TARADTHONG.COM
พฤษภาคม 06, 2024, 12:01:43 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 16
61  สมาชิก VIP / General Discussion / เซเชลส์ เกาะฮันนีมูนแสนงามของเจ้าชาย-เจ้าหญิงอังกฤษ เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 04:15:38 PM
เซเชลส์ เกาะฮันนีมูนแสนงามของเจ้าชาย-เจ้าหญิงอังกฤษ



หลังจากที่สื่อทั่วโลกทำข่าวพิธีเษกสมรสของเจ้าชายวิลเลี่ยมกับเจ้าหญิงแคทเธอรีน ดยุคและดัชเชสแห่งแคมบริดจ์ไปแล้ว สื่อต่าง ๆ ก็ยังคงให้ความสนใจชีวิตของทั้งสองพระองค์อยู่อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งเกาะเซเชลส์ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทั้งสองพระองค์เลือกเสด็จไปฮันนีมูน ก็ได้รับความสนใจเช่นเดียวกัน



           โดยเกาะเซเชลส์ เป็นประเทศหมู่เกาะ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นหมู่เกาะที่มีความหรูหราและเหมาะแก่การพักผ่อนมากที่สุด มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและมีความเป็นส่วนตัวสูง ทั้งชายหาดส่วนตัว สปาแบบครบวงจร เชฟ และบริกรส่วนตัว รวมไปถึงร้านอาหารชั้นเลิศ

           ขณะที่อาหารที่ใช้บนเกาะก็เป็นอาหารที่สด สะอาด โดยเฉพาะอาหารทะเล เช่น ปลาหมึกยักษ์ย่าง  อีกทั้งผักและผลไม้ที่นำมาใช้ก็ยังเป็นผัก ผลไม้ออแกนิก ปลอดสารพิษ ซึ่งล้วนแล้วแต่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก



           นอกจากนั้นแล้ว ยังมีบริการสปาโดย "บันยันทรีสปา" ที่เน้นพิเศษในเรื่องการนวดตามแบบฉบับเอเชีย ด้วยการนวดโดยใช้ประโยชน์ทั้งจากสมุนไพรและน้ำมันงา ซึ่งช่วยให้ผ่อนคลาย และลดความตึงเครียดได้ดีอย่างมาก อีกทั้งกิจกรรมดำน้ำลึก และการล่องเรือก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ขึ้นชื่อของเกาะแห่งนี้ และเป็นกิจกรรมที่สื่อต่าง ๆ คาดการณ์กันว่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าชายวิลเลี่ยมจะไม่พลาดอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่พระองค์ทรงชื่นชอบเป็นการส่วนพระองค์



           เกาะเซเชลส์นี้เป็นสถานที่สวยงามสุดโรแมนติก มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำมากมาย อีกทั้งยังมีความเป็นส่วนตัวอีกต่างหาก จึงไม่แปลกใจที่ทั้งสองพระองค์ได้เลือกเกาะแห่งนี้ให้เป็นเกาะสวรรค์ ฉลองสำหรับการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์
62  สมาชิก VIP / General Discussion / เที่ยวลาว สัมผัสมนต์เสน่ห์ประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 03:32:37 PM
เที่ยวลาว สัมผัสมนต์เสน่ห์ประเทศเพื่อนบ้าน



สันติภาพ เอกราช ประชาธิปไตย เอกภาพ วัฒนาถาวร...นี่เป็นคำขวัญของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Laos) หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า ประเทศลาว หรือ สปป. ลาว บ้านพี่เมืองน้องของประเทศไทย ซึ่งมีวิถีชีวิต ภาษา วัฒนธรรม และประเพณีคล้ายคลึงกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทำให้แต่ละปีชาวไทยเดินทางไป "เที่ยวลาว" เป็นจำนวนมาก อาจเพราะเสมือนอยู่บ้านตัวเอง ค่าครองชีพที่ไม่แพงมากนัก รวมถึง ประเทศลาว มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอพาเพื่อน ๆ ไป "เที่ยวลาว" เพื่อทำความรู้จักกับ "ประเทศลาว" ให้มากยิ่งขึ้น แล้วรับรองว่าคุณจะตกหลุมรัก ประเทศเล็ก ๆ แต่ร่ำรวยความสุขอย่างแน่นอน



          ประเทศลาว เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่บนใจกลางของคาบสมุทรอินโดจีน มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 236,800 ตารางกิโลเมตร และไม่มีทางออกสู่ทะเล เนื่องด้วยตลอดแนวชายแดนของประเทศลาว ล้อมรอบด้วยชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน มี นครหลวงเวียงจันทน์ เป็นเมืองหลวงของประเทศ

          ภูมิประเทศของลาวแบ่งเป็น 3 เขต คือ เขตภูเขาสูง เป็นพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 1,500 เมตรขึ้นไป พื้นที่นี้อยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศ, เขตที่ราบสูง ปรากฏตั้งแต่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบสูงเมืองพวน และเขตที่ราบลุ่ม เป็นเขตที่ราบตามแนวฝั่งแม่น้ำโขง และแม่น้ำต่าง ๆ



 สำหรับการปกครองนั้น เป็นแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ หรือที่ทางการลาวใช้คำว่า ระบอบประชาธิปไตยประชาชน โดยมี "พรรคประชาชนปฏิวัติลาว" เป็นองค์กรชี้นำประเทศ ซึ่งพรรคนี้เริ่มมีอำนาจสูงสุด ตั้งแต่ลาวเริ่มปกครองในระบอบสังคมนิยม เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2518 มี ประธานประเทศ (ประธานาธิบดี) ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และมีประชากรรวม 6,068,117 คน ประกอบด้วยชนชาติต่าง ๆ หลากหลายเชื้อชาติ

          ประเทศลาวใช้ "ภาษาลาว" เป็นภาษาทางการ ส่วนในกลุ่มชาวลาวเทิงและชาวลาวสูง ยังคงมีการใช้ภาษาประจำเผ่าของตนควบคู่กับภาษาลาว ส่วนภาษาต่างประเทศอื่นที่มีการใช้ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งมีการใช้มาตั้งแต่สมัยอาณานิคม และอีกภาษาหนึ่งที่สำคัญคือ ภาษาอังกฤษ ในส่วนของศาสนา ชาวลาวส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ คิดเป็น ร้อยละ 60 ของชาวลาวทั้งหมด ควบคู่ไปกับลัทธินับถือผีบรรพบุรุษของชนชาติส่วนน้อยในแถบภูเขาสูง ส่วนชาวลาวที่นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม มีจำนวนที่ค่อนข้างน้อยมาก



 สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศลาวที่สำคัญ ๆ โดยแบ่งเป็นแขวง ได้แก่...

 นครหลวงเวียงจันทน์

          เป็นเขตที่ตั้งของ "กรุงเวียงจันทน์" เมืองหลวงของประเทศลาว ลักษณะการปกครองคล้ายกับกรุงเทพมหานคร อยู่ทางตอนกลางของประเทศลาว มีเมืองเอกคือจันทะบูลี มีเขตติดต่อเป็นชายแดนกับประเทศไทย ระหว่างเวียงจันทน์กับหนองคายของประเทศไทย ทางสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 1 แขวงนครหลวงเวียงจันทน์เป็นแขวงที่เจริญที่สุดใน 18 แขวงของประเทศลาว ซึ่งเขตปกครองนี้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2532 โดยแยกออกมาจากแขวงเวียงจันทน์ เดิมชื่อ "กำแพงนครเวียงจันทน์" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น "นครหลวงเวียงจันทน์"



          สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ วัดพระธาตุหลวง ซึ่งถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ และยังแทนความเป็นเอกราชและอำนาจอธิปไตยของประเทศลาว อีกด้วย พระธาตุนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 และถัดจากประตูทางเข้าใหญ่ประมาณ 100 เมตรจะเห็นพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระหัตถ์ทรงถือพระแสงดาบวางพาดไว้บนพระเพลา

          ประตูชัย เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิต ในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2512 ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมในสมัยนั้น สามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ บนยอดของประตูชัยได้อีกด้วย

          วัดศรีษะเกษ สร้างขึ้นใน ค.ศ.1818 ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่และเป็นวัดเดียวในลาว ที่ไม่ถูกสยามหรือประเทศไทยเผา ตรงกลางของวัดศรีษะเกษเป็นโบสถ์ล้อมรอบด้วยระเบียงคต สร้างแบบศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือแบบล้านช้าง มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ 6840 องค์



          หอพระแก้ว คือสถานที่เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตั้งอยู่ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ปัจจุบันเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐาน เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบัน ได้รับการอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพมหานครใ นสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นผู้อัญเชิญ

 แขวงอัดตะปือ

          ตั้งอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ของลาว ซึ่งความแร้นแค้นและดูไม่เจริญเหมือนแขวงอื่น ๆ ทำให้แขวงนี้กลับกลายเป็นจุดเด่นสำหรับนักท่องเที่ยว ที่แสวงหาดินแดนใหม่ ๆ แขวงนี้อยู่ไกลสุดอยู่ชายแดนกัมพูชา ถัดไปจากแขวงเซกอง เมืองหลวงชื่อ “สามัคคีชัย” แม้สภาพเศรษฐกิจของผู้คนอาจดูไม่ดีนัก แต่ธรรมชาติก็เยี่ยมจนได้รับฉายาว่าเป็นเมืองสวน ที่อยู่ในวงล้อมของขุนเขามีแม่น้ำเซโดนไหลผ่าน เงียบสงบ และน่าเที่ยวมากแขวงหนึ่ง แม้ที่พักจะไม่เยอะเท่าแขวงอื่น ๆ แต่ก็พอเพียงกับนักท่องเที่ยว



          สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ วัดหลวงลัตตะมาลาม, วัดฟางแตง, วัดหลวงเมืองเก่าวะราราม, ตลาดใหญ่, สะพานเซกอง, ถ้ำผา, อนุสาวรีย์วีรชนทหารผ่านศึกลาว-เวียดนาม และ อนุสาวรีย์ประธานไกสอน พมวิหาน ซึ่งเป็นผู้กอบกู้เอกราชให้แก่ชาวลาว

แขวงบอลิคำไซ

          ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ มีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับหินปูน ทั้งทัศนียภาพและเหมืองซึ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังเป็นประตูสู่ลาวใต้ และยังเป็นแขวงที่มีความสำคัญด้านการท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของประเทศลาว เพราะเป็นเมืองท่าด่านติดชายแดนสองประเทศ โดยทางด้านทิศตะวันตกริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณเมืองปากซัน จะตรงข้ามกับจังหวัดบึงกาฬของไทย ส่วนทางด้านทิศตะวันออกบริเวณด่านแก้วเหนือ จะติดด่านกอเตรียวของประเทศเวียดนาม การท่องเที่ยวแขวงบริคำไชยสามารถนั่งรถจากแขวงเวียงจันทน์ ลัดเลาะลงมาตามถนนทางหลวงหมายเลข 13 ใต้ หรือจะใช้บริการเรือข้ามฝากไปเที่ยวก็ได้



          สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ วัดพระบาทโพนสัน, ปากกะดิ่ง, น้ำตกวังพอง, หลักซาว และบ้านนาแป ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ แขวงบริคำไชย ห่างจากเมืองปากซันประมาณ 100 กิโลเมตร หลักซาว ตั้งอยู่ในเขตภูเขาหินปูน สถานที่เข้าชมได้คือ ถ้ำเมืองคอน ตั้งอยู่ทางเหนือเมืองขึ้นไปตามทางหลวงหมายเลข 8 ประมาณ 17 กิโลเมตร และมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงคือ บ่อน้ำอุ่นในลำน้ำพาว อยู่เลยจากถ้ำไปประมาณ 1 โลเมตร จากหลักซาวยังมีถนนผ่านไปบ้านนาแป ชายแดนด่านแก้วเหนือตรงข้ามด่านก่อเตรียวของเวียดนาม



แขวงจำปาสัก

          ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศ ติดชายแดนประเทศไทยและกัมพูชา มี เมืองปากเซ เป็นเมืองหลักของแขวง และเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของลาว (รองจากเวียงจันทน์และเมืองไกสอน พมวิหาน) ถือเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจ รวมไปถึงการท่องเที่ยวของลาวตอนใต้ เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีแม่น้ำโขงไหลผ่านกลาง และเกิดเกาะแก่งเป็นจำนวนมากจนได้ชื่อว่า "ดินแดนสี่พันดอน"

          แขวงจำปาศักดิ์ เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากเป็นพื้นที่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรขอมโบราณ และเป็นที่ตั้งของอาณาจักรจำปาสัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้างในเวลาต่อมา แขวงจำปาศักดิ์จึงมีมรดกทางวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่มากมาย ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศลาว โดยเฉพาะมรดกโลกปราสาทหินวัดพู นอกจากนี้ แขวงจำปาศักดิ์ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก เช่น น้ำตกคอนพะเพ็ง น้ำตกหลี่ผี น้ำตกผาส้วม เป็นต้น



แขวงหลวงน้ำทา

          ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสุดของประเทศ แขวงนี้แต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของ แขวงหัวของ เป็นพื้นที่ของแขวงหลวงน้ำทาและบ่อแก้วในปัจจุบันรวมกัน ต่อมาจึงได้ยุบแขวงหัวของลงและแยกออกเป็น 2 แขวง ที่ตั้งแขวงหัวของเดิมได้ถูกยุบลง และตั้งเป็นแขวงใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น แขวงบ่อแก้ว และแยกเมืองทางเหนือของแขวงหัวของเดิมไปตั้งแขวงใหม่ คือแขวงหลวงน้ำทาในปัจจุบัน



          แขวงหลวงน้ำทา มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน จึงเป็นที่อยู่อาศัยของ ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ได้แก่ ม้ง ขมุ ไทเหนือ ไทดำ ไทแดง ไทขาว ไทยวน ไทลื้อ ละวิด ละเมด สีดา อีก้อ มูเซอ กะลอม ไทยใหญ่ อีกทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่ชอบแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ เพราะ หลวงน้ำทา มีทั้งเปิดให้ชมวิถีชีวิตของชนเผ่าต่าง ๆ รวมถึงร่องรอยจากสงครามกองทัพขบวนการประเทศลาวกับกองโจรม้ง

          อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเข้ามาแวะพักที่ หลวงน้ำทา เพื่อเดินทางต่อไปยังบ่อแก้ว หรือไม่ก็ไปจีน หรือไปยังเมืองสิงห์ ภายตัวเมืองหลวงน้ำทาจึงมีที่พักแบบเกสต์เฮาท์ค่อนข้างเยอะ ปัจจุบันหลวงน้ำทามีถนนสายกว้าง ถ้าเดินมาทางเชิงสะพานด้านตะวันออกของถนนสายหลักในยามเช้า จะเห็นผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของที่ตลาด ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสถานีรถขนส่ง ถัดจากเมืองประมาณ 2 กิโลเมตรไปตามเส้นทางเมืองสิงห์ จะพบศูนย์หัตถกรรมหลวงน้ำทา ซึ่งสหภาพยุโรปเป็นผู้ออกเงินสร้าง เพื่อให้มีที่จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมของชาวบ้าน

          สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ วัดหลวงบ้านเชียงใจ, วัดพระธาตุเชียงตึง, วัดพระธาตุเมืองสิงห์, เรือนพญาเซกอง, ตลาดใหญ่, พระธาตุหลวงน้ำทา และตลาดมืด



แขวงหลวงพระบาง

          ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ อยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน และมีเมืองเอกซึ่งเป็นเมืองที่องค์การยูเนสโก ได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลก เพราะเป็นเป็นเมืองเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้าง ตั้งแต่สมัยสถาปนาอาณาจักร และด้วยวิถีชีวิตที่ยังคงเรียบง่าย ไม่ไหลไปตามกระแสโลกปัจจุบัน รวมถึงมีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย มีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์โคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมน้ำโขงและน้ำคาน ซึ่งไหลบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม และชาวหลวงพระบางมีบุคลิกที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร และมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงาม

          สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ วัดเชียงทอง, วัดวิชุน, วัดพระธาตุพูสี, ถ้ำติ่ง และถนนคนเดิน หลวงพระบาง



 แขวงพงสาลี

          เป็นหนึ่งในแขวงของประเทศลาวที่ตั้งอยู่ตอนบนสุดของประเทศ ล้อมรอบด้วยภูเขา 450 เมตร ถึง 1800 เมตร อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี เป็นดินแดนของลาวที่ติดกับพรมแดนของประเทศจีนและเวียดนาม ทำให้กลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ที่มีการเข้ามายึดครองจากหัวเมืองใหญ่ทั้งหลายในอดีต ดังมีร่องรอยของสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสปรากฏให้เห็นตามซอยต่าง ๆ แม้จะถูกอาคารพาณิชย์ของจีน ที่เน้นประโยชน์ใช้สอยบดบังไปส่วนใหญ่

          สถานที่ท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์ชนเผ่า, ตลาดเช้า, ยอดภูฟ้า และพระธาตุภูฟ้า



 แขวงสะหวันนะเขด

          ตั้งอยู่ตอนกลางค่อนไปทางใต้ของประเทศ ใหญ่อันดับที่ 1 ของประเทศลาว มีทิศตะวันตกติดกับประเทศไทย และเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2549 ได้มีพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 สะหวันนะเขด-มุกดาหาร อย่างเป็นทางการ ซึ่งสะพานนี้เป็นเส้นทางเชื่อมตะวันออก-ตะวันตก จากเวียดนามถึงพม่า ทำให้แขวงสะหวันนะเขดกลายเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญอีกแห่งของลาว

          สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ วัดพระธาตุโพน, วัดพระธาตุอิงฮัง, วัดรัตนรังษี, วัดชัยสมบูรณ์, วัดเจ้า, ปราสาทเรือนหิน, อนุสาวรีย์ท่านกุรวงศ์, ตลาดสิงคโปร์, โบสถ์เซนต์เทเรซ่า, เซโปน, ป่าสงวนภูช้างแห, พิพิธภัณฑ์แขวงสะหวันนะเขต, พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ และถนนสีเมือง



แขวงเวียงจันทน์

          ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2532 แขวงเวียงจันทน์ เดิมได้แบ่งออกเป็น 2 แขวง คือ แขวงเวียงจันทน์ปัจจุบัน และนครหลวงเวียงจันทน์ ที่มีเขตเวียงจันทน์ซึ่งเป็นเมืองหลวงตั้งอยู่ ทั้งนี้ ฝรั่งเศสได้สร้างเมืองเวียงจันทน์ ขึ้นใหม่ ให้ ม.ปาวี เป็นข้าหลวงใหญ่คนแรก เวียงจันทน์ ในสมัยฝรั่งเศสปกครองได้ชื่อว่า ปารีสตะวันออก จนได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2498 และถูกปลดแอกโดยพรรคปฏิวัติประชาชนลาวเมื่อ พ.ศ 2517

          สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ วังเวียง เมืองเล็ก ๆ ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปทางเหนือประมาณ 154 กิโลเมตร และห่างจากเมืองหลวงพระบาง 210 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซอง สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบระหว่าง
ภูเขา มีภูเขาหินปูนรูปทรงแปลกตาจนเป็นที่ มาของชื่อ กุ้ยหลินเมืองลาว อีกทั้งยังมีป่าไม้ มีลำธารที่สมบูรณ์ และมีถ้ำให้เที่ยวชมหลายแห่ง จึงทำให้ วังเวียง ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่สวยงามแห่งหนึ่งของลาว



 แขวงเชียงขวาง

          ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ ติดกับประเทศเวียดนาม ความสูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลปานกลางคือประมาณ 1200 เมตร แขวงนี้ถูกถล่มอย่างร้ายแรงในช่วงสงครามเวียดนาม เป็นเหตุให้ต้องย้ายเมืองเอกจากเมืองเชียงขวางมาเป็นเมืองโพนสวรรค์ ตั้งแต่โบราณเมืองนี้รู้จักกันในชื่อว่า เมืองพวน ผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ที่นั่น หรืออพยพไปอยู่ที่อื่นเรียกว่า ชาวไทพวน และบริเวณนี้ยังมี ทุ่งไหหิน อีกด้วย

          ในปี พ.ศ. 2513 แขวงเชียงขวาง เคยเป็นสมรภูมิรบอันดุเดือดนับครั้งไม่ถ้วน อาจเพราะว่าในอดีตเชียงขวาง คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศลาว ในช่วงสงครามอินโดจีน ขบวนการลาวตัดสินใจตั้งกองบัญชาการใหญ่ขึ้นที่นี่ กองทัพอากาศอเมริกันจึงส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด บี 52 เข้ามาทิ้งระเบิดปูพรหมหมายทำลายล้างขบวนการลาวอย่างหนัก หมู่บ้านหลายร้อยแห่ง ตลอดจนวัดวาอารามถูกทำลายแทบทั้งหมด ส่งผลให้ราษฏรต้องอพยพเข้าไปอยู่ตามถ้ำและหุบเขา



 อย่างไรก็ตาม แม้สงครามอินโดจีนจะผ่านพ้นไปนานแล้ว แต่บาดแผลและร่องรอยจากสงครามยังคงอยู่สภาพของสิ่งปรักหักพังของ เมืองคูน เมืองหลวงเก่ายังคงมีร่องรอยให้เห็นอยู่โดยทั่วไป ซึ่งจากซากปรักหักพังบางแห่ง ทางรัฐบาลลาวได้อนุรักษ์เอาไว้ให้คนรุ่นหลัง ได้เห็นถึงพิษภัยของสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อในอดีต ร่องรอยของหลุมระเบิดขนาดใหญ่จากฝูงบิน บี 52 ของอเมริกันยังคงมีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป ปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงให้เป็นบ่อเลี้ยงปลาในนาข้าว ซากของลูกระเบิดน้ำหนักหลายสิบตันถูกดัดแปลงมาเป็นรั้วบ้าน เสาบ้าน รางข้าวหมู ที่นั่งเล่น เตาปิ้งบาร์บีคิวสำหรับนักท่องเที่ยว

          ปัจจุบันเมืองเชียงขวางเริ่มฟื้นตัวเรื่อย ๆ ค่อยเป็นค่อยไป มีสิ่งดี ๆ มอบเป็นของกำนัลแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยี่ยมเยือนเสมอ ชาวเชียงขวางไม่เคยลืมอดีตที่โหดร้ายของสงครามที่ผ่านมา สำหรับสถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ ทุ่งไหหิน, ภูเบี้ย, เมืองโพนสะหวัน และเมืองคูน

          และนี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศลาวเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราหยิบมานำเสนอ เพราะจริง ๆ แล้วหากมีโอกาสเพื่อน ๆ ไม่ควรพลาดไป เที่ยวลาว เพื่อสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของประเทศเล็ก ๆ แต่รวยความสุข

63  สมาชิก VIP / General Discussion / 10 สุดยอดบ่อน้ำพุร้อน ในแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 03:02:14 PM
10 สุดยอดบ่อน้ำพุร้อน ในแดนอาทิตย์อุทัย



หากจะให้นึกถึงสิ่งที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ "ประเทศญี่ปุ่น" แล้วล่ะก็ มีหลายอย่างมากมายให้พูดถึงกัน และหนึ่งในนั้นจะต้องมี "บ่อน้ำพุร้อน" (Hot Springs) อยู่ด้วยแน่ ๆ เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงจะพาทุกท่าน ไปเที่ยวชมกับ 10 สุดยอดบ่อน้ำพุร้อนของประเทศญี่ปุ่น ที่ทางเว็บไซต์ "บีบีซี"  ได้ทำการรวบรวมเอาไว้ ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้น ตามมาเลย

1. บ่อน้ำพุร้อน ริมแม่น้ำทาคารากาว่า (Takaragawa Onsen)

          ชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้การแช่น้ำพุร้อน ขนานนามแหล่งน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดของประเทศ โดยคำว่า "ทาคารากาว่า" หมายถึง "แม่น้ำแห่งขุมสมบัติ" และด้วยความหลากหลายของพื้นหิน ที่ทอดขนานฝั่งแม่น้ำยาวกว่า 100 เมตร อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำ ที่จะช่วยรักษาความเหนื่อยล้า ความผิดปกติต่าง ๆ ทางระบบประสาทและระบบการย่อยอาหาร จึงทำให้ชื่อของ บ่อน้ำพุร้อนริมแม่น้ำทาคารากาว่า เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาด
 
2. บ่อน้ำพุร้อน เมืองอาซาบุ จูบัง (Azabu-Juban Onsen)

          อาซาบุ จูบัง เป็นที่แช่น้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยม คุณจะรู้สึกสบายเมื่อได้มาแช่น้ำที่นี่ น้ำที่นี่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจากพื้นดินที่ลึกกว่า 500 เมตร แต่ที่น่าแปลกใจคือ อาซาบุ จูบัง ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายของผู้คน แถมยังมีบรรยากาศของโรงอาบน้ำที่สุดคลาสสิค รวมทั้งมี "โรเทนบุโระ" หรือบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งขนาดเล็ก แยกไว้สำหรับชายและหญิงให้บริการด้วย ปิดท้ายกับเทศกาลดนตรีในห้องน้ำชาทาทามิ ที่จัดขึ้นทุกสุดสัปดาห์

3. บ่อน้ำพุร้อนบนเกาะจินาตะ (Jinata Onsen)

          น้ำพุร้อนบน เกาะจินาตะ ตั้งอยู่ท่ามกลางหินภูเขามากมาย บริเวณชายฝั่งทะเลชิกิเนะ จิมะ โดย เกาะจินาตะ  เป็นเกาะที่ใช้เวลาเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ จากกรุงโตเกียวเพียงไม่กี่ชั่วโมง อีกทั้งคุณยังสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของธรรมชาติ พร้อมสัมผัสกับเสียงของเกลียวคลื่นที่ซัดกระทบกับก้อนหิน นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 บ่อน้ำพุร้อนบนเกาะ ให้ได้ไปแช่ตัวอีกต่างหาก

4. บ่อน้ำพุร้อนที่เมืองคิโนซากิ (Onsen Town Kinosaki)

          ที่นี่มีโรงอาบน้ำสาธารณะถึง 7 โรง และมีบ่อน้ำพุร้อนแบบ "เรียวคัง" หรือบ่อน้ำพุร้อนสไตล์ญี่ปุ่นอีกจำนวนมาก คุณสามารถผ่อนคลายและปล่อยตัวให้ไปตามสายน้ำ ขณะเดียวกัน เมื่อเสร็จจากแช่น้ำร้อนเรียวคังนี้แล้ว คุณยังสามารถสวมชุดยูกาตะและใส่รองเท้าเกี๊ยะ เพื่อไปอาบน้ำต่อที่โรงอาบน้ำสาธารณะได้ อีกทั้งในยามราตรีก็มีบรรยากาศที่สุดแสนจะงดงาม ที่สำคัญอย่าลืมแวะชิมปูยักษ์ และเพลิดเพลินไปกับความงดงามของทัศนียภาพสองข้างทางด้วยนะ



5. บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง ซาวาดะ โคเอ็น (Sawada-koen Rotemburo Onsen)

          ถ้าคุณชื่นชอบที่จะชมทัศนียภาพของธรรมชาติ ในขณะที่คุณกำลังแช่น้ำร้อนล่ะก็ บ่อน้ำพุร้อน ซาวาดะ โคเอ็น เหมาะกับคุณแล้ว เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ซึ่งจะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับวิวของทะเลแปซิฟิค นอกจากนั้นแล้ว ที่นี่ยังเหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย

6. บ่อน้ำพุร้อน แลมป์ โน ยาโดะ (Onsen Lamp no Yado)

          บ่อน้ำพุร้อน แลมป์ โน ยาโดะ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรโนโตะ ฮันโตะ การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างที่จะลำบากซะหน่อย อาจจะมีการปีนและเดินบ้าง แต่ก็ไม่ต้องแปลกใจแต่อย่างใด เพราะที่นี่เคยเป็นหลุมหลบภัยสงครามเก่า แม้ว่าการเดินทางจะลำบากไปบ้าง แต่ที่นี่ก็ยังได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก บางรายถึงกับใช้เวลาหลายอาทิตย์ เพื่ออยู่ที่นี่กันเลยทีเดียว

7. บ่อน้ำพุร้อน อูรามิ กา ทากิ (Urami-ga-taki Onsen)

          บ่อน้ำพุร้อน อูรามิ กา ทากิ เป็นอีกหนึ่งบ่อน้ำพุร้อนที่มีความสวยงาม มีส่วนที่เป็นกลางแจ้งติดกับน้ำตกในป่ากึ่งโซนร้อน มีรีสอร์ทสไตล์บาหลี  สามารถแช่น้ำไปพร้อมแสงแดดยามบ่ายที่ส่องผ่านต้นเฟิร์น ซึ่งเป็นประสบการณ์แสนมหัศจรรย์ที่น่าสัมผัสอย่างยิ่ง

8. บ่อน้ำพุร้อน ชิราฮามะ (Onsen/Beach Combination Shirahama)

          เสน่ห์ในการผสมผสานระหว่างทะเลและบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บ่อน้ำพุร้อน “ชิราฮามะ” ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองชายหาด ทางตอนใต้ของเมืองคันไซ สามารถดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาสัมผัส รวมถึงบรรยากาศความงดงามของทัศนียภาพรอบ ๆ เมือง อีกทั้งยังมีบ่อน้ำพุร้อนที่เปิดให้บริการฟรีบริเวณหาด และบ่อน้ำพุร้อนซากิโนะ ยูที่น่าประทับใจอีกด้วย



9. โรงอาบน้ำร้อนสาธารณะ ทาเกะงะวาระ (Takegawara Onsen)

          ที่นี่เป็นโรงอาบน้ำเก่าแก่ เปิดให้บริการมาตั้งแต่สมัยเมจิ ปี 1859 เป็นโรงอาบน้ำในสไตล์ที่เรียบง่ายตามแบบฉบับของญี่ปุ่น มีกลิ่นไม้หอมที่ช่วยในการผ่อนคลาย มีห้องอาบน้ำแยกชายหญิง นอกจากนี้ โรงอาบน้ำร้อนสาธารณะ ทาเกะงะวาระ ยังมีบริการ “อบทรายร้อน” โดยผู้ใช้บริการจะใส่ชุดยูกาตะลงไปนอนในหลุม แล้วกลบด้วยทรายร้อนนาน 10-15 นาที จากนั้นก็ไปแช่ตัวต่อในบ่อน้ำร้อน

10. บ่อน้ำพุร้อน ทากามะ กา ฮาระ (Takama-ga-hara Onsen)

          บ่อน้ำพุร้อน ทากามะ กา ฮาระ เป็นโรงอาบน้ำกลางแจ้ง ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น เป็นสถานที่ที่มีเขตป่าสงวนและเทือกเขาตลอดทั้งสองข้างทาง แต่หากคุณต้องการเดินทางมาที่นี่ ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน ด้วยการเดิน! ชาวญี่ปุ่นบางคนถึงกับกล่าวว่า ที่นี่คือโรงอาบน้ำแบบกลางแจ้งที่สูงที่สุดในประเทศ อีกทั้งคุณยังนอนค้างคืนได้ในบริเวณใกล้ ๆ กับกระท่อมเล็ก ๆ บนเขา

          และนี่คือ บ่อน้ำพุร้อน 10 แห่ง ที่เรานำมาแนะนำกัน...บอกได้คำเดียวเลยว่าน่าไปสัมผัสด้วยตัวเองอย่างยิ่ง หากมีโอกาสได้ไปรับรองได้เลยว่าจะสบาย ผ่อนคลายเป็นที่สุด
64  สมาชิก VIP / General Discussion / ล่องทะเลอันดามัน จังหวัดตรัง เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 02:55:37 PM
ล่องทะเลอันดามัน จังหวัดตรัง



ล่องทะเลอันดามัน จังหวัดตรัง (ททท.)

          จังหวัดตรัง มีทะเลสวย ๆ มากมายหลายแห่ง อาทิ เกาะมุก เกาะกระดาน เกาะลิบง เกาะเชือก เกาะม้า เกาะเหลาเหลียง ดังนั้น ถ้าจะเที่ยวทะเลตรังให้ครบ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสัก 3 วัน ถึงจะเพียงพอ แต่ใครเล่าจะมีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้น

          ดังนั้น เริ่มแรกก่อนออกทะเลตรัง จะต้องรู้ว่าในทะเลตรังเขาท่องทะเลกันอย่างไร ที่ไหนบ้าง เพราะหากไปโดยไม่มีจุดหมาย ก็จะได้ท่องเที่ยวเพียงจุดเล็ก ๆ บางจุดและขาดจุดที่เป็นเสน่ห์ของทะเลตรังไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวทะเลตรัง คือระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม เพราะคลื่นลมสงบ



          โดยทริปท่องเที่ยวตรังส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ หาดปากเมง อ.สิเกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ท่าเรือปากเมง จุดรับส่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยวตามเกาะต่าง ๆ ของทะเลตรัง ณ ที่นั่น ท่านจะได้เห็นสัญลักษณ์ของ หาดปากเมง คือ เขาเมง ถือเป็นภาพแรกที่ดึงดูดสายตาผู้มาเยือนได้อย่างดีทีเดียว เนื่องจากความใหญ่โตของโขดเขากลางน้ำ คล้ายรูปคนนอนหงายทอดตัวยาวไปทางด้านเหนือ แถมประวัติเขาเมงที่เป็นเรื่องเล่าแฝงคติธรรม สอนให้คนที่ได้ฟังยึดถือในเรื่องความกตัญญู เป็นหลักในการใช้ชีวิตไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม

          สำหรับทริปท่องทะเลตรังภายใน 1 วัน เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน คือ ถ้ำมรกต-เกาะกนะดาน-เกาะเชือก-เกาะม้า โดยแต่ละจุดจะให้นักท่องเที่ยว มีโอกาสได้ลงไปสัมผัสกับความเขียวของน้ำทะเลสีมรกต ของท้องทะเลตรังในรูปแบบดำน้ำตื้น เริ่มต้นทริปทะเลตรังกันที่...



