะมีแต่ห้องนอนเป็นส่วนใหญ่

4. ห้องพระติดห้องนอน ต้องระวังเรื่องการวางเตียง กรณีที่วาง ตำแหน่งห้องพระติดกับห้องนอน จะต้องพิจารณาเรื่องการวางเตียงนอน เป็นประเด็นสำคัญ

 

 



ห้ามวางเตียงในลักษณะหันปลายเท้าไปที่ห้องพระ

เพราะถือเป็นการไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งเตียงนอน ควรวางในลักษณะที่ขวางกับห้องพระ ห้ามวางเอาปลาย เตียงหันไปที่ห้องพระ เพราะคนนอนจะเอาเท้าหันไปที่ห้องพระ ซึ่งถือว่าไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นมงคลกับคนที่นอน

กรณีที่เอาหัวเตียงไปที่ห้องพระ ต้องพิจารณาว่า ถ้าตำแหน่งขององค์พระหรือ โต๊ะหมู่บูชาไม่ติดกับหัวเตียง ก็สามารถวางได้ แต่ถ้าติดกันจะถือว่าเสีย เพราะคนนอนจะได้รับอิทธิพลของธาตุไฟ ทำให้ปวดหัวได้ง่าย นอนไม่ค่อยหลับ

5. ห้องพระห้ามต่ำกว่าห้องอื่น กรณีที่เป็นบ้านเล่นระดับ ห้องพระจะต้อง เลือกวางในตำแหน่งที่สูงกว่าห้องอื่นๆ โดยเฉพาะห้องที่มีคนอยู่ เพราะโดยหลักแล้วคนห้ามนอนสูงกว่าพระ แต่ถ้าห้องที่สูงกว่าไม่มีคนอยู่ เช่น เป็นห้องว่าง ห้องเก็บของ ก็จะอนุโลมให้ทำห้องพระได้

"ห้องพระควรวางหน้าบ้านจริงหรือไม่" ความจริงแล้วเรื่องการวางห้องพระหน้าบ้านหรือหลังบ้านนั้น ในตำราฮวงจุ้ยไม่ได้ระบุเอาไว้ชัดเจน เพียงแต่บอกว่า ตำแหน่งหน้าคือ "โชคลาภ" ตำแหน่งหลังคือ "บารมี" และจากประสบการณ์ที่ผมไปตระเวนดูบ้านมามากมาย ส่วนใหญ่ก็มักจะวางห้องพระไว้ส่วนด้านหลังมากกว่าด้านหน้าของบ้าน

ซึ่งเหตุผลก็คงเป็นเรื่องของความนิ่งสงบมากกว่า บริเวณหน้าบ้านค่อนข้างจะพลุกพล่าน แต่ถ้ามองตามหลักฮวงจุ้ย การวางห้องพระด้านหลังก็น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะด้านหลัง แทนความหมายของ "บารมี" นอกจากนี้ ด้านหลังตามหลักชัยภูมิก็มีสภาพเป็น "หยิน" คือ นิ่ง (หน้าเป็นหยางที่เคลื่อนไหว) ก็จะเป็นชัยภูมิที่ถูกต้อง กฎเกณฑ์ในการวางตำแหน่งห้องพระในบ้าน

ความจริงแล้วยังมีเรื่องของทิศและ ตำแหน่งของดวงดาวที่จะต้องนำมาพิจารณาด้วย แต่ผมว่า เอาชัยภูมิให้ได้เสียก่อน เพราะเรื่องทิศและเรื่องของดาวยังเป็นเรื่องรอง และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอสมควร ต้องวัดกันเป็นองศา คงต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยจะดีกว่า
57  สมาชิก VIP / General Discussion / ผัก ผลไม้ 5 สี ดีมีประโยชน์ เมื่อ: มิถุนายน 04, 2011, 08:17:26 AM
ผัก ผลไม้ 5 สี ดีมีประโยชน์



ผัก ผลไม้ 5 สี ดีมีประโยชน์ (Mix Magazine)

          จากงานวิจัย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่า ชายไทยร้อยละ 80 กินผักผลไม้เพียง 268 กรัม/คน/วัน และหญิงไทยร้อยละ 76 กินผักผลไม้เพียง 276 กรัม/คน/วัน ซึ่งตัวเลขนี้ห่างจากมาตรฐานที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 400-500 กรัม/คน/วัน พอสมควรทีเดียว