          ถ้ำมรกต สถานที่ได้ชื่อว่าเป็นถ้ำที่มีความงามเป็นอันดับ 2 ของโลก ตั้งอยู่ที่เกาะมุก ทางเข้ามีลักษณะเป็นโพรงเล็ก ๆ ระยะทางจากปากถ้ำเข้าไปประมาณ 80 เมตร นักท่องเที่ยวจะต้องใส่ชูชีพลอยคอเข้าไป ช่วงเวลาความประทับใจจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย ณ จุดนี้ เพราะทุกคนจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันถีบขาแบบจักรยานเข้าไปในถ้ำ จึงถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อผ่านพ้นความมืดของถ้ำจะพบกับสระน้ำทะเลใสสีมรกต หาดทรายขาวสะอาด อันได้ชื่อเป็นจุดเก็บขุมทรัพย์ที่ปล้นมาได้ของโจรสลัดในสมัยอดีต



          เกาะกระดาน เกาะกระดานเป็นเกาะที่สวยที่สุดของทะเลตรัง อยู่ทางด้านตะวันตกของ เกาะมุก และ เกาะลิบง มีเนื้อที่กว่า 600 ไร่ บนชายหาดเกาะกระดานมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่ทรายขาวละเอียดเป็นหาดทรายแก้ว น้ำใสจนมองเห็นริ้วทรายใต้พื้นน้ำ สุดชายหาดด้านเหนือ นักท่องเที่ยวจะได้เห็นแนวปะการังทอดยาวออกไปในทะเลเกือบร้อยไร่ ตรงชายฝั่งเป็นแนวปะการังน้ำตื้น มองเห็นปลาสีสวยแหวกว่ายไปมาอย่างชัดเจน

          เกาะเชือก เป็นจุดดำน้ำตื้นที่นักท่องเที่ยวมักให้สมญานามว่า คลื่นแรงจนต้องเกาะเชือกเหมือนชื่อของเกาะจริง ๆ สำหรับเกาะเชือกเป็นเกาะเล็ก ๆ 2 เกาะอยู่ติดกัน ระหว่างเกาะมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว การดำน้ำดูปะการังจึงต้องใช้เชือกช่วยพยุงตัว จึงได้ชื่อว่า เกาะเชือก เป็นจุดดำน้ำตื้นที่ขึ้นชื่อที่สุดของตรัง เพราะมีแนวปะการังอ่อนหลากสี ซึ่งปะการังเหล่านี้ โดยมากจะพบในระดับน้ำลึกที่ต้องดำน้ำแบบ Scuba แต่ที่เกาะเชือกสามารถพบเห็นปะการังอ่อนหลากสีได้ ด้วยการดำน้ำตื้นแบบ Skin-diving นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งฝูงปลานานาชนิด



          เกาะม้า เป็นเกาะที่อยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ แต่ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับเกาะเชือกและเกาะแหวน จึงจัดเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเดียวกัน ลักษณะเป็นโขดหินมีรูปทรงคล้ายม้า จึงเรียกว่า เกาะม้า เป็นแหล่งดูปะการังน้ำตื้น ดอกไม้ทะเล ปะการังเขากวาง ปะการังอ่อน 7 สี จึงได้ขึ้นชื่อว่า หากต้องการชมปะการังอ่อนต้องมาที่เกาะม้า และกระแสน้ำไม่แรงเหมือนเกาะเชือก ปะการังที่เกาะม้าส่วนใหญ่แป็นปะการังอ่อน ที่เกาะอยู่ตามพื้น มีกอดอกไม้ทะเลเกาะอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงฝูงปลาการ์ตูนนีโม



          นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาท่องทะเลตรัง ล้วนแต่ได้รับประสบการณ์อันแสนประทับใจกลับไปทุกคน เนื่องจากความสวยงามของท้องทะเลตรัง และการดำน้ำตื้นในแต่ละจุดที่สร้างความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะความหลากหลายของปะการังหลายรูปแบบซึ่งหาชมได้ยาก ว่ากันว่าต้องดำน้ำลึกถึงจะได้เห็น แต่ที่ทะเลตรังมีความพิเศษที่ท่านสามารถชมได้ เพียงแค่ใช้การดำน้ำตื้นเท่านั้น แต่ที่เห็นจะประทับใจแบบสุด ๆ คงจะเป็นการได้ลอยคอเข้าไปในถ้ำมรกต ทุกคนที่กลับออกมาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะไม่ลืมบรรยากาศความสนุกสนาน ตอนที่ได้ลอยคอตีขาเข้าไปในถ้ำพร้อมกัน

          แล้วคราวนี้ก็ถึงคราวที่คุณจะมาสร้างประสบการณ์ ที่ทะเลตรังในแบบฉบับของคุณเองแล้ว...

65  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / เตือนปี 2030 โลกเจอวิกฤตอาหาร ราคาเพิ่มสองเท่า เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 01:34:18 PM
เตือนปี 2030 โลกเจอวิกฤตอาหาร ราคาเพิ่มสองเท่า



อ็อกซ์แฟม เตือนราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่าในปี 2030 หวั่นปัญหาสังคมรุนแรงขึ้น วอนผู้นำประเทศต่าง ๆ ออกมาตรการป้องกัน

          เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยน ของอังกฤษ รายงานว่า องค์กรอ็อกซ์แฟม องค์กรความร่วมมือระดับนานาชาติ เพื่อช่วยขจัดปัญหาความยากจน และความอยุติธรรมทั่วโลก ได้ออกมาเตือนประชาชนถึงเรื่องราคาอาหารที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในระยะเวลา 20 ปี ซึ่งจะเร่งเร้าให้เกิดปัญหาความยากจนรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งความไม่สงบ และเหตุวุ่นวายไปทั่วโลก ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ควรจะเริ่มปฏิรูประบบการจัดการอาหารโลก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว

          โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่า ในปี 2030 ราคาเฉลี่ยของสินค้าหลักจะเพิ่มสูงขึ้น เช่น ข้าวโพด จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 120-180 % และจำนวนประชากรที่อดอยากมีมากขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ความมั่นคงทางด้านอาหารลดลง โดยอัตราการขยายตัวด้านผลผลิตทางการเกษตรลดลงเกือบครึ่งตั้งแต่ปี 1990 และจะลดลงอีก 1% ในอีก 10 ปีข้างหน้า

          สำหรับสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารมีหลายปัจจัย ได้แก่ ภาวะโลกร้อน การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ การแย่งขิงพื้นที่เพาะปลูกและแหล่งน้ำกันทั่วโลก การแปรรูปอาหารเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้ปัญหาความยากจนหยั่งรากลึกจนยากที่จะแก้ไข จนนำไปสู่ปัญหาความวุ่นวายในสังคมจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกเลยทีเดียว

          นอกจากนี้ ปัจจัยทางด้านสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ ก็เป็นปัญหาสำคัญต่อจำนวนผลผลิต เนื่องจากพื้นที่ในยุโรปเป็นพื้นที่แห้งแล้ง และฝนตกชุกจึงไม่เหมาะกับการเพาะปลูก และในสหรัฐอเมริกา ก็เพิ่งเผชิญกับพายุทอร์นาโด จึงทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะเกิดการขาดแคลนอาหารในปีนี้

          บาร์บาร่า สต็อกกิ้ง ผู้บริหารระดับสูงของอ็อกซ์แฟม แสดงความวิตกกังวลว่า เรากำลังเดินหน้าไปยังวิกฤตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าในทุก ๆ วัน ประชากร 1/7 บนโลกต้องประสบกับภาวะอดอยาก แต่จริง ๆ แล้ว โลกนี้มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตอาหารมาเลี้ยงทุกคนบนโลก

          ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทางองค์กรอ็อกซ์แฟม จึงเรียกร้องไปยัง เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จี 20 ในการตกลงวางมาตรการร่วมกันจัดสรรทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น โดยข้อกำหนดดังกล่าว เช่น ควรจะมีการสำรองอาหารเพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วน, รัฐบาลของชาติตะวันตก ควรหยุดนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพที่นำอาหารมาแปลรูปเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์, ให้ผู้นำของประเทศต่าง ๆ ปรับปรุงการควบคุมตลาดสินค้าอาหาร และหันมาลงทุนในกองทุนด้านสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น
66  สมาชิก VIP / General Discussion / สถานที่ท่องเที่ยวสัตหีบ เที่ยวใกล้เมืองกรุง เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 01:20:58 PM
สถานที่ท่องเที่ยวสัตหีบ เที่ยวใกล้เมืองกรุง



 ถ้าจะเอ่ยถึงฐานทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ชื่อของ "สัตหีบ" คงปรากฎอยู่ในความคิดของใครหลาย ๆ คน แต่จริง ๆ แล้วนอกจากการเป็นเมืองแห่งฐานทัพเรือ "สัตหีบ" ยังมีอะไรดี ๆ รอให้นักเดินทางแวะเวียนไปสมผัสอีกมากมาย เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ "สัตหีบ" รวมถึงแนะนำ สถานที่ท่องเที่ยวสัตหีบ ให้ได้รู้จักกันมากขึ้นอีกด้วย เอ้า...ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็ไปเที่ยว "สัตหีบ" กันเลย

          "อนุรักษ์เต่าทะเล เสน่ห์ธรรมชาติ อภิวาทหลวงพ่ออี๋ เขาชีจรรย์พระใหญ่ ไหว้กรมหลวงชุมพร ถิ่นขจรราชนาวี"...

          นี่คือคำขวัญของ สัตหีบ อำเภอเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี ห่างจากตัวเมืองชลบุรี 85 กิโลเมตร ตามประวัติเล่ากันว่า ช่วงสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สัตหีบเป็นเพียงหมู่บ้านชายทะเลเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านประกอบอาชีพประมง ทำไร่ ทำนา และด้วยพื่นที่ติดกับทะเลอ่าวไทย ทำให้ใช้การคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก โดยเรือเมล์หรือเรือใบ ซึ่งในหมู่บ้านสัตหีบ มีผู้ที่ชาวบ้านนับถือมากอยู่คนหนึ่ง คือ "ยายแจง" ผู้มีฐานะดี มีที่ดินเรือกสวนไร่นามากมาย (ตลาดสัตหีบ หนองตะเคียน โรงเรียนสิงห์สมุทร และบริเวณเขาแหลมเทียน อันเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือสัตหีบในปัจจุบันก็เคยเป็นของแก)

          ต่อมาเมื่อ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ทรงฝึกภาคทะเลกับกองเรือ และทรงพักที่อ่าวสัตหีบ ทรงเห็นว่าอ่าวสัตหีบเหมาะเป็นที่ตั้งหน่วยเรือ พระองค์จึงได้บอกถึงพระประสงค์ ที่จะใช้บริเวณเขาแหลมเทียนเป็นที่ตั้งหน่วยทหารเรือ ยายแจง ก็ยินดีที่จะถวายให้



          สำหรับที่มาของชื่อ สัตหีบ นั้น มีหลายคนให้ความคิดเห็นว่า "สัตต" แปลว่า เจ็ด ในขณะที่ "หีบ" หมายถึง หีบ ฉะนั้น คำว่า "สัตหีบ" ก็น่าจะแปลว่า "หีบเจ็ดใบ" ซึ่งสอดคล้องกับตำนานประวัติเจ้าแม่แหลมเทียน ที่ได้นำพระราชาลงในหีบเจ็ดใบเพื่อหลบหนียักษ์

          ส่วนอีกหลักฐานหนึ่งมาจากกองประวัติศาสตร์ทหารเรือ โดยระบุว่า เมื่อ พ.ศ. 2464 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จตรวจเยี่ยมหัวเมืองชายทะเล เพื่อจะสร้างแนวป้องกันชายฝั่งทะเลด้านนอกเพิ่ม เพราะป้อมพระจุลจอมเกล้าที่ปากน้ำสมุทรปราการ ใกล้เมืองหลวงมากเกินไป ทรงดำริหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกเป็นที่ตั้งกองทัพเรือ เพื่อตรวจตรารักษาฝั่งและเขตน่านน้ำใหญ่ จึงพระราชทานนามว่า "สัตตหีบ" เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นเกาะ 7 เกาะ เป็นที่กำบังลมให้แก่หมู่เรือได้ดี คำว่า "สัตหีบ" หมายถึง ที่กำบังเจ็ดแห่ง (หีบ = ที่บัง) อันหมายถึงเกาะต่าง ๆ กล่าวคือ เกาะพระ เกาะยอ เกาะหมู เกาะเตาหม้อ เกาะเณร เกาะสันฉลาม และเกาะเลา



สถานที่ท่องเที่ยวสัตหีบ

          เรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือธงและเรือบรรทุกอากาศยานลำแรก และลำเดียวของราชนาวีไทย ประจำการในส่วนกำลังรบของกองทัพเรือ ขึ้นระวางประจำการเมื่อ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 ได้ใช้งานปฏิบัติภารกิจด้านยุทธการ และช่วยเหลือภัยพิบัติตลอดน่านน้ำไทย นอกจากนี้ ฐานทัพเรือสัตหีบเปิดให้เยี่ยมชมเฉพาะคนไทย ตั้งแต่เวลา 09.00–17.00 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และผู้เข้าชมต้องแต่งกายสุภาพ งดสูบบุหรี่ ห้ามนำกระเป๋าสัมภาระ อาหาร เครื่องดื่ม สัตว์เลี้ยง กล้องวิดีโอ รวมทั้งห้ามพกอาวุธและวัตถุอันตรายขึ้นบนเรือโดยเด็ดขาด

          หาดเตยงาม ตั้งอยู่ในหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินกองทัพเรือ ซึ่ง หาดเตยงาม มีหาดทรายสีขาวทอดยาวสุดสายตา น้ำทะเลที่ใส เหมาะกับการไปแวกว่ายคลายร้อน อย่างรก็ตาม นอกจากหาดทรายสวยงามแล้ว ใกล้ ๆ กันยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ให้ได้ไปเยี่ยมชม เช่น พิพิธภัณฑ์ทหารนาวิกโยธิน, อนุสาวรีย์ทหาร ที่นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติและร่วมรำลึกถึงทหารนาวิกโยธิน ที่ได้เสียชีวิตในการสู้รบในสมรภูมิต่าง ๆ และในเวลาพระอาทิตย์ตกดินของทุกเย็น จะมี " พิธีเชิญธงลงจากยอดเสา " ซึ่งเป็นการปฏิบัติมีมาช้านานของทหารเรือ



          โดยเฉพาะบริเวณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเรือใบประเภทโอเคขนาด 13 ฟุตชื่อ " เวคา " จากพระราชวังไกลกังวลหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกเดินทางตั้งแต่เวลา 04.28 น.ตัดข้ามอ่าวไทยขึ้นฝั่งที่อำเภอสัตหีบ บริเวณหาดเตยงาม โดยเป็นระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 60 ไมล์ทะเล เวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง และได้นำธงราชนาวิกโยธินมาปักไว้ ณ ที่หาดเตยงามแห่งนี้ เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2509

          หาดนางรำ อยู่ใกล้กับท่าเรือจุกเสม็ดหรือท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ มีความยาวตลอดชายฝั่งประมาณ 200 เมตร รายล้อมไปด้วยแนวทิวสน มีน้ำทะเลใส สะอาส เหมาะสำหรับเล่นน้ำเป็นอย่างมาก สุดปลายชายหาดคือ แหลมปู่เจ้า อันเป็นที่ประดิษฐานของ ศาลเจ้าพ่อกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์

          หาดเทียนทะเล ตั้งอยู่ใน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งของกองทัพเรือ เป็นหาดทรายสลับโขดหิน กว้างประมาณ 900 เมตร เป็นหาดทรายสลับโขดหินพื้นที่ยาวประมาณ 900 เมตร บริเวณชายหาดมีร่มเงาของต้นสน ให้ได้นั่งพักผ่อน และเป็นจุดที่สามารถมองเห็นวิวของท้องทะเลได้ในมุมกว้าง รวมถึงสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่สวยงามอีกด้วย อีกทั้งบริเวณชายหาดมีพันธุ์ไม้ทะเลหลากหลายชนิดให้ศึกษา และมีหน้าผารูปทรงแปลก ๆ



          หาดทรายแก้ว ตั้งอยู่ในบริเวณ อ่าวน้อย ตำบลบางเสร่ มีความยาวประมาณ 1,700 เมตร เป็นหาดทรายขาว ลักษณะของเม็ดทรายจะสวยงาม และน้ำทะเลใสสะอาด โดยภูมิประเทศโดยรอบจะประกอบไปด้วยป่า ท้องทะเลแถวนี้เป็นทรายปนปะการัง จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะมาดำน้ำ หรือพักผ่อนหย่อนใจแบบสงบ

          อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม หรือ เกาะขาม อยู่ภายใต้การดูแลของกองเรือป้องกันฝั่ง เป็นเกาะขนาดเล็กมีพื้นที่ประมาณ 61 ไร่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ เกาะแสมสาร รูปร่างลักษณะคล้ายตัว H โดย เกาะขาม เป็นเกาะที่มีความสมบูรณ์ทางด้านธรรมชาติและชายหาดที่สวยงาม อีกทั้งยังมีแนวปะการังที่สมบูรณ์ไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เหมาะกับการอนุรักษ์ และพัฒนาให้เป็นแหล่งสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อศึกษาความรู้ด้านวิชาการของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองเรือป้องกันฝั่ง จึงจัดกิจกรรมดำน้ำ ทั้งแบบการดำน้ำลึกและการดำน้ำแบบผิวน้ำ ให้ประชาชนที่สนใจอีกด้วย

          ชายหาดของ เกาะขาม มี 2 หาดใหญ่ ๆ  คือ หาดด้านทิศเหนือและทิศใต้   ชายหาดด้านทิศเหนือเป็นทรายค่อนข้างละเอียด เหมาะสำหรับการว่ายน้ำและสันทนาการทางน้ำ  ด้านทิศใต้เป็นหาดทรายหยาบมีหินกรวดและซากปะการังทับถมเต็ม ซึ่งจุดเด่นของ อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม นอกจากอุดมไปด้วยแนวปะการังน้ำตื้นแล้ว ยังเป็นสถานที่แห่งแรกของ  ประเทศไทยที่ได้มีการเคลื่อนย้ายปะการัง ที่กำลังจะเสื่อมโทรมจากมลภาวะบริเวณ เกาะเตาหม้อ มาลงไว้ที่เกาะขาม เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างแนวปะการัง ในบริเวณที่เสื่อมโทรมและตายไปให้ดียิ่งขึ้น



          ศูนย์อนุรักษ์พันธ์เต่าทะเล ตั้งอยู่ในหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือ เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลต่าง ๆ เช่น เต่ามะเฟือง, เต่าตนุ, เต่ากระ และเต่าหญ้า ฯลฯ รวมทั้งอนุบาลลูกเต่าทะเล เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่บริเวณ เกาะคราม



          พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้า ตั้งอยู่บริเวณเขาชีจรรย์ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย เลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตร ศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา ขนาดความสูง 109 เมตร หน้าตักกว้าง 70 เมตร ฐานบัวหรือบัวบัลลังก์สูง 21 เมตร รวมความสูงขององค์พระและบัลลังก์ทั้งสิ้น 130 เมตร โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามพระพุทธรูปแกะสลักด้วยเลเซอร์บนหน้าผาเขาชีจรรย์ วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ว่า พระพุทธมหาวชิร อุตตโมภาสศาสดา มีความหมายว่า "พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาที่รุ่งเรือง สว่าง ประเสริฐดุจดังมหาวชิระ" ซึ่งนับเป็นพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก

          และนี่เป็น สถานที่ท่องเที่ยวสัตหีบ เพียงไม่กี่แห่งที่เรานำมาแนะนำกัน เพราะจริง ๆ แล้ว สัตหีบ ยังสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋ง ๆ รอให้เพื่อน ๆ เดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเองอีกเพียบ



การเดินทาง

          ใช้เส้นทางถนนสายบางนา-ตราด เป็นทางหลวงหมายเลข 34 ขับรถผ่านจังหวัดชลบุรี ผ่านอำเภอศรีราชา ผ่านเมืองพัทยาโดยใช้เส้นทางถนนสุขุมวิทเป็นหลัก จนถึงอำเภอสัตหีบ หรือใช้เส้นทางถนนเลี่ยงเมืองไปใช้ถนนวงแหวนรอบนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด


67  สมาชิก VIP / General Discussion / ไทยแจงศาล แฉเขมรต้องการดินแดน ขึ้นทะเบียนมรดกโลก เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 12:24:56 PM
ไทยแจงศาล แฉเขมรต้องการดินแดน ขึ้นทะเบียนมรดกโลก


ไทยแจงศาลโลก 5 ข้อ ยันกัมพูชายอมรับเส้นเขตแดนรอบพื้นที่ปราสาทพระวิหารมากว่า 40 ปีแล้วโดยไม่ได้ทักท้วงใด ๆ แฉต้องการดินแดนเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกสมบูรณ์ ทีมทนายแจงศาลโลกไม่มีอำนาจตีความคำพิพากษา-เขตแดน ชี้ขัดกับแนวปฏิบัติ "มาร์ค" งง "แม้ว" กล่าวหาไทยรุกรานกัมพูชา เหน็บเพราะเคยเป็นที่ปรึกษาฮุน เซน สั่ง "สุวิทย์" ตั้งคณะทำงานเกาะสถานการณ์

          เมื่อวันอังคาร นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการชี้แจงต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ กรณีที่กัมพูชายื่นต่อศาลโลกให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวบริเวณปราสาทพระวิหารว่า นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ในฐานะผู้แทนไทย ได้ชี้แจงใน 5 ข้อ ประกอบด้วย

          1. ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกปี 2505 อย่างครบถ้วน

          2. คำพิพากษาของศาลโลกเป็นเรื่องของอธิปไตยเหนือตัวปราสาท ไม่ใช่เส้นเขตแดน โดยตลอดเวลาที่ผ่านมากัมพูชายอมรับเส้นขอบเขตของพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ตามมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2505 เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว อีกทั้งยังนิ่งเฉย ไม่ได้ทักท้วงใด ๆ มามากกว่า 40 ปีแล้ว

          3. ไทยต้องการอยู่ร่วมกับกัมพูชาอย่างสันติ และพัฒนาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความร่วมมือและความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะสร้างความขัดแย้งกับกัมพูชา

          4. ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มให้เกิดการปะทะ ไม่ว่าจะเป็นเดือน ก.พ. 2554 ที่ปราสาทพระวิหาร และเดือน เม.ย. - พ.ค. ที่ปราสาทตาเมือนและตาควายด้วย แต่ไทยจำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเอง เพื่อปกป้องอธิปไตยและพลเรือนไทยที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกัมพูชา

          5. กัมพูชาต้องการดินแดนที่จะใช้เป็นพื้นที่กันชนในการจัดการปราสาทพระวิหารเพื่อให้กระบวนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์

          ทั้งนี้ ศาสตราจารย์อลัง เปลเลต์ ที่ปรึกษาทนายความไทยจากประเทศฝรั่งเศส ได้ขึ้นชี้แจงต่อศาลว่า คำขอตีความและคำขอมาตรการชั่วคราวนั้นอยู่นอกเขตอำนาจของศาลโลก และคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่บริเวณรอบตัวปราสาทถือเป็นความผูกพันครั้งเดียว ซึ่งไทยได้ปฏิบัติตามแล้ว รวมทั้งไทยไม่ได้โต้แย้งอำนาจอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหาร ไม่มีความเห็นต่างในเรื่องนี้

          "ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจตีความและออกมาตรการชั่วคราว ตลอดจนการตีความเหตุผลของคำพิพากษาจะทำได้เมื่อจำเป็นต่อคำตัดสินเท่านั้น การพยายามเปลี่ยนคำพิพากษาเป็นกำหนดเส้นเขตแดนจึงไม่ถูกต้อง การตีความต้องไม่แก้ไขสิ่งที่ศาลพิพากษาแล้ว" ที่ปรึกษาทนายความไทยระบุ

          ขณะที่ศาสตราจารย์เจมส์ ครอว์ฟอร์ด ที่ปรึกษาทนายความไทยจากประเทศอังกฤษ ชี้แจงว่า ศาลโลกไม่มีเขตอำนาจออกมาตรการชั่วคราวคดีนี้ เพราะมิใช่เขตอำนาจที่จะพิจารณาว่าคู่ความปฏิบัติตามคำตัดสินแล้วหรือไม่ แต่เป็นอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี และคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารย่อมเกี่ยวข้องกับตัวปราสาทเท่านั้น ซึ่งศาลได้เคยปฏิเสธเมื่อปี 2505 ว่าคดีพิพากษาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารไม่ใช่เขตแดน

          ด้านศาสตราจารย์โดนัลด์ เอ็ม แมคเรย์ ที่ปรึกษาทนายความไทยจากประเทศแคนาดา นำเสนอข้อวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ศาลไม่ควรมีคำสั่งออกมาตรการชั่วคราว 3 ประการ ได้แก่ ไทยและกัมพูชาไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับคำพิพากษาในคดีเดิม ซึ่งมาตรการชั่วคราวไม่มีความสมดุล เพราะสั่งให้ไทยดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว และคำขอของกัมพูชาไม่เข้าเงื่อนไขเรื่องความจำเป็นเร่งด่วน โดยหลักฐานที่กัมพูชานำมาอ้างเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่นอกบริเวณที่ศาลโลกพิพากษาในปี 2505 รวมทั้งการขอให้ศาลมีมาตรการชั่วคราวเท่ากับให้ศาลตัดสินในเบื้องต้นเกี่ยวกับความถูกต้องของแผนที่ ซึ่งขัดกับแนวปฏิบัติของศาลโลกด้วย

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการชี้แจงในวันที่ 31 พ.ค. ศาลโลกจะให้เวลาประเทศละ 1 ชั่วโมง โดยฝ่ายกัมพูชาจะเริ่มชี้แจงก่อนในช่วงเช้า ตามด้วยฝ่ายไทยในช่วงบ่าย ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งจะตรงกับ 22.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งถือว่าจบการชี้แจงทั้ง 2 ฝ่าย

          ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ได้คุยกับนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.การกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามแนวทาง ซึ่งเราได้เตรียมการสู้คดีไว้

          เมื่อถามว่า นายซก อัน รองนายกฯ กัมพูชา ให้สัมภาษณ์ว่าไทยพ่ายแพ้ในการร่วมประชุมมรดกโลก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าเป็นจริงกัมพูชาดิ้นรนทำไมในเรื่องการไปแก้ร่างข้อมติ ก็ธรรมดา ต้องรักษาหน้าของเขา และไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เราก็มีแนวทางรองรับไว้ทุกทาง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ

          ส่วนกรณีที่กัมพูชาเปลี่ยนเกมหันมาใช้มวลชนกดดันนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงเป็นความพยายามที่จะใช้ทุกรูปแบบ เพราะในหลายเวทีเขาพยายามทำแล้วไม่สำเร็จ ก็ต้องเพิ่มรูปแบบของการสร้างความสนใจ เพราะแนวทางเท่าที่ตนทราบในศาลโลกเองก็ว่าประเทศไทยรังแก เขา พยายามจะเรียกร้องความเห็นใจจากประเทศต่าง ๆ ในประชาคมโลก ซึ่งเราก็ชี้ให้เห็นว่ามันไม่เป็นความจริง

          "ผมไม่อยากจะเชื่อว่าแทนที่จะพยายามปกป้องสิ่งที่เป็นความถูกต้อง และจุดยืนของคนไทย กลับไปพูดให้ต่างประเทศเข้าใจประเทศผิดเสียอีก หรืออาจเคยเป็นอดีตที่ปรึกษานายกฯ กัมพูชาก็เลยต้องพูดอย่างนั้น" นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ว่าไทยไปรุกรานเพื่อนบ้าน และว่าความจริงปัญหาที่ตึงเครียดในยุคนี้ เพราะรัฐบาลก่อนหน้านี้ไปยอมกัมพูชาในเรื่องมรดกโลก ทำให้เราต้องมาแก้ไข

          มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุม ครม. นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทนการเจรจามรดกโลกฝั่งไทย รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกให้ ครม.รับทราบว่า ประเด็นกัมพูชาไม่เห็นด้วยกับข้อมติที่ยกร่างจากยูเนสโกเรื่องการเลื่อนระเบียบวาระการประชุม ทำให้ขบวนการเจรจาหยุดชะงักไป ยูเนสโกให้ไทย-กัมพูชาไปหารือร่างข้อตกลงกันก่อน จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มอบหมายให้นายสุวิทย์ตั้งคณะทำงานติดต่อประสานงานกับยูเนสโกเพื่อเกาะติดสถานการณ์ โดยเฉพาะการจูงใจยูเนสโกให้คล้อยตาม

          "ที่สำคัญ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ยูเนสโกเข้าข้างเรา แต่กัมพูชาไม่เห็นด้วย จึงลากให้ไปประชุมต่อ ดังนั้นเราจึงต้องรักษาความสัมพันธ์ไว้ ไม่อยากให้ยูเนสโกเข้าใจผิดอีก ส่วนข้อตกลงร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา บางข้อเรารับไม่ได้ บางข้อกัมพูชารับไม่ได้ และคำบางคำในบางข้ออาจทำให้เกิดความได้เปรียบ-เสียเปรียบ เราควรละเอียดในการเลือกใช้คำพูด จึงอยากให้นายสุวิทย์ตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบการใช้คำพูดให้มีความเหมาะสม" แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายอภิสิทธิ์

          ด้านนายสุวิทย์กล่าวว่า การจะเลื่อนการพิจารณาแผนพัฒนาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการทั้ง 21 ประเทศ แต่มีหลายประเทศให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณต่อกัมพูชา ซึ่งตนคิดว่าเขาคงเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น และตนมั่นใจว่าสามารถทำความเข้าใจกับคณะกรรมการมรดกโลกได้



[31 พฤษภาคม] เขมรป้ายสีไทย บัวแก้วโต้แย้งศาลไร้อำนาจ
 

          "ฮอร์ นัมฮง" แจงศาลโลก ไทยต้องเคารพอธิปไตยกัมพูชา ถอนทหารออกจากปราสาทพระวิหาร ป้ายสีใช้อาวุธรุกรานเยี่ยงฆาตกร เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง "บัวแก้ว" เผยโต้แย้งศาลโลกไม่มีอำนาจพิจารณา ยันไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาปี 2505 ครบถ้วน
 

          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ กัมพูชาได้ขอให้ศาลโลก ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ สั่งให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา นายฮอร์ นัมฮง ได้กล่าวว่า กัมพูชาจะขอให้ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราวเพื่อปกป้องสันติภาพและหลีกเลี่ยงการปะทะในพื้นที่ไม่ให้บานปลายออกไป
 

          "ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องถอนทหารออกไปจากบริเวณปราสาท" เขาแถลงต่อผู้พิพากษา 16 คนของศาลโลก และยืนยันว่าไทยจะต้อง "เคารพอธิปไตยและดินแดนของกัมพูชา"
 

          รัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชาผู้นี้ ยังกล่าวกับศาลโลกด้วยว่า "การใช้อาวุธรุกรานเยี่ยงฆาตกร" ของทหารไทยในบริเวณปราสาทพระวิหาร ถือเป็น "ภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวง" ต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ด้านคณะผู้แทนของประเทศไทยปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ ต่อสื่อมวลชน ก่อนที่จะเข้าไปในห้องพิจารณาคดี
 

          ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากกรุงเฮก หลังจากที่กัมพูชาให้การต่อศาลโลกเสร็จสิ้น ว่าฝ่ายไทยได้ประชุมเตรียมการย้ำถึงแนวทางการโต้แย้งคำร้องขอที่กัมพูชาให้การต่อศาลทันที โดยมี 2 แนวทาง คือ 1.การโต้แย้งขอบเขตอำนาจศาล โดยเสนอว่าศาลไม่มีอำนาจพิจารณาในประเด็นนี้ นั่นคือศาลจึงไม่สามารถออกมาตรการใดๆ ได้ และ 2.ประเทศไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกในปี พ.ศ.2505 ครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีข้อสงสัยเรื่องใด ๆ อีกที่ศาลโลกจะตีความหรือมีคำสั่งใดๆ เพิ่มเติม
 

          ทั้งนี้ ฝ่ายไทยจะให้ข้อมูลทางวาจาต่อศาลโลกในเวลา 14.00-16.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น โดยนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก จะเป็นผู้แทนไทย และที่ปรึกษาชาวต่างชาติของไทย 3 คน ได้แก่ ชาวฝรั่งเศส, แคนาดา และออสเตรเลีย จะให้การต่อศาลตามลำดับ
 

          นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจามรดกโลกฝ่ายไทย กล่าวว่า เนื่องจากไทยไม่รับอำนาจของศาลโลกอยู่แล้ว ดังนั้น การดำเนินการโดยกัมพูชาที่ขอให้ศาลโลกตีความใหม่ เพื่อให้เกิดความคุ้มครองชั่วคราวตามข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ โดยอ้างว่าอยู่ในพื้นที่ของกัมพูชานั้น โดยกระบวนการของศาลโลกที่ต้องตีความให้คุ้มครองชั่วคราวก็ไม่น่าจะมี เพราะถ้ามีก็จะเท่ากับว่าศาลโลกมีคำพิพากษาออกมาเป็นคำสั่ง ซึ่งไทยก็ไม่อาจยอมรับได้ เพราะถือว่าไทยไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลโลก
 

          "หากศาลโลกมีความเห็นใดออกมานั้น มันก็อาจจะมีหรือไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่พระวิหารของคณะกรรมการมรดกโลก ที่เตรียมประชุมในวันที่ 19-29 มิ.ย.นี้เช่นกัน"
 

          นายสุวิทย์กล่าวว่า ส่วนผลการประชุมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 25-26 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทางองค์การยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลก มีข้อเสนอให้ร่างข้อมติเลื่อนพิจารณาแผนบริหารพื้นที่ปราสาทพระวิหารออกไป แต่กัมพูชายังไม่ยอมรับนั้น ยอมรับว่าถ้าการประชุมทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา ก่อนประชุมเวทีมรดกโลกในเดือนมิ.ย.นี้ไม่สำเร็จ เพราะกัมพูชาไม่รับข้อเสนอดังกล่าวนั้น วาระการพิจารณาแผนบริหารพื้นที่ปราสาทพระวิหารที่บรรจุไว้แล้วก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของที่ประชุม ซึ่งขึ้นกับคณะกรรมการทั้ง 21 ชาติว่าจะมีความเห็นอย่างไร โดยวิธีการตรงนี้ก็อาจจะใช้รูปแบบการให้คะแนนแบบเปิดเผยและแบบลับ
 

          นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวทางที่ผู้อำนวยการยูเนสโกชี้ไว้ จะมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการมรดกโลก แต่ทั้งหมดทั้งมวลอำนาจอยู่ที่คณะกรรมการมรดกโลก ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงต้องเดินสายทำความเข้าใจกันต่อไป แต่ตนคิดว่าถ้าฝ่ายสำนักงานคณะกรรมการมรดกโลกมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม คล้ายกับร่างข้อมติที่จะเป็นไปในทางที่ให้เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารฯ ก็เป็นแนวโน้มที่ดี

[30 พฤษภาคม] ชาวกัมพูชารวมตัวประท้วงไทย ที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์


 