          และจากจุดนี้นี่เองที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคง่าย เพราะได้รับคุณค่าของสารอาหารไม่เพียงพอ และอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว การไม่กินผักทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมาย อาทิ ท้องผูก ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ 

          ทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุที่เราจำเป็นจะต้องหันมากินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับไฟโตนิวเทรียนท์ที่มากพอ และการที่จะได้รับอย่างมากพอนั้น ก็ไม่ควรกินผัก ผลไม้เพียงแค่ชนิดเดียว ควรกินให้ครบ 5 สี ทั้ง แดง เหลือง เขียว ม่วง ขาว เพราะแต่ละชนิดให้คุณค่าของสารอาหารไฟโตนิวเทรียนท์ที่แตกต่างกันไป

          อย่างในผัก ผลไม้สีแดงที่เห็นคุณประโยชน์เด่นชัดเลยก็คือ มะเขือเทศ ทับทิม อะเซโรล่าเชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ หรือแม้กระทั่งลูกแอปเปิ้ลแดงก็ตาม ในผัก ผลไม้สีแดงนี้จะมีสารไลโคปิน กรดเอลลาจิก แอนโธไซยานิน และกรดแกลลิก ที่ช่วยทำให้ระบบการทำงานของต่อมลูกหมากดีขึ้น ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิดอีกด้วย

          สำหรับผัก ผลไม้ สีเหลืองส้ม จะช่วยในเรื่องของผิว เพราะมีเบต้าแคโรทีนอยู่จำนวนมาก เช่น แครอต ฟักทอง ข้าวโพด ใครที่กินผัก ผลไม้ประเภทนี้มาก ๆ ผิวจะกลายเป็นสีเหลือง นั่นเป็นเพราะสารเบต้าแคโรทีนไปสะสมอยู่ตรงบริเวณผิวหนัง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ง่าย ๆ ยิ่งถ้าใครมีค่าเบต้าแคโรทีนสูง ๆ ก็ยิ่งมีค่าความเสี่ยงลดลง ดังนั้นหากใครกลัวว่าผิวจะเป็นสีเหลืองเพราะกินเบต้าแคโรทีนมากไป คงต้องหันไปกลัวว่าความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นแทนดีกว่า

          ผัก ผลไม้สีเหลืองยังมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล และยังมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าด้วยว่าลองกินมะละกอห่าม ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานถึง 2 ปี มีสิทธิ์ทำให้สีผิวหน้าที่เป็นฝ้าลดลงได้ รวมทั้งข้าวโพดเหลือง ๆ ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาของดวงตาได้อีกด้วย

          ต่อจากแดง เหลือง ก็มาถึงผักสีเขียวที่แทบจะเรียกได้ว่ามีมากที่สุดในบรรดาผัก ผลไม้ต่าง ๆ เช่น บร็อคโคลี่ คะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง กวางตุ้ง โหระพา กะเพรา สะระแหน่ และวอเตอร์เครส โดยในผักสีเขียวจะอุดมไปด้วยสารไอโซไธโอไซยาเนท ลูทีน ซีแซนทีน แคททิชิน สารอาหารเหล่านี้จะเข้าไปมีส่วนช่วยทำให้เซลล์สามารถทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสนับสนุนการทำงานของปอด หลอดเลือดแดง และตับอีกด้วย 

          ผัก ผลไม้สีขาวอย่างกระเทียม หอมใหญ่ เห็ด กะหล่ำดอก ผักกาดขาว ดอกแค และมะขามเปราะ ก็มีสารอาหารที่ช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรงเช่นกัน โดยในกระเทียมมีอัลลิซิน เควอซิทิน ที่ช่วยดูแลในเรื่องของกระดูก และทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ดอกแคก็มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคหวัดได้ และยังมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยให้ผิวสวยอีกต่างหาก

          สำหรับผัก ผลไม้สีสุดท้ายนั่นก็คือ สีม่วง น้ำเงิน เป็นกลุ่มที่มีสารแอนโทไซยานินที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ สามารถพบได้ง่าย ๆ ในกะหล่ำปลีสีม่วง มะเขือม่วง หรือบลูเบอร์รี่ก็ได้เช่นกัน นอกจากนั้นแล้วสารแอนโทไซยานินยังมีส่วนในการช่วยขยายหลอดเลือดทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและอัมพาตลดลงได้เช่นกัน