 


          ชาวกัมพูชารวมตัวประท้วงไทยหน้าศาลโลกที่กรุงเฮก ขณะที่ไทยเตรียมเข้าชี้แจงศาลโลกปมเขาพระวิหารคืนนี้ (30 พฤษภาคม)

          เว็บไซต์ ฟิฟทีนมูฟ รายงานข่าวจาก สำนักข่าวซีอีเอ็น ว่า ชาวเขมรต่างแดน ออกเอกสารชักชวนกันผ่านทางอินเทอร์เน็ต เรียกร้องให้เขมรต่างแดนในทุกประเทศ ไปรวมตัวกันประท้วงไทย ที่หน้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อกล่าวโทษไทยที่ได้รุกรานแผ่นดินกัมพูชา พร้อมทั้งยิงปืนใหญ่กว่า 400 ลูก เข้าใส่ปราสาทพระวิหาร ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก

          โดยเอกสารเรียกร้องกล่าวต่อไปว่า ไทยได้ก่อการรุกรานแผ่นดินกัมพูชา โดยเฉพาะที่ ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือน ใน จ.อุดรมีชัย วันที่ 22 เม.ย.-3 พ.ค. โดยไทยได้ยิงปืนใหญ่จำนวนมากมาบนแผ่นดินกัมพูชา และประชาชนชาวเขมรในพื้นที่นั้น ซึ่งยืนยันให้เห็นว่า พวกสยามมีความปรารถนาต้องการกลืนกินแผ่นดินของเขมร และรังแกราษฎรชาวเขมรผู้บริสุทธิ์อีกด้วย และเอกสารเรียกร้อง ระบุว่า นี่เป็นมูลเหตุที่ชาวเขมรทำการประท้วงหน้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ กรุงเฮก ในวันที่ 28 - 30 พ.ค. เป็นเวลาที่ชาวเขมรที่อยู่ทั่วโลกมารวมตัวกันประท้วงต่อต้านศัตรูผู้รุกราน คือ สยาม

          เอกสารดังกล่าว เรียกร้องว่า

          1. เรียกร้องให้พวกสยามยุติการรุกรานแผ่นดินกัมพูชาในทันที

          2. เรียกร้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กรุงเฮก กล่าวโทษประเทศไทย ที่ได้ละเมิดบูรณภาพดินแดนกัมพูชาและก่อสงครามรุกรานกัมพูชา และทำความเสียหายให้กับปราสาทพระวิหารของเขมร

          3. ยินดีและเร่งให้รัฐบาลกัมพูชา แก้ปัญหาพรมแดนโดยเข้าร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ

          ทั้งนี้ หลังจากการประกาศข้อเรียกร้องที่กำหนดให้มีขึ้น ในวันที่ 28 พ.ค. เวลา 12.30 - 12.50 น. ชาวเขมรต่างแดนระบุว่า จะเคลื่อนขบวนไปหน้าสถานทูตไทยประจำกรุงเฮก เพื่อเรียกร้องให้ยุติสงครามรุกรานกัมพูชาในทันทีก่อนสลายตัว

          ขณะที่ นายกอย เกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวว่า ชาวเขมรนอกประเทศ ที่รวมตัวกัน ณ กรุงเฮก เพื่อทำการประท้วงกล่าวโทษสยามที่รุกรานดินแดนกัมพูชานั้น ควรไปรวมตัวกันทำการประท้วงที่หน้าสถานทูตไทยประจำกรุงเฮก เพื่อแสดงให้เห็นอย่างเป็นทางการถึงความเจ็บปวดของชาวเขมร ต่อการรุกรานของสยามบนดินแดนกัมพูชา และกล่าวต่อว่า ชาวเขมร ควรเปิดโอกาสให้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กรุงเฮก มีบรรยากาศที่สงบในการพิจารณาคดี

          นอกจากนี้ นายกอย เกือง กล่าวต่อว่า การที่ชาวเขมรจากประเทศต่าง ๆ มารวมตัวที่ กรุงเฮก เป็นการแสดงจากจิตใจรักดินแดนรักปราสาท เป็นมรดกของชาติและโลก โดยเฉพาะการร่วมกันป้องกันดินแดนไม่ให้สูญหาย และเรียกร้องให้สยามยุติการรุกรานกัมพูชา
          เว็บไซต์ ฟิฟทีนมูฟ รายงานข่าวจาก สำนักข่าวซีอีเอ็น ว่า และเอกสารเรียกร้อง ระบุว่า นี่เป็นมูลเหตุที่ชาวเขมรทำการประท้วงหน้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ กรุงเฮก ในวันที่ 28 - 30 พ.ค. เป็นเวลาที่ชาวเขมรที่อยู่ทั่วโลกมารวมตัวกันประท้วงต่อต้านศัตรูผู้รุกราน คือ สยาม          เอกสารดังกล่าว เรียกร้องว่า              ทั้งนี้ หลังจากการประกาศข้อเรียกร้องที่กำหนดให้มีขึ้น ในวันที่ 28 พ.ค. เวลา 12.30 - 12.50 น. ชาวเขมรต่างแดนระบุว่า          ขณะที่ นายกอย เกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวว่า           นอกจากนี้ นายกอย เกือง กล่าวต่อว่า

          และสถานการณ์ล่าสุด เช้าวันนี้ สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น ได้รายงานว่า มีชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยในยุโรป ได้เดินทางมายังหน้าศาลโลกที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อกดดันศาล ในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะ ระหว่างกัมพูชาและไทยแล้ว โดยส่วนใหญ่ ได้กล่าวโจมตีว่า ประเทศไทยเป็นฝ่ายรุกล้ำดินแดนกัมพูชา

          ขณะที่สื่อต่างชาติรายงานว่า ทางประเทศไทยเตรียมชี้แจงวาจาต่อศาลโลก เวลา 21.00 น.วันนี้ หลังกัมพูชาได้ร้องต่อศาลโลกให้มีมาตรการคุ้มครองชั่วคราว รวมทั้งตีความคำพิพากษาของศาลโลก ต่อกรณีเขาพระวิหาร

          สำหรับลำดับการในชี้แจงนั้น ทีมต่อสู้คดีของไทย จะให้นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าทีมต่อสู้คดี เข้าชี้แจงเป็นคนแรก จากนั้นจะเป็นทีมทนายของไทย 4 คน และจะใช้เวลาในการชี้แจงคนละ 30 นาที

          ในส่วนของแนวทางในการชี้แจงนั้น จะกล่าวถึงอำนาจของศาลโลก ในการพิจารณาคดี เพราะศาลโลกไม่มีอำนาจในการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้การคุ้มครอง ตามที่กัมพูชาร้องขอ เนื่องจากไทยไม่เคยรุกล้ำเข้าไปในตัวปราสาท หลังจากเมื่อปี พ.ศ.2505 ศาลโลกได้เคยพิพากษาให้ตัวปราสาทเป็นเขตแดนของกัมพูชา ซึ่งกรณีนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่พิพาท ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการปักปันเขตแดน ระหว่างทั้งสองประเทศ

          และหลังจากทั้งสองประเทศได้ชี้แจงแล้ว หลังจากนั้น ศาลโลกจะมีคำวินิจฉัยว่า จะทำการคุ้มครองตามที่กัมพูชาร้องขอหรือไม่ ส่วนการพิจารณารับคำร้องตีความคำพิพากษาศาลโลกนั้น ให้คู่ความทั้งสองประเทศยื่นเอกสารชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในเดือนกันยายนนี้






[29 พฤษภาคม] ปัญหาไทย-เขมร ยังไม่ยุติ! ชงถกใหม่ปีหน้า

          ปัญหาไทย-กัมพูชา ยังไม่ยุติ! เขมรซัดไทยโกหก ลั่นไม่เห็นด้วย เลือนถกแผนจัดการ เขาพระวิหาร ยูเนสโกชงถกใหม่ปีหน้า

           นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวภายหลังการเดินทางกลับจากการประชุมเจรจาปัญหามรดกโลก ระหว่างคณะผู้แทนไทยและกัมพูชา ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยยอมรับว่า การประชุมทั้ง 3 วันที่ผ่านมา ยังไม่มีข้อยุติตามที่ไทยต้องการให้เลื่อนการพิจารณาจัดการแผนปราสาทเขาพระวิหาร ครั้งที่ 35 ที่ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 19 - 29 มิ.ย.นี้ แม้กระบวนการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ผ่านมา มีความพยายามกันอย่างมาก และทางผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโกเอง ก็อยากให้ยุติปัญหา และได้เสนอร่างข้อมติให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไป จนกว่าจะถึงการประชุมครั้งที่ 36 ในปีหน้า ซึ่งไทยขอรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุม รวมทั้งกัมพูชาก็เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งรัสเซียด้วย

           นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า ขั้นตอนจากนี้จะต้องมีการประชุมเจรจากันอีกครั้ง ก่อนที่การประชุมครั้งที่ 35 จะเกิดขึ้น รวมถึงการพิจารณาเรื่องการปักปันเขตแดน เพื่อให้ปัญหาชายแดนมีข้อยุติ นอกจากนี้กัมพูชาเอง ก็ยังมี 2 - 3 ประเด็น ที่ต้องการให้แก้ไข ทำให้กระบวนการในการพิจารณายังไม่จบสิ้น

           ตรงกันข้ามกับ นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ออกมาระบุว่า ยูเนสโก ไม่ได้เห็นด้วยกับการที่ไทยขอให้เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารออกไป จากวาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 35 ตามที่ทางการไทยกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น ข้อเรียกร้องของไทยจึงไม่เป็นผล เนื่องจากกัมพูชาไม่เห็นด้วย และสิ่งที่ไทยบอกว่ายูเนสโกเห็นด้วยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด


[29 พฤษภาคม] กัมพูชา โต้ข่าว เลื่อนแผนจัดการเขาพระวิหาร

         กัมพูชา บอก ยูเนสโก ยังไม่มีการออกหนังสือใด ๆ เพื่อรองรับให้เลื่อนการพิจารณาแผนจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารออกไปและ ไม่ได้เห็นชอบกับข้อเสนอของไทย

         เว็บไซต์ ฟิฟทีมมูฟ เผยแพร่ข้อมูล ตามการรายงานของ เกาะสันติภาพ ช่วงเย็นวานนี้ (27) นายปาย ซีฟาน (Phay Siphan) โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระบุว่า ผู้อำนวยการยูเนสโก เห็นด้วยกับไทย ที่จะให้เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารออกไป ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เดือนมิถุนายน ที่จะถึง โดยยืนยันว่า นางอิรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก ไม่ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของไทย และการประชุมที่ องค์การยูเนสโก ในกรุงปารีส เป็นเวลา 2 วัน ระหว่างวันที่ 26-27 พฤษภาคม นั้น ไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด

         นายปาย ซีฟาน กล่าวว่า การประชุมที่ องค์การยูเนสโก ระหว่างกัมพูชา-ไทย และองค์การยูเนสโก เรื่องแผนพัฒนาปราสาทพระวิหารนั้น ไม่ได้มีการประกาศข่าวอะไร และไม่มีการออกหนังสือแถลงการณ์อะไรทั้งสิ้น ตรงข้าม ผู้อำนวยการยูเนสโก แสดงความเสียใจและไม่สบายใจต่อท่าทีก้าวร้าวอย่างแข็งกร้าวของไทยอีกด้วย ส่วนที่กล่าวอ้างว่าองค์การยูเนสโก เห็นชอบตามข้อเสนอของไทยนั้น เป็นการแต่งขึ้นทั้งสิ้น

         นอกจากนี้ โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เน้นย้ำว่า การประชุมสิ้นสุดลง เมื่อเวลา 17.00 น. ของวันที่ 27 พ.ค. โดยไม่ได้ผลสรุปแต่อย่างใด ถ้าหากว่ามีเหตุผลอะไรที่เป็นประเด็นสำคัญอีก องค์การยูเนสโก คงออกเอกสารข่าว หรือ แถลงการณ์เป็นหลักฐานแล้ว

         ตามรายงานในสื่อไทยก่อนหน้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโดยกล่าวว่า ทราบเบื้องต้น แนวโน้มเป็นไปในทางที่ดี น่าจะมีความเป็นไปได้ว่า มีการตกลงในการที่จะเลื่อนการพิจารณาเรื่องดังกล่าวออกไป ส่วนรายละเอียด จะให้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ ได้รายงานอีกที เพราะเพิ่งประชุมเสร็จเมื่อคืนนี้ ซึ่งเบื้องต้น นายสุวิทย์ คุณกิตติ ผู้นำคณะจากประเทศไทย ได้ส่งข้อความว่า เป็นไปในทางที่ดี มีข่าวดี

         ทั้งนี้ ตามรายงานข่าว ที่ถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ ยูเนสโก ระบุ นางอิรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก ซึ่งได้อำนวยความสะดวกตลอดระยะเวลา 3 วันของการหารือทวิภาคี ระหว่างคณะผู้แทนจากประเทศกัมพูชา นำโดย นางซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและฝ่ายไทย นำโดย นายสุวิทธิ์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหารือในประเด็นเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ปราสาทพระวิหารที่เป็นมรดกโลกก่อนการประชุมสมัยสามัญของคณะ กรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 35 ที่ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 19-29 มิถุนายนนี้

         โดยบรรยากาศการประชุม เริ่มด้วยการเจรจาและความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อพยายามส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจร่วมกันของปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อปราสาทพระวิหาร และเพื่อให้บรรลุข้อตกลงในการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ หลังเกิดความเสียหายขึ้นและถึงแม้ว่า ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก จะแสดงความพึงพอใจที่ทั้ง 2 ฝ่าย มีการตอบรับในคำเชิญ เพื่อการอนุรักษ์ดังกล่าว และยืนยันว่า จะช่วยกันป้องกัน และรักษาปราสาท จากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ก็รู้สึกผิดหวังต่อความจริงที่ว่า ไม่มีข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมใด ๆ เกิดขึ้น ระหว่างคู่ภาคีในขั้นตอนของความก้าวหน้า เพื่อการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่กำลังจะมาถึง

         โดยรายงานตอนสุดท้าย อ้างคำกล่าวของ นางโบโกวา ที่กล่าวว่า ตนพยายามดึงดูดให้ 2 ประเทศ ติดตามความพยายามเพื่อการบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกจะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน ในจิตวิญญาณของความร่วมมือ และการเจรจาที่สร้างสรรค์
68  สมาชิก VIP / General Discussion / 1 มิถุนายน วันดื่มนมโลก เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 12:21:17 PM
1 มิถุนายน วันดื่มนมโลก


รู้กันไหมเอ่ย 1 มิถุนายน ของทุกปี เป็น "วันดื่มนมโลก" (World Milk Day) ดังนั้น วันนี้เราจึงนำสาระความรู้เรื่อง วันดื่มนมโลก และสารพัดประโยชน์ของ นม มาฝากกันค่ะ

          องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ หรือ The Food and Agriculture Organization หรือ FAO ได้กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี เป็น "วันดื่มนมโลก" (World Milk Day) เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ และองค์กรให้ความสำคัญและสนับสนุนการบริโภคนม รวมถึงจัดกิจกรรมรณรงค์และกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการบริโภคนม โดยปัจจุบันมีมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลก ที่จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องใน วันดื่มนมโลก

          ทั้งนี้ มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (International Osteoporosis Foundation หรือ IOF) ระบุว่า นมและผลิตภัณฑ์จากนมอื่น ๆ เป็นอาหารที่มีแร่แคลเซียมสูงที่สุด มีความสำคัญมากในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง เพราะร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีที่สุดและยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามินบี 12 ฯลฯ

           วิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง

           คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานกับร่างกาย

           แมกนีเซียม สร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

           ฟอสฟอรัส สร้างพลังงานให้กับเซลล์ในร่างกาย และทำให้กระดูกแข็งแรง

           โปรแตสเซียม ช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ

           โปรตีน สร้างเสริมการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

           วิตามินบี 2 ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดี ช่วยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

          สำหรับ ธาตุอาหารใน "นม" ล้วนมีส่วนช่วยไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติ และช่วยเสริมสร้างสุขภาพฟันที่ดี เพราะนมอุดมด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อฟัน มีโปรตีนที่ช่วยให้ฟันเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยเคลือบผิวฟัน นอกจากนี้ "นม" ยังเป็นเครื่องดื่มที่มอบความสดชื่นไม่แตกต่างจากน้ำดื่ม การดื่มนมเพียงหนึ่งหรือสองแก้วจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น และยังทำให้ได้รับคุณค่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการอีกด้วย

          ส่วนใครที่หลีกเลี่ยงไม่ดื่มนม เพราะเชื่อว่านมทำให้อ้วนนั้น ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นนมสด นมพร่องไขมัน หรือนมไม่มีไขมัน มีปริมาณไขมันแค่เพียง 3.9%, 1.7%, และ 0.3% เท่านั้น รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาดื่มนม เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกันดีกว่า
69  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ‘รอยเตอร์’ วิจารณ์ ‘การศึกษาไทย’ ไม่ปฏิรูปใหญ่จะทำประเทศหมดเสน่ห์ดึงดูดเงินลงทุน เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 07:28:33 AM
‘รอยเตอร์’ วิจารณ์ ‘การศึกษาไทย’ ไม่ปฏิรูปใหญ่จะทำประเทศหมดเสน่ห์ดึงดูดเงินลงทุน


สำนักข่าวรอยเตอร์เสนอบทวิเคราะห์ระบบการศึกษาของไทย ระบุการศีกษาของไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักในเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนอยู่ในลักษณะมองเข้าหาตัวเอง ซึ่งเน้นหนักให้ความสำคัญกับการท่องจำและการอ่านออกเขียนได้ระดับพื้นฐาน โดยที่พวกนักวิจารณ์ชี้ว่า ถ้าหากไม่ปรับปรุงยกเครื่องครั้งใหญ่เพื่อให้ระบบการศึกษาก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว ประเทศไทยก็จะเป็นผู้พ่ายแพ้ในการการชิงชัยกับพวกคู่แข่งแถบเอเชียเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ
       
       บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ชิ้นนี้ซึ่งเขียนโดย อัมบิกา อาฮูจา (Ambika Ahuja) บอกว่า ขณะที่ไต้หวัน, สิงคโปร์, จีน และอินเดีย ทุ่มเทเงินงบประมาณนับพันนับหมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาการศึกษาในขั้นมหาวิทยาลัยให้ขึ้นสู่ระดับโลก, การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ, และทักษะความชำนาญด้านต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง ประเทศไทยกลับแทบไม่ได้ขยับเขยื้อนระบบการศึกษาของตนเองซึ่งได้ดำรงสภาพเช่นนี้มาเป็นสิบปีแล้ว โดยที่ไทยยังคงกำหนดจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของการศึกษาเอาไว้ที่การสงวนรักษาอัตลักษณ์แห่งชาติ
       
       รอยเตอร์ชี้ว่า ทางด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีผู้เกิดในอังกฤษและสำเร็จการศึกษาจากออกซฟอร์ด ต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพดังกล่าวนี้ ด้วยแผนการปฏิรูปการศึกษาระยะเวลา 6 ปีที่ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 371,500 ล้านบาท (ราว 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งคณะรัฐมนตรีของเขาอนุมัติไปแล้วเมื่อตอนต้นเดือนนี้ ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเป็นโขยงที่มุ่งจะใช้เรียกคะแนนเสียงในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ซึ่งคาดหมายกันว่าการแข่งขันจะเป็นไปอย่างเข้มข้น
       
       อย่างไรก็ดี บทวิเคราะห์ระบุว่า เอาเข้าจริงแล้วพวกผู้เชี่ยวชาญมองกันว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินงบประมาณ และยกตัวอย่างคำพูดของนายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กล่าวว่า กรอบความคิดความเชื่อของหลักสูตรการศึกษาไทยในเวลานี้ เป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากยุคสร้างชาติและยุคสงครามเย็น ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตพลเมืองที่เชื่อฟังผู้ปกครองและมีลักษณะชาตินิยม เป็นระบบการศึกษาที่ “มีความเป็นลำดับชั้น, จากบนสู่ล่าง, โดยที่ขาดไร้อย่างชนิดเป็นระบบทีเดียวในเรื่องความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์”
       
       บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์เห็นว่า ระบบการศึกษาเช่นนี้ผลิตบุคลากรที่ไม่เอื้อต่อการก้าวไปข้างหน้าของไทย ในขณะที่เวลานี้ไทยกำลังพยายามดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ให้เข้าสู่พื้นที่อื่นๆ ด้วยนอกเหนือจากอุตสาหกรรมการผลิตพื้นฐาน
       
       รอยเตอร์อ้างคำพูดของซีอีโอชาวอเมริกันในบริษัทสำคัญแห่งหนึ่งที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ที่บอกว่า “การหาคนงานซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มสาว, มีความสามารถรอบตัว, มีทักษะสูง, และพูดภาษาอังกฤษได้ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่ามาก ถ้าไปหาในสิงคโปร์, ไต้หวัน และจีน”
       
       นอกจากนั้น “แรงงานของไทยก็ไม่ได้มีราคาถูกเหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีต ด้วยเหตุนี้พวกตำแหน่งงานอุตสาหกรรมการผลิตพื้นฐานจึงกำลังเริ่มเคลื่อนย้ายไปที่อื่นๆ ด้วยเช่นกัน” ซีอีโอที่ขอสงวนนามผู้นี้กล่าว
       
       พร้อมกันนี้ รอยเตอร์ได้อ้างข้อมูลตัวเลขที่รวบรวมโดย องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ซึ่งระบุว่า ในปี 2010 ค่าจ้างแรงงานไทยตามโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่เดือนละ 263 ดอลลาร์ ตัวเลขนี้แม้ยังคงต่ำกว่าจีนซึ่งอยู่ที่ 303 ดอลลาร์ ทว่าสูงกว่า ฟิลิปปินส์ซึ่งอยู่ที่ 212 ดอลลาร์, อินโดนีเซียอยู่ที่ 182 ดอลลาร์, เวียดนามที่ 107 ดอลลาร์ และกัมพูชาที่ 101 ดอลลาร์
       
       ในขณะที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับแผนการปฏิรูปการศึกษาของนายอภิสิทธิ์ บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ก็บอกว่าผลงานของฝ่ายค้านเองจัดอยู่ในสภาพกระท่อนกระแท่นไม่น่าพอใจเช่นเดียวกัน เป็นต้นว่ารัฐบาลในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงปี 2001-2006 ให้คำมั่นที่จะทำให้พวกโรงเรียนรัฐบาลมีอิสระมากยิ่งขึ้น ทว่ากลับไปไม่ถึงไหนเมื่อเผชิญการต้านทานจากกระทรวงศึกษาธิการ
       
       รอยเตอร์กล่าวว่า ในตอนนี้พวกผู้นำพรรคเพื่อไทยบอกว่า พวกเขาจะเพิ่มงบประมาณใช้จ่ายในด้านทรัพยากรต่างๆ ของโรงเรียน ตลอดจนในเรื่องเทคโนโลยี และทุนการศึกษา ทว่าพวกนักวิจารณ์มองว่านโยบายเช่นนี้พลาดเป้าโดยไม่ได้จับประเด็นปัญหาพื้นฐานที่สุด ซึ่งก็คือ วิธีการฝึกอบรมครู และหลักสูตรการเรียนการสอน
       
       บทวิเคราะห์ชิ้นนี้อ้างตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งระบุว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้จ่ายในด้านการศึกษามากที่สุดของโลกเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจ โดยที่กำลังจัดสรรงบประมาณประจำปีราวๆ 20% ให้แก่การศึกษา
       
       นอกจากนั้น รอยเตอร์ยังอ้างข้อมูลของสถาบันการบริหารการพัฒนา (Institute of Management Development หรือ IMD) ซึ่งตั้งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ที่บอกว่า ในปี 2009 ไทยใช้จ่ายด้านการศึกษาเป็นจำนวนเท่ากับ 4% ของจีดีพี สูงกว่าสิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ 3.1% ทว่าขณะที่สิงคโปร์ติดอันดับ 13 ในเรื่องผลงานทางด้านการศึกษา ไทยกลับอยู่ที่ 47
       
       บทวิเคราะห์ชิ้นนี้อ้างผลการวิจัยของนายดิเรก ปัทมศิริวัฒน์ แห่งสถาบันเพื่อการวิจัยประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่กล่าวว่า ขณะที่นักเรียนไทยประมาณ 71% เข้าโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา แต่มีเพียง 18% เท่านั้นที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา
       
       แถมการจบมหาวิทยาลัยก็ใช่ว่าจะเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ โดยรอยเตอร์อ้างการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ แควกเควเรลลี ไซมอนด์ส (Quacquarelli Symonds หรือ QS) ที่ออกมาว่า มหาวิทยาลัยไทยซึ่งได้อันดับดีที่สุดคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น ยังติดเพียงอันดับ 180 ของโลก เปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยฮ่องกงซึ่งอยู่ที่ 23 และมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ที่ติดอันดับ 31
       
       รอยเตอร์บอกว่า ผลลัพธ์ประการหนึ่งที่เกิดขึ้นจากสภาพการณ์เช่นนี้ก็คือ ประเทศไทยผลิตกำลังแรงงานที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษซึ่งอ่อนแอที่สุดชาติหนึ่งของโลก โดยที่ IMD จัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 54 จาก 56 ประเทศทั่วโลกในเรื่องความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษ เมื่อเทียบกับชาติเอเชียด้วยกันก็อยู่ในระดับรองบ๊วย ขณะที่สิงคโปร์อยู่อันดับ 3 และมาเลเซียได้ที่ 28
       
       บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ยังอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์หลายรายที่มองว่า การที่ไทยไม่สามารถที่จะปรับปรุงยกเครื่องการศึกษาอย่างขนานใหญ่ได้ เนื่องจากปัจจัยเรื่องความเฉื่อยช้าของระบบราชการ, การขาดแคลนแนวความคิดในเรื่องวิธีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน และความย่ำแย่ของระบบการคัดเลือกและการฝึกอบรมผู้ที่จะเป็นครูอาจารย์
70  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ซาอุฯ ประกาศห้ามเดินทางหลายประเทศในเอเชียรวม “ไทย” เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 06:49:48 AM
ซาอุฯ ประกาศห้ามเดินทางหลายประเทศในเอเชียรวม “ไทย”

อาหรับนิวส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ทางการผู้รับผิดชอบของซาอุดีอาระเบีย ประกาศห้ามหน่วยงานด้านการเดินทางและท่องเที่ยว เดินทางไปยังหลายประเทศในเอเชีย โดย 1 ในนั้นคือ ประเทศไทย พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องหน่วยงานเหล่านี้ ไม่ให้โปรโมตการเดินทาง และการท่องเที่ยวในประเทศซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำ
       
       ทางด้านหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งริยาด ได้สั่งให้หน่วยงานด้านการเดินทางและท่องเที่ยว ตลอดจนองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสมาชิกของทางหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งนี้ ให้ปฏิบัติตามประกาศห้ามดังกล่าว
       
       หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งริยาดระบุว่า “ถ้าหากหน่วยงานเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งห้ามการเดินทางไปยังประเทศไทย ก็จะถูกพิจารณาว่ากระทำการละเมิดกฎหมาย ส่วนผู้ที่ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวไปยังประเทศที่ถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ก็จะถูกทางการผู้รับผิดชอบสอบสวน”
       
       รายงานข่าวนี้บอกว่า หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งริยาดได้ทำการเผยแพร่หนังสือเวียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งออกโดยสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งซาอุดีอาระเบีย ตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยแล้ว
       
       นอกจากระบุชื่อประเทศไทยแล้ว รายงานข่าวชิ้นนี้ของอาหรับนิวส์ไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศอื่นๆ อีก แม้ตามข่าวจะพูดชัดว่ามีหลายชาติเอเชียที่ถูกขึ้นบัญชีดำ รวมทั้งรายงานข่าวก็ไม่ได้พูดถึงเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ด้วย
       
       เช่นเดียวกับที่รายงานข่าวไม่ได้ให้รายละเอียดคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย หรือหนังสือเวียนของสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งซาอุดีอาระเบีย จึงไม่เป็นที่ชัดเจนว่า คำสั่งห้ามหรือการขึ้นบัญชีดำคราวนี้มีขอบเขตครอบคลุมขนาดไหน
71  สมาชิก VIP / General Discussion / 10 อันดับสุดยอดเทคโนโลยีแห่งศตวรรษ เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 06:47:03 AM
10 อันดับสุดยอดเทคโนโลยีแห่งศตวรรษ

10 อันดับสุดยอดเทคโนโลยีแห่งศตวรรษ     
ในศตวรรษนึงย่อมมีการเปลี่ยนแปลงมากมายมาดูว่าเทคโนโลยี10อันดับสุดยอดที่พัฒนาขึ้นมามีอะไรบ้าง


10 เครื่องบิน (Airplane)



ประวัติศาสตร์การ บินของโลกเริ่มขึ้น ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1903 เมื่อออร์วิลล์ กับวิลเบอร์ ไรท์ ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการเหินเครื่องบินที่ เขาประดิษฐ์ขึ้นสูงจากพื้นดิน 40 เมตร เหนือทะเลทรายแห่งเมืองคิตตี้ฮอว์คและทรงตัวอยู่ได้นานถึง 12 วินาทีในนภากาศ นับเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ บินสู่ท้องฟ้าด้วยอุปกรณ์ติดเครื่องยนต์ แม้ว่าพี่น้องไรท์จะใช้เครื่องยนต์พลัง 12 แรงม้า แต่เขาก็พบว่า ปีกนั้นมีความสำคัญยิ่ง ความดันที่แตกต่าง กันระหว่างพื้นบนและพื้นล่างของปีก จะทำให้เกิดแรงยกจนเครื่องบินลอยตัวได้ นับแต่นั้นมาการเดินทางของมนุษย์ก็รวดเร็วกว่าเดิมหลายสิบเท่า วิถีชีวิตและสังคมก็เปลี่ยนไปจากเดิม มนุษย์ใช้เวลาที่เคยสูญเสียไปกับการเดิน ทางมาสร้างสรรค์สิ่งอื่นๆ ได้มากมายขึ้น โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาเครื่องบินจากที่เคยเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก นานกว่าหนึ่งวัน ลดลง เหลือเพียง 4 ชั่วโมง ด้วยเครื่องบินคองคอร์ด ซูเปอร์โซนิก
 
 9 รถถัง (Tank)



ในอดีตกาลนั้น สนามเพลาะเป็นเครื่องมือยุทธการที่นับว่าได้ผล การจะยกทัพบุกโจมตีฝ่าสนามเพลาะจะต้องเสียกำลังพลมากมาย และไม่มีใครหา วิธีโจมตีสนามเพลาะได้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1915 นายพันเออร์เนสต์ สวินตันแห่งกองทัพบกอังกฤษ ได้สังเกตเห็นว่ารถตีนตะขาบหรือแทรคเตอร์ นั้น สามารถแล่นข้ามบ่อหลุม และคูได้อย่างสบายๆ ตีนตะขาบของมันได้ผลดีกว่าล้อหลายเท่า ท่านนายพันจึงสั่งบริษัทผลิตรถแทรคเตอร์ให้สร้างยาน พาหนะชนิดนี้ โดยทำด้วยเหล็กแข็งแรงและติดตั้งปืนกลไว้ด้วย อีกสองปีถัดมาคือใน ค.ศ.1917 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 วันที่ 17 พฤศจิกายน กองทัพอังกฤษได้เคลื่อนขบวนรถถังดังกล่าว 474 คัน บุกโจมตี ครั้งใหญ่ใกล้เมืองแคมบรายในฝรั่งเศส ภายในไม่กี่ชั่วโมงทัพรถถังสามารถบุกฝ่าแนวรบไปได้ไกลถึง 12 ไมล์ และจับกุมเชลยศึกได้ถึงหมื่นคน จากนั้นเป็นต้นมา ยานเกราะก็เป็นอุปกรณ์สงครามที่สำคัญยิ่งสำหรับกองทัพทุกประเทศ ศักยภาพแห่งการระดมยิงด้วยปืนใหญ่รถถังนั้นทรงพลัง ในการบุกตะลุยยิ่งนัก รถถังที่พัฒนาขึ้นในปัจจุบันสามารถยิงเป้าหมายห่างไกลถึง 2 ไมล์ได้อย่างแม่นยำ ด้วยการควบคุมจากคอมพิวเตอร์

 8 จรวดเชื้อเพลิงเหลว (Liquid-fueled Rocket)



มนุษย์ไม่มี โอกาสไปถึงดวงดาวได้ ถ้าหากโลกปราศจากเด็กหนุ่มนาม โรเบิร์ต ก๊อดดาร์ด นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยแมสสาชูเสตต์ ในช่วงปี ค.ศ. 1920 หนุ่มก๊อดดาร์ดใฝ่ฝันที่จะสร้างยานพาหนะสำหรับเดินทางไปในอวกาศ ในหกปีแรกแห่งการค้นคว้า เขาทดลองใช้จรวดเชื้อเพลิง แข็ง แต่พบว่ามันไม่มีพลังพอที่พุ่งหนีแรงดึงดูดของโลกไปได้ เขาจึงเปลี่ยนมาทดลองใช้เชื้อเพลิงผสมระหว่างอ๊อกซิเจนกับแกสโซลีน ซึ่งให้พลัง งานมหาศาล หากทว่าเกิดความร้อนที่สูงเกิน 5 พันฟาห์เรนไฮท์ ซึ่งแม้แต่เหล็กก็ยังละลาย เขาจึงพัฒนาต่อโดยใช้อ๊อกซิเจนเหลวเป็นตัวระบาย ความร้อนห่อหุ้มห้องเผาไหม้ จรวดของก๊อดดาร์ดพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงลิ่วภายในพริบตาแม้เชื้อเพลิงจะหมดลงใน เวลาอันสั้น แต่ก็ได้จุดประกายความคิด ในด้านนี้แก่นักวิทยาศาสตร์ คนอื่น ปัจจุบัน กระสวยอวกาศ (space shuttle) คือจรวดเชื้อเพลิงเหลวที่แอดวานซ์ที่สุด ภายใน 9 นาที มันเผาผลาญเชื้อเพลิงถึง 5 แสนแกลลอน และให้ความเร็วที่เหนือกว่าเครื่องบิน 747 ถึง 30 เท่า!