          ในการกินผักผลไม้นั้น นอกจากจะได้รับสารไฟโตนิวเทรียนท์อย่างครบถ้วนแล้ว ยังได้ในเรื่องของกากใยเพื่อช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายอีกด้วย นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้นอีกด้วย ลองเริ่มใส่ใจในการกินผักผลไม้ 5 สีตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพของเราที่ดีในวันข้างหน้ากันเถอะครับ
58  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / เยอรมนีมืดแปดด้าน! ต้นตอ “อีโคไล” หลังพบดับปริศนา 16 ราย เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 07:49:10 AM
เยอรมนีมืดแปดด้าน! ต้นตอ “อีโคไล” หลังพบดับปริศนา 16 ราย


 เอเอฟพี - เยอรมนียังคงมองไม่เห็นต้นสายปลายเหตุของอีโคไล เชื้อแบคทีเรียมรณะ ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 16 ราย ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ (1) กรุงมาดริดตั้งท่าจะฟ้องเมืองฮัมบูร์กที่กล่าวหาว่าแตงกวานำเข้าจากสเปนปนเปื้อนเชื้อปริศนาดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลผลิตพืชผักของแดนกระทิง
       
       นักวิทยาศาสตร์เยอรมนีและเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจพบว่า เชื้ออีโคไล เป็นสาเหตุของการระบาด ซึ่งส่งผลกระทบในพื้นที่ทางเหนือของเยอรมนี อย่างไรก็ตามทางการยังไม่สามารถระบุได้ว่าเชื้อดังกล่าวเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ
       
       ทั้งนี้ เยอรมนียังคงประกาศเตือนผู้บริโภคไม่ให้รับประทานแตงกวา มะเขือเทศ หรือผักกาดหอมดิบๆ ที่คาดว่าเป็นต้นตอการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งคร่าชีวิตผู้บริโภาคในเยอรมนีไป 15 ราย และในสวีเดนอีก 1 ราย รวมทั้งยังมีผู้ป่วยอาการหนักอีกจำนวนมากรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
       
       เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากภาวะเม็ดเลือดแดงแตกและไตวาย (Hemolytic Uremic Syndrome-HUS) 15 ราย ตั้งแต่เกิดการระบาดรุนแรงเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ส่วนทางการสวีเดนรายงานเช่นกันว่าพบสตรีรายหนึ่งเสียชีวิต หลังจากเดินทางท่องเที่ยวในเยอรมนีก่อนหน้านี้
       
       หน่วยงานด้านสาธารณสุขเมืองฮัมบูร์กยอมรับวานนี้ (31) ว่าผลการทดสอบแตงกวานำเข้าจากแคว้นอันดาลูเซีย ทางใต้ของสเปน ที่สงสัยว่าเป็นต้นตอของเชื้อมรณะพบว่ามีเชื้ออีโคไลจริง แต่ไม่ใช่ชนิดที่ทำให้เกิดการระบาดดังกล่าว
       
       สเปนข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเมืองฮัมบูร์ก หลังกล่าวหาว่า แตงกวาจากสเปนเป็นต้นเหตุของโรคระบาดดังกล่าว ทั้งนี้ ผู้ส่งออกผักในสเปนประเมินความเสียหายว่ามีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านยูโร (ประมาณ 8,700 ล้านบาท) ในหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากผลผลิตจำนวน 150,000 ตันขายไม่ออกในยุโรป
       
       นอกจากนี้ สเปนและเนเธอร์แลนด์ยังได้เรียกร้องให้สหภาพยุโรปชดเชยค่าเสียหายจากผลกระทบดังกล่าวด้วยเช่นกัน
       
       ทั้งนี้ ทั่วยุโรปมีการยืนยันหรือต้องสงสัยว่าเกิดกรณีอาหารเป็นพิษขึ้นใน 8 ประเทศ โดยมีรายงานในเดนมาร์ก อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย ฝรั่งเศส สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และสาธารณรัฐเช็ก อย่างไรก็ตาม เป็นที่ชัดเจนว่าเชื้ออีโคไลเชื่อมโยงกับคนที่เพิ่งเดินทางเข้าไปยังตอนเหนือของเยอรมนี
59  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ปปง.สั่งธนาคาร รายงานโอนเงินเกินแสนผ่านเอทีเอ็ม เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 05:54:13 AM
ปปง.สั่งธนาคาร รายงานโอนเงินเกินแสนผ่านเอทีเอ็ม

กฎหมายใหม่ สถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมการโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มตั้งแต่แสนบาทขึ้นไป ล้อมคอกการฟอกเงินผ่านอีแบงค์กิ้ง

          พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป จะบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับใหม่ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินสดที่ใช้เงินสดใน 9 กลุ่มอาชีพ ที่ต้องรายงานธุรกรรมต่อ ปปง. ซึ่งจะครอบคลุมเพิ่มเติมจากกฎหมายเดิมที่กำหนดให้สถาบันการเงินและธนาคาร ต้องรายงานธุรกรรมการเงินที่เป็นเงินสดตั้งแต่ 2 ล้านบาท ส่วนธุรกรรมที่ใช้ทรัพย์สินต้องรายงานตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป

          แต่สำหรับกฎหมายใหม่ กำหนดเพิ่มเติมให้ธนาคารต้องรายงานธุรกรรมทางอิเลคทรอนิกส์ ตั้งแต่ 700,000 บาท ขึ้นไปในส่วนของการโอนในรูปแบบ Wire Tranfer หรือการบริการทางการเงินที่ผ่านช่องทางเอทีเอ็ม หรือ อินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง รวมทั้งการโอนเงินหรือทำธุรกรรมทางอิเลคทรอกนิกส์ที่เป็นเงินสด ตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป โดยจะต้องรายงานธุรกรรมเป็นประจำทุกเดือน เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายใช้สถาบันการเงินเป็นเครื่องมือฟอกเงิน

          สำหรับ 9 กลุ่มอาชีพ ที่ต้องรายงานธุรกรรมต่อ ปปง. ได้แก่...

          1. อาชีพเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางการเงินการลงทุนที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
          2. ผู้ประกอบการอัญมณี เพชร พลอย ทองคำ
          3. อาชีพค้าหรือให้เช่ารถยนต์
          4. นายหน้า หรือตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
          5. อาชีพค้าของเก่าและวัตถุโบราณ
          6. อาชีพเกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคล
          7. อาชีพเกี่ยวกับบัตรเงินอิเลคทรอนิกส์
          8. อาชีพเกี่ยวกับบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
          9. อาชีพเกี่ยวกับการชำระเงินทางอิเลคทรอนิกส์
60  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ไทยเสียดินแดนไปเท่าไหร่ เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 05:39:53 AM
 แผนที่อาณาจักรของประเทศไทยเมื่อสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีอาณาจกรกว้างใหญ่ไพศาล มีเนื้อที่ 1,294,992 ตารางกิโลเมตร

หลังจากสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจนถึงปัจจุบันไทยเสียดินแดนให้กับต่างชาติ  14 ครั้ง เป็นเนื้อที่รวมทั้งสิ้น   782,877 ตารางกิโลเมตรปัจจุบันยังคงเหลือ  512,115  ตารางกิโลเมตรโดยมีรายละเอียดเหตุการณืและเสียดินแดนดังนี้






































หลังจากสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจนถึงปัจจุบันไทยเสียดินแดนให้กับต่างชาติ  14 ครั้ง เป็นเนื้อที่รวมทั้งสิ้น   782,877 ตารางกิโลเมตรโดยมีรายละเอียดเหตุการณืและเสียดินแดนดังนี้ ไทยเสียดินแดน  ครั้งที่ 1 ให้ อังกฤษ ในสมัยรัชกาลที่ 1 คือ เกาะหมาก หรือ ปีนัง ของมาเลเซียในปัจจุบัน พื้นที่ 375 ตร.กม. เพราะ พระยาไทรบุรี กบฏและให้อังกฤษเช่าเพื่อขอความคุ้มครอง แล้วอังกฤษก็ยึดเอาไปดื้อๆ ครั้งที่ 2 เสียเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี พื้นที่ 55,000 ตร.กม. ให้ พม่า ในรัชกาลที่ 1 มังสัจจาเจ้าเมืองทวายเป็นไส้สึกให้พม่า เพราะไม่พอใจที่กองทัพไทยเข้ายึดครอง และไทยไม่สามารถตีคืนกลับมาได้ ครั้งที่ 3 เสียเมืองบันทายมาศ หรือ ฮาเตียน ให้ ฝรั่งเศส ในรัชกาลที่ 3 ครั้งที่ 4 เสียเมืองแสนหวี เมืองพง เชียงตุง พื้นที่ 62,000 ตร.กม. ให้ พม่า สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นดินแดนที่ไทยได้มาในรัชกาลที่ 1 โดยฝีมือพระเจ้ากาวิละ แต่ไทยไม่มีกำลังยึดครอง เพราะตอนนั้นเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียง จันทน์และรัฐกลันตัน ไทรบุรี ครั้งที่ 5 เสียรัฐเปรัค ให้ อังกฤษ ใน รัชกาลที่ 3 ปัจจุบันเป็นของมาเลเซีย ครั้งที่ 6 เสียดินแดนสิบสองปันนา ให้ จีน พื้นที่ 90,000 ตร.กม. ใน รัชกาลที่ 4 เพราะเกิดการแย่งชิงอำนาจกันเองในเมืองเชียงรุ้ง รัชกาลที่ 3 ส่งกองทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ไปตีเชียงตุงเพื่อต่อไปเชียงรุ้ง แต่ไม่สำเร็จ รัชกาลที่ 4 ก็ให้ยกกองทัพไปตีเชียงตุงอีก แต่ก็ไม่สำเร็จ เลยตกเป็นของจีนไป ครั้งที่ 7 เสียดินแดนเขมรและเกาะ 6 เกาะ ให้ ฝรั่งเศส พื้นที่ 124,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะไทยอ่อนแอเอง ครั้งที่ 8 เสียดินแดนสิบสองจุไท (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้ ฝรั่งเศส พื้นที่ 87,000 ตร.กม. ใน รัชกาลที่ 5 พวกฮ่อก่อกบฏไทยส่งกองทัพไปปราบ แต่สองแม่ทัพไม่ถูกกัน ฝรั่งเศสฉวยโอกาสส่งทหารเข้าเมืองไล อ้างไปช่วยไทยปราบฮ่อ เมื่อปราบได้แล้ว ฝรั่งเศสไม่ยอมยกทัพกลับ ในที่สุดไทยต้องยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเชียงค้อ ครั้งที่ 9 เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน อันอุดมสมบูรณ์ให้ อังกฤษ ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 30,000 ตร.กม. ปัจจุบันเป็นของพม่า ครั้งที่ 10 เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หรือ ลาว ในปัจจุบันให้ ฝรั่งเศส ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 143,000 ตร.กม. ซึ่งเป็นของไทยตั้งแต่สมัย สมเด็จพระนเรศวร เป็นการเสียดินแดนที่เจ็บปวดที่สุดเพราะถูกฝรั่งเศสยึดจันทบุรีและตราดบีบบังคับ ครั้งที่ 11 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ให้ ฝรั่งเศส อีก พื้นที่ 25,500 ตร.กม. ใน รัชกาลที่ 5 เพื่อแลกกับจันทบุรี ครั้งที่ 12 เสียมณฑลบูรพา ประกอบด้วย พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ให้ ฝรั่งเศส ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 51,000 ตร.กม. เพื่อแลกกับ ตราด เกาะกง ด่านซ้าย แต่ฝรั่งเศสถอนทหารจากตราดและด่านซ้าย แต่ไม่คืนเกาะกงให้ไทย ครั้งที่ 13 เสีย รัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปริส ให้ อังกฤษ ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 80,000 ตร.กม. เพื่อแลกกับอำนาจศาลไทย ปัจจุบันเป็นของมาเลเซีย ครั้งที่ 14 เสีย ปราสาทพระวิหาร ให้ เขมร เมื่อ 15 มิถุนายน 2505 ใน รัชกาลที่ 9 พื้นที่ 2 ตร.กม. ตามคำพิพากษาศาลโลก ซึ่งไทยไม่ยอมรับ เพราะมีผู้พิพากษาสองคนมาจากประเทศคอมมิวนิสต์ ทำให้ เชื่อว่าเอนเอียง

จากรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเรามีเนื้อที่  1,294,992 ตารากิโลเมตรเราเสียดินแดนให้กับต่างชาติ14ครั้ง รวมเนื้อที่ 782,877 ตารางกิโลเมตรปัจจุบันยังคงเหลือ  512,115  ตารางกิโลเมตร



หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 16

Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!