 7 หุ่นยนต์ (Robot)



ในช่วงปี ค.ศ.1939 โลกเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มนุษย์จึงหาทางออกเพื่อหลีกเลี่ยงความเศร้าซึมด้วยการจัดมหรสพต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ มหกรรม "เวิร์ลด์แฟร์" ซึ่งมีผู้คนกว่า 25 ล้านคนไปชม และพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ที่นำมาโชว์ นั่นคือหุ่นยนต์ที่มีนามว่า อีเล็กโตร (Electro) มันสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้คล้ายมนุษย์ เดินได้ พูดได้ จำแนกสีต่างๆ ได้ นับเลขด้วยนิ้วมือก็ได้ แถมยังมีศัพท์ถึง 77 คำในหน่วยความจำ ทำให้เจ้าอีเล็กโตรสามารถตอบคำถามได้ บริษัทผู้สร้างมันขึ้นมาคือเวสติงเฮาส์ 20 ปีต่อมา วงการอุตสาหกรรมมีการผลิตโรบ็อทขึ้นจำหน่ายด้วยความมุ่งหมายว่าในอนาคต เราไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานมนุษย์อีกต่อไป! อ๊ะ ...ถ้างั้นเราก็ตกงานน่ะสิ ก็อาจเป็นจริง ด้วยอุปกรณ์อันทันสมัยประกอบด้วย เซนเซอร์ไฟฟ้า กล้องดิจิตอล อุปกรณ์นำทาง ฯลฯ เจ้าโรบ็อทก็ สามารถทำบางสิ่งที่เสี่ยงอันตรายเกินไปสำหรับมนุษย์ เช่น การบุกเข้าไปในอาคารที่เกิดวินาศภัย เพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต หรือ การจับต้องอุปกรณ์ กัมมันตรังสี หรือ สัมผัสกับเชื้อโรคแถมยังมีลีลาน่ารักอีกต่างหากอย่างเช่น เจ้าอาซิโม (ASIMO) ที่บริษัทฮอนด้าผลิตขึ้น เป็นต้น

 6 ระเบิดปรมาณู (Atomic Bomb)



ในช่วงทศวรรษ ที่ 1940 อเมริกันต้องการสงบสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เร็วที่สุด ปธน.รูสเวลท์ จึงมีคำสั่งให้ตั้งโครงการลับสุดยอดในชื่อแมนฮัตตัน โปรเจ็คท์ โดยมี เจ. โรเบิร์ต อ็อพเพนไฮเมอร์ เป็นหัวหน้าทีม ทำการค้นคว้าและสร้างอาวุธมหาประลัยที่เรียกว่า อะตอมิก บอมบ์ และได้ทำการ ทดลองครั้งแรกกลางทะเลทราย ในรัฐนิวเม็กซิโก ในเดือนกรกฎาคม 1945 และแล้วอีกหนึ่งเดือนถัดมาคือ วันที่ 6 สิงหาคม 1945 ระเบิดปรมาณู ก็ปล่อยลงเหนือพื้นดินเมืองฮิโรชิมา, ญี่ปุ่น สังหารผู้คนนับแสนในทันทีทันใดและที่ถูกกัมมันตรังสี เจ็บป่วยล้มตายในเวลาต่อมาก็อีกมาก จัดเป็นเทคโนโลยีที่ไม่น่าพิสมัยนัก หากทว่าในปัจจุบันการใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติ เช่น การฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ก็นับเป็นสิ่งที่น่าพัฒนาให้ ก้าวหน้าต่อไป


5 เซลล์สุริยะ (Solar Cell)



โลกเราได้รับ พลังงานจากแสงอาทิตย์มาตั้งแต่แรกอุบัติ หากทว่าเพิ่งจะในช่วงทศวรรษ 1950 ที่มนุษย์เริ่มรู้จักนำแสงแดดมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน และนำไปใช้ประโยชน์ได้ เริ่มจากในปี 1954 วิศวกรแห่งบริษัทเบลล์ ต้องการหาพลังงานที่จะใช้กับระบบเครือข่ายโทรศัพท์ใน ชนบทและเกิดปิ๊งไอเดียว่าน่าจะใช้ประโยชน์ จากแสงแดดได้ พวกเขามองหาวัสดุตัวนำไฟฟ้าที่สามารถแปลงแสงแดดให้เป็นพลังงานไฟฟ้า แล้วก็พบว่าซิลิคอนที่มีอยู่เหลือเฟือบนพื้นโลกน่าจะ ดีที่สุด โดยเมื่อเอาซิลิคอนมาทำเป็นโซลาร์เซลล์ พอแสงแดดตกกระทบ อิเล็คตรอนก็จะหลุดจากอะตอมของซิลิคอน และเกิดมีกระแสไฟฟ้าไหล การพัฒนาใช้โซลาร์เซลล์เป็นไปอย่างรวดเร็วหลากหลาย ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 สถานีอวกาศนานาชาติ ได้ติดตั้งแผงเซลล์สุริยะขนาด มหึมาไว้เป็นแหล่งพลังงาน เนื่องจากเป็นพลังงานชนิดเดียวที่สามารถหาได้ในอวกาศ มันไม่หมดสิ้น ถ้าหากปราศจากเซลล์สุริยะแล้ว สถานีอวกาศก็ ไม่อาจปฏิบัติการได้อย่างแน่นอนที่สุด ที่สำคัญคือ ในยามที่เชื้อเพลิงบนโลกกำลังขาดแคลน และมีราคาสูงขึ้นทุกวัน พลังงานที่อาจมาทดแทนได้ โดยไม่ต้องซื้อหา (ยกเว้นอุปกรณ์) ก็คือ แสงแดดนั่นเอง

4 เลเซอร์ (Laser)



เริ่มค้นคว้า เกี่ยวกับเลเซอร์ก็คือวิศวกรของบริษัทเบลล์เช่นกัน จากการค้นคว้าในช่วงทศวรรษ 1960 พวกเขาพบว่า แสงสว่างโดยทั่วไปนั้นคลื่นต่างๆ กัน ซึ่งถ้าสามารถรวมแสงที่กระจัดกระจายเหล่านั้นให้รวมตัวพุ่งเป็นลำเดียวภาย ใต้ความเข้มสูง แสงนี้ก็จะมีพลังงานมหาศาล สามารถตัดแม้ กระทั่งเหล็กได้ วิธีการสร้างแสงเลเซอร์ ได้แก่การนำเอาวัสดุ ซึ่งอาจเป็นของเหลว ผลึก หรือก๊าซ ใส่ลงในกระบอกที่มีกระจกเงาปิดปลายทั้งสองด้าน เมื่อป้อนพลังงาน เข้าไปให้อะตอมของธาตุเหล่านี้ปล่อย แสงออกมา และสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในกระบอก กระทั่งเกิดอะตอมมากมายที่ปล่อยแสง ซึ่งมีความ ยาวคลื่นและถี่เท่ากัน จากนั้นก็จะเกิดลำแสงเดี่ยวที่มีพลังสูงยิ่ง และนำไปใช้ประโยชน์ได้นานัปการเราคงมิทันตระหนักหรอกว่า แผ่น CD หรือ DVD ที่เราเล่นอยู่นั้น ทำงานโดยเลเซอร์ การคิดราคาสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต โดยการสแกนอย่างรวดเร็ว ก็อาศัยเลเซอร์ การสื่อสารทางไกลต่างๆ ล้วนพึ่งพาคุณสมบัติของเลเซอร์และที่เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงก็คือ การผ่าตัดดวงตาด้วยแสงเลเซอร์ซึ่งปฏิบัติการได้อย่าง ละเอียดและเนียนยิ่ง

3 คอมพิวเตอร์ส่วนตัว (Personal Computer)



ย้อนกลับไปใน ช่วงปี 1970 อันเป็นยุคที่ชนอเมริกันกำลังท้อแท้กับสงครามเวียดนาม คอมพิวเตอร์ในยุคนั้นใหญ่โตเทอะทะคับห้องแอร์ ก็ได้มีสองหนุ่ม หัวใสนามสตีฟ จ๊อบส์ กับ สตีฟ วอชนิแอค ได้ร่วมกันค้นคว้าประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่คนทั่วไปสามารถใช้ได้ อุปกรณ์ชิ้นส่วนสำคัญที่เขาคิด ได้นี้เรียกว่าไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งประกอบด้วยทรานซิสเตอร์จิ๋ว ๆ ผนึกติดกับแผ่นซิลิคอนชิพ คอมพ์ฯขนาดเล็กที่มีชื่อว่า แอปเปิล1 ได้ออกวาง จำหน่ายในปี ค.ศ. 1976 แล้วพัฒนาเป็น แอปเปิล2 ซึ่งมีคำสั่งซื้อไหลหลั่งเข้ามาถึงกว่า 2 ล้านออร์เดอร์ ในปัจจุบันมากกว่า 50% ของบ้านเรือนในสหรัฐจะมีคอมพิวเตอร์ติดตั้งอยู่อย่าง น้อย 1 เครื่อง

2 หัวใจเทียม (Artificial Heart Muscles)



ในแต่ละปีโลก เรามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจถึง 17 ล้านคน และหลายประเทศมีการตายด้วยโรคหัวใจเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยที่รอรับการ ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ อีกนับพันนับหมื่นราย แต่ทว่าในปัจจุบัน ได้มีการประดิษฐ์หัวใจเทียมได้อย่างมีประสิทธิภาพและ รวดเร็วพอเพียงกับจำนวน ผู้ป่วยแล้ว ย้อนไปใน ค.ศ. 1982 ดร.โรเบิร์ต จาร์วิค ได้ประดิษฐ์หัวใจเทียมชนิดฝังไว้ในอกเครื่องแรกขึ้นในชื่อ จาร์วิค1 (Jarvik 1) มันมีอุปกรณ์ระโยงรยางค์ พ่วงมากมาย ประกอบด้วยตู้ควบคุมที่มีขนาดพอ ๆ กับตู้เย็น สายไฟฟ้านั้นโผล่ออกมาจากผิวหนัง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่เดี๋ยวนี้ อุปกรณ์ต่างๆ พัฒนาจนกะทัดรัดขึ้น พลังงานที่ใช้มาจากแผงแบตเตอรี่ที่คาดไว้กับตัว ทำให้พกพาไปไหนได้สะดวก มีปั๊มไฮโดรลิกที่ สูบฉีดโลหิตพอดีกับจังหวะการเต้นของหัวใจนับเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตอันน่า อัศจรรย์ยิ่ง

1 โคลนนิ่ง (Cloning)



และเราก็มา ถึงสุดยอดเทคโนโลยี แห่งศตวรรษที่ 20 โลกเราจะน่าพิศวงสักเพียงไร ถ้าหากเราตื่นขึ้นมาแล้วพบคนคนหนึ่ง ซึ่งเหมือนเราดั่งคนเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1990 นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งแห่งสถาบันรอสลิน ในสก็อตแลนด์ ได้ทุ่มเทค้นคว้าหาทางผลิตสิ่งมีชีวิตขึ้น โดยมีคุณสมบัติเหมือนบุพการี ของมันทุกประการ เขาผู้นั้น- ดร.เอียน วิลมุท นำเอาลูกอัณฑะของแกะตัวหนึ่งมาสกัดเอานิวเคลียสที่มี เซลล์สืบพันธุ์ออก จากนั้นก็เอา DNA จาก แกะตัวที่เขาต้องการสร้างทายาทมาใส่แทนที่นิวเคลียสนั้น แล้วจึงนำไปฝังในแกะแม่พันธุ์ ถัดจากนั้นมาอีก 148 วัน ดอลลี่ (Dolly) แกะโคลนนิ่ง ตัวแรกของโลกก็ถือกำเนิดขึ้นมา การพัฒนาโคลนนิ่งนำไปสู่ประโยชน์หลายประการ เช่นการเพาะอวัยวะสำหรับทดแทนอวัยวะของคนไข้ ซึ่งจะไม่ก่อปฏิกิริยาไม่ยอมรับดังเช่นทั่วไป การเพาะพันธุ์วัวที่สามารถให้น้ำนมที่อุดมด้วยโปรตีน หรือมีเนื้อที่มีคุณถาพสำหรับการบริโภค การผลิตวัคซีนสำหรับต่อต้านโรคต่างๆ ฯลฯ แต่การโคลนนิ่งมนุษย์เพื่อให้มาเป็นเพื่อนที่มีหน้าตาเหมือนคุณนั้นยังคง เป็นปัญหาต่อไปอีกนานครับ

ขอบคุณที่มาของบทความ : toptenthailand

72  สมาชิก VIP / General Discussion / ความหมายของสีประจำวัน เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2011, 06:42:27 AM
ความหมายของสีประจำวัน


 คุณส้มโอ อยากทราบที่มาของสีประจำวันโดยบอกว่าเคยเล่าให้เพื่อนต่างชาติฟังว่าในเมืองไทยตอนนี้เหลืองอร่ามเพราะใส่เสื้อสีประจำวันพระราชสมภพของในหลวง เลยเกิดคำถามจากเพื่อนว่า ทำไมวันจันทร์ต้องเหลือง อังคารต้องชมพู ฯลฯ ใครเป็นคนกำหนด แล้วกำหนดไปเพื่ออะไร
       
       ที่มาว่าทำไมวันจันทร์ต้องสีเหลือง อังคารสีชมพู พุธสีเขียว พฤหัสบดีสีส้ม ศุกร์สีฟ้า เสาร์สีม่วง จากการสืบค้นดูแล้วไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้กำหนดสีประจำวันเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เรามีคำอธิบายเกี่ยวกับสีประจำวันในแต่ละวันว่ามีความหมายอย่างไรบ้างมาฝาก ดังนี้
       
       วันอาทิตย์- สีแดง
       สีแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง สุขภาพ และแรงปรารถนา เชื่อว่าสีแดงจะมีพลังอำนาจสูงสุดเมื่ออยู่คู่กับคนที่เกิดวันอาทิตย์ สีแดง อาจหมายถึงโชคดีสำหรับคนที่เริ่มทำธุรกิจใหม่ คู่แต่งงานและความอายุยืน ในด้านสุขภาพสีแดงยังช่วยในการไหลเวียนโลหิตเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้ยืนยาวนานอีกด้วย
       
       วันจันทร์-สีเหลือง
       สีเหลืองมักถูกอ้างถึงความเจิดจ้า ความสว่างไสว ความเชื่อใจ พระอาทิตย์รังสีสีเหลืองที่ให้ชีวิตแก่สิ่งมีชีวิต สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่และชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยความสว่างไสว สีเหลืองยังช่วยชำระจิตใจที่ยังช่วยให้ตัดสินใจได้ดีที่สุดสำหรับเรื่องธุรกิจและชีวิตที่นำไปสู่ความอุดมสมบูรณ์
       
       วันอังคาร-สีชมพู
       สีชมพูทำให้แรงปรารถนาของสีแดงอ่อนโยนลงกลายเป็นสีแดงอันอ่อนละมุน สีชมพูช่วยหัวใจในตัดสินใจได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรักเพราะสีชมพูหมายถึงความรักที่คงทนและไร้เงื่อนไข รวมถึงมิตรภาพ ในเรื่องสุขภาพสีชมพูสร้างความสมดุลระหว่างสุขภาพกายและใจ
       
       วันพุธ-สีเขียว
       สีเขียวเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองและสะท้อนพลังอันมีชีวิตชีวาของชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต เชื่อกันว่าสีเขียวมีคุณลักษณะอันเป็นประโยชน์หลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ช่วยให้ตาผ่อนคลาย เพิ่มพูนความฉลาดและกล้าหาญและช่วยป้องกันจากโรคร้าย และนำพาสู่ชีวิตอมตะ สีเขียวจะมีพลังสูงสุดเมื่อคู่กับคนที่เกิดวันพุธ
       
       วันพฤหัสบดี-สีส้ม
       สีส้มเป็นสีที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เกิดวันพฤหัสบดี สีส้มแสดงถึงความหวังและความอิ่มเอิบ ช่วยเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นสถานที่อันชวนหลงใหลสำหรับการอาศัยอยู่ ช่วยส่งเสริมและนำมาซึ่งความหวังแก่ผู้คนที่โชคร้ายในชีวิต นอกจากนั้นยังเชื่อว่าสีส้มช่วยเผยความรู้สึกที่เก็บไว้ซึ่งเป็นการดีเมื่อได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ในด้านสุขภาพ สีเขียวช่วยป้องกันการติดต่อจากเชื้อโรคและทำให้สุขภาพดี
       
       วันศุกร์-สีฟ้า
       สีฟ้าแสดงถึงสันติภาพ ความสงบและความฝัน ช่วยให้การแต่งงานราบรื่นและยืนยาว ซึ่งจะทรงพลังที่สุดเมื่ออยู่กับคนที่เกิดวันศุกร์ สำหรับคนที่ทำธุรกิจ สีฟ้าช่วยยุติการทะเลาะเบาะแว้ง สร้างหุ้นส่วนใหม่และช่วยให้มีความกล้าในการทำสิ่งที่ยากลำบาก ช่วยรักษาอาการขี้เกียจและเสริมสร้างพลังทางใจด้วย
       
       วันเสาร์-สีม่วง
       สีม่วงเป็นการผสมผสานระหว่างแรงปรารถนาของสีแดงและความสงบเงียบของสีฟ้า สีม่วงเป็นที่รู้จักสำหรับความลึกลับ ความรุ่งโรจน์ สีม่วงเป็นสีที่เป็นประโยชน์สำหรับคนที่เคร่งเครียดและบ้างานเพราะช่วยในการควบคุมอารมณ์ ผ่อนคลายจิตใจและปลดปล่อยจากภาระผูกพันเนื่องจากการวิตกกับชีวิต จากหลายความเชื่อ สีนี้เหมาะสำหรับคนที่เกิดวันเสาร์
73  สมาชิก VIP / General Discussion / โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคร้ายที่คร่าชีวิตโดยไม่รู้ตัว เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2011, 11:41:25 PM
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคร้ายที่คร่าชีวิตโดยไม่รู้ตัว

เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (หมอชาวบ้าน)

          หลายคนอาจได้ยินข่าวการเสียชีวิตของ น้องกาว นางสาวสโรชา เนียมบุญนำ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่า น้องกาว เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทำให้คนอยากรู้จักเจ้าโรคนี้ว่าร้ายกาจแค่ไหน ทำไมเป็นแล้วจึงเสียชีวิตได้ วันนี้ เราจึงนำข้อมูลดี ๆ จากเว็บไซต์หมอชาวบ้านมาบอกกัน

           ชื่อภาษาไทย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

           ชื่อภาษาอังกฤษ Meningitis


สาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อ ได้แก่

     1.เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญ เช่น
         
             เชื้อวัณโรค (ทีบี) มักพบในผู้ป่วยเอดส์

             เชื้อเมนิงโกค็อกคัส (meningococcus) ซึ่งเป็นสาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่มีชื่อเรียกว่า "ไข้กาฬหลังแอ่น"

     2.เชื้อไวรัส

     3.เชื้อรา เช่น เชื้อราคริปโตค็อกคัส (crypto-coccus) ซึ่งพบบ่อยในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์

     4.พยาธิ ที่พบบ่อยในบ้านเรา ก็คือ พยาธิแองจิโอสตรองไจลัส (angiostrongylus cantonensis) ซึ่งอยู่ในหอยโข่ง พบมากทางภาคกลางและภาคอีสาน


หนทางของการติดเชื้อ

     1.ทางเดินหายใจ เช่น เชื้อทีบี เชื้อเมนิงโก-ค็อกคัส เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยการไอ จาม หายใจรดกัน ไปอยู่ในทางเดินหายใจ (ลำคอ ปอด) แล้วผ่านกระแสเลือดเข้าไปในสมอง

     2.ทางเดินอาหาร เช่น พยาธิแองจิโอสตรอง ไจลัส เข้าสู่ร่างกายโดยการกินหอยโข่งดิบ ไปอยู่ในกระเพาะลำไส้ แล้วเข้าสู่กระแสเลือด ขึ้นไปที่สมอง

     3.แพร่กระจายผ่านกระแสเลือด โดยเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อของอวัยวะต่าง ๆ (เช่น ปอดอักเสบ กระดูกอักเสบเป็นหนอง) กระจายเข้าสู่กระแสเลือด แพร่ไปที่สมอง

     4.เชื้อลุกลามจากบริเวณใกล้สมอง เช่น ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อของหูชั้นกลาง (หูชั้นกลางอักเสบ) หรือไซนัส (ไซนัสอักเสบ) เมื่อเป็นเรื้อรัง เชื้ออาจลุกลามผ่านกะโหลกศีรษะที่ผุกร่อนเข้าไปในสมอง หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีกะโหลกศีรษะแตก จากการบาดเจ็บ เชื้อโรคจากภายนอกอาจเข้าไป ในสมองโดยตรง จนเกิดการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง


อาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

          ผู้ป่วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมักมีอาการไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนมาก และคอแข็ง (คอแอ่นไปข้างหลัง และก้มไม่ลง) ผู้ป่วยมักจะบ่นปวดทั่วศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีการเคลื่อนไหวของศีรษะ (เช่น ก้มศีรษะ) ซึ่งมักจะปวดติดต่อกันหลายวัน กินยาแก้ปวดไม่ทุเลา

          ส่วนอาการไข้ อาจมีลักษณะไข้สูงตลอดเวลา หรือไข้เป็นพัก ๆ ถ้าเกิดจากพยาธิอาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้ก็ได้ ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย สับสน ซึมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสติ นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการกลัวแสง เห็นภาพซ้อน กลืนลำบาก แขนขาเป็นอัมพาต หรือชักติดต่อกันนาน ๆ

          ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ อาการอาจไม่ค่อยชัดเจน อาจมีไข้ กระสับกระส่าย ร้องไห้เสียงแหลม อาเจียน ชัก กระหม่อมหน้าโป่งตึง อาจไม่มีอาการคอแข็ง (ก้มคอไม่ลง)

          ในรายที่เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อเมนิงโกค็อกคัส อาจมีผื่นแดงจ้ำเขียวขึ้นตามผิวหนังร่วมกับอาการไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน หลังแอ่น คอแอ่นคอแข็ง ชาวบ้านเรียกว่า "ไข้กาฬหลังแอ่น" (แปลว่า ไข้ออกผื่นร่วมกับหลังแอ่นหรือคอแอ่น) โรคนี้อาจพบระบาดได้

          ในรายที่เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อวัณโรค หรือเชื้อรา มักมีอาการไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนนำมาก่อนประมาณ 2-3 สัปดาห์ ต่อมาจึงมีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง คอแข็ง และอาจมีอาการชักร่วมด้วย มักพบในผู้ที่ป่วยเป็นโรคเอดส์


การแยกโรค

          เนื่องจาก โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการที่คล้ายกับโรคหลายอย่าง จึงต้องมีการวินิจฉัยแยกโรคให้ถูกต้อง โดย

             1.ไข้สมองอักเสบ (encephalitis) ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ซึม หมดสติ บางคนอาจมีอาการชักติด ๆ กันนาน ๆ แต่ไม่มีอาการคอแข็งแบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

             2.มาลาเรียขึ้นสมอง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ซึม หมดสติหรือชักแบบไข้สมองอักเสบ มักมีประวัติเดินทางเข้าไปในเขตป่าเขามาก่อนจะไม่สบาย

             3.บาดทะยัก ผู้ป่วยจะมีบาดแผลตามผิวหนัง (เช่น ตะปูตำ หนามเกี่ยว บาดแผลสกปรก) ต่อมามีไข้ ปากแข็ง (อ้าปากไม่ได้ ทำท่าเหมือนยิ้มแสยะ) ต่อมามีอาการชักกระตุกเป็นพัก ๆ เวลาสัมผัสถูก ได้ยินเสียงดัง ๆ หรือเห็นแสงสว่าง ผู้ป่วยมักมีความรู้สึกตัวดี

             4.โรคพิษสุนัขบ้า ผู้ป่วยมักมีประวัติถูกสุนัข แมว หรือสัตว์ป่ากัดหรือข่วนมาก่อน 1-3 เดือน ต่อมามีอาการไข้ ปวดศีรษะ กลัวลม กลัวน้ำ กระสับกระส่าย ชักเกร็ง ซึม หมดสติ

             5.โรคลมชัก ผู้ป่วยมักมีอาการอยู่ ๆ ชักกระตุก หมดสติ น้ำลายฟูมปาก อาจกัดลิ้นตัวเองเป็นอยู่สักพักหนึ่งก็หยุดชัก แล้วค่อยๆ ฟื้นคืนสติได้เอง มักมีประวัติชักแบบนี้เป็นครั้งคราวเวลาร่างกาย เหนื่อยล้า อดนอน หิวข้าว ถูกแสงสว่าง ได้ยินเสียงดัง ๆ เป็นต้น

             6.ชักจากไข้ พบมากในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ขวบ เด็กจะมีอาการไข้สูงจากโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้หวัด คออักเสบ ปอดอักเสบ เป็นบิด) แล้วมีอาการชักเกร็งของแขนขา ตาค้าง น้ำลายฟูมปาก อาจกัดลิ้นตัวเอง ขณะชักจะไม่ค่อยรู้สึกตัว มักเป็นอยู่เพียงไม่กี่นาที (ส่วนน้อยอาจชักนานเกิน 15 นาที) ก็หยุดชัก แล้วค่อย ๆ ฟื้นคืนสติได้เอง อาจมีประวัติเคยมีอาการชักจากไข้มาก่อน หรืออาจมีพ่อแม่หรือพี่น้องมีประวัติชักจากไข้คล้าย ๆ กัน





การวินิจฉัย

          การวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัด ต้องอาศัยการตรวจพิเศษต่าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเจาะหลัง โดยแพทย์จะใช้เข็มและอุปกรณ์เฉพาะ ทำการเจาะหลัง นำน้ำไขหลังไปตรวจหาเชื้อ และสารเคมี เพื่อแยกแยะสาเหตุ ในกรณีที่สงสัยมีโรคอื่นร่วมด้วย (เช่น เอดส์ วัณโรคปอด) ก็อาจทำการเอกซเรย์ ตรวจเลือดและอื่น ๆ ร่วมด้วย

          การดูแลตนเอง ผู้ป่วยที่มีอาการชักทุกคน ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามี ไข้สูง ซึม หมดสติ คอแข็งร่วมด้วย

          ยกเว้นเด็ก (อายุ 6 เดือน ถึง 5 ขวบ) ที่เคยมีประวัติชักจากไข้มาก่อน และคราวนี้ก็มีอาการชักจากไข้คล้าย ๆ กัน ก่อนพบแพทย์ก็อาจให้การปฐมพยาบาล กินยาลดไข้ และยากันชักตามคำแนะนำของแพทย์


การรักษา

          เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น

             ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จะให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่พบ

             ถ้าเกิดจากเชื้อวัณโรค จะให้ยาฆ่าเชื้อวัณโรค นาน 6-9 เดือน

             ถ้าเกิดจากเชื้อรา จะให้ยาฆ่าเชื้อรา

             ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาจำเพาะ จะให้การรักษาตามอาการ ซึ่งมักจะดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์


ภาวะแทรกซ้อน

          อาจมีผลแทรกซ้อนทางสมองตามมา เช่น แขนขาเป็นอัมพาต หูหนวก ตาเหล่ ปากเบี้ยว โรคลมชัก (ลมบ้าหมู) สมองพิการ ปัญญาอ่อน ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) เป็นต้น


การดำเนินโรค

          ถ้าเป็นไม่รุนแรง และได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม มักจะหายขาดได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน
แต่ถ้าเป็นรุนแรง หรือได้รับการรักษาช้าไป อาจตายหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมองอย่างถาวรได้


การป้องกัน

             1.ป้องกันไม่ให้เป็นวัณโรค โดยการฉีดวัคซีน บีซีจีตั้งแต่แรกเกิด

             2.ป้องกันไม่ให้เป็นโรคพยาธิแองจิโอสตรอง-ไจลัส โดยการไม่กินหอยโข่งดิบ

             3.ถ้าเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือไซนัสอักเสบ ควรรักษาอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้เป็น เรื้อรังจนเชื้อเข้าสมอง

             4.ในกรณีที่เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด ผู้ป่วยไข้กาฬหลังแอ่น ควรป้องกันไม่ให้เป็นโรคโดยการกินยาปฏิชีวนะ ได้แก่ ไรแฟมพิซิน
74  สมาชิก VIP / General Discussion / สามเหลี่ยม(คร่า)ชีวิต เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2011, 03:44:10 PM
สามเหลี่ยม(คร่า)ชีวิต

แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของการเกิดแผ่นดินไหวทำให้เพดานในอาคารถล่ม ความแข็งแรงของเฟอร์นิเจอร์ทำหน้าที่เสมือนคานรองรับแผ่นเพดานที่ร่วงลงมาเกิดเป็นที่ว่างรูปสามเหลี่ยม ช่วยให้ผู้ที่หลบภัยในบริเวณนี้ไม่ได้รับอันตราย
หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเป็นจำนวนหลายครั้งทั่วโลก นับตั้งแต่นิวซีแลนด์ มาญี่ปุ่นจนถึงพม่าเมื่อเร็วๆนี้ ทำให้หลายคนเกิดความหวาดวิตก ผู้มีน้ำใจบางคนช่วยค้นหาข้อมูลวิธีการเอาตัวรอดระหว่างเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว รวบรวมเรียบเรียงเขียนเป็นบทความและบางคนก็ส่งเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์กระจายต่อให้เพื่อนๆดังที่หลายๆคนอาจจะเคยได้อ่านกันมาบ้างแล้ว
บทความหนึ่งที่ถูกฟอร์เวิร์ดเมล์มากที่สุดเห็นจะได้แก่บทความเรื่อง "สามเหลี่ยมชีวิต" (Triangle of Life) เขียนโดย ดัก คอปป์ (Doug Copp) ดังจะเห็นได้ว่าบทความชิ้นนี้มีอยู่ในเว็บไซต์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (http://www.gened.chula.ac.th/cms/index.php?id=196&L=1) และเว็บไซต์ศูนย์กลางความรู้งานตำรวจเพื่อประชาชน (http://copthailand.com/content/view/17/110/) และเว็บไซต์อื่นๆอีกมากมาย ทั้งเว็บไทยและเว็บเทศ

มากประสบการณ์
ดัก คอปป์ อ้างตัวว่าเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยและผู้จัดการฝ่ายวิบัติภัยองค์กรหน่วยกู้ภัยนานาชาติแห่งอเมริกา (American Rescue Team International - ARTI) ซึ่งเป็นหน่วยกู้ภัยที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก ตัวเขาเคยคลานเข้าไปในซากตึกถล่มเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตมากกว่า 875 ครั้ง (นับตั้งแต่ปี 1985 ถึงปี 2004) มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับหน่วยกู้ภัยต่างๆกว่า 60 ประเทศทั่วโลก
ดักได้เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยครั้งแรกในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมืองเม็กซิโกซิตีเมื่อปี 1985 เขาพบว่าเด็กนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งถูกเพดานอาคารทับร่างแหลกเหลวเนื่องจากเด็กๆเหล่านั้นถูกสอนให้หลบอยู่ใต้โต๊ะเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เมื่อตึกถล่มลงเพราะแรงสั่นสะเทือน เพดานจะร่วงลงมาในแนวดิ่ง บดขยี้ข้าวของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จะเว้นช่องว่างข้างๆสิ่งของเหล่านั้น สิ่งของยิ่งใหญ่ก็ยิ่งมีความแข็งแรงและโอกาสที่สิ่งของนั้นจะถูกทำลายเพราะแรงกระแทกก็ยิ่งน้อยลง ผู้ที่หลบอยู่บริเวณนี้จึงปลอดภัย
สิ่งของดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นคานรองรับเพดานที่ถล่มลงมา ทำให้เกิดช่องว่างข้างสิ่งของซึ่งเขาเรียกมันว่า "สามเหลี่ยมชีวิต" ดักกล่าวว่าเด็กๆจะสามารถรอดชีวิตได้อย่างปลอดภัยหากหลบอยู่ข้างๆโต๊ะแทนที่จะหลบอยู่ใต้โต๊ะ
ดักยังอ้างถึงโรเบอร์โต โรซาเรส (Roberto Rosales) ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยทรูจิลโลและเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยสถานีตำรวจดับเพลิงทรูจิลโล โดยกล่าวว่า เมื่อโรเบอร์โตอายุ 11 ขวบ เขาติดอยู่ในซากตึกที่ถล่มลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 1972 คร่าชีวิตผู้คนกว่า 70,000 คน หากแต่โรเบอร์โตสามารถรอดชีวิตมาได้เพราะไปแอบอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์ของพี่ชาย เมื่อเพดานหล่นลงมามันถูกรถมอเตอร์ไซค์ค้ำเอาไว้ทำให้เกิด "สามเหลี่ยมชีวิต" เขาจึงสามารถรอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์
ในขณะเดียวกันเพื่อนๆ ของโรเบอร์โตบางคนไปหลบอยู่ใต้เตียง บางคนไปหลบอยู่ใต้โต๊ะตามที่เคยถูกสอนให้ทำ แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับโดนเพดานอัดทับจนร่างกายแหลกเหลวเสียชีวิตหมดทุกคน

วีรบุรุษ 9/11
เพื่อเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีสามเหลี่ยมชีวิต ดักได้ทำการทดลองในประเทศตุรกีเมื่อปี 1996 โดยนำหุ่น 20 ตัวไปวางไว้ในจุดต่างๆภายในอาคารที่กำลังจะถูกระเบิดทำลาย เพื่อดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับหุ่นเหล่านี้หลังจากที่อาคารถล่มลงมา และผลการทดลองเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าหุ่นหลายตัวที่วางอยู่ข้างสิ่งของขนาดใหญ่ไม่ได้รับความเสียหาย ในขณะที่หุ่นตัวอื่นๆถูกเพดานอาคารทับจนบี้แบน
หุ่นทุกตัวที่อยู่ในตำแหน่ง "หมอบและกำบัง" (Drop And Cover) ถูกเพดานหล่นทับ ในขณะที่หุ่นที่ถูกวางในตำแหน่งสามเหลี่ยมชีวิตไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่ตัวเดียว ผลการทดลองนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าเมื่อเกิดแผ่นดินไหวให้หลบภัยบริเวณสามเหลี่ยมชีวิต อย่าได้หมอบใต้โต๊ะหรือใช้วิธี "หมอบและกำบัง" ตามที่คนทั่วโลกเขาใช้กัน
วันที่ 13 กันยายน 2001 ดักได้เดินทางไปช่วยค้นหาผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์วินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เขาเป็น 1 ในพนักงานกู้ภัยเพียง 4 คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปค้นหาใต้กองซากปรักหักพัง สถานที่ที่สุดแสนอันตรายทั้งความเสี่ยงจากการถล่มลงมาของเศษซากอาคารและการปนเปื้อนไปด้วยสารพิษมากมายหลายชนิด
ดักช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้มากกว่า 40 คน แต่นั่นก็ต้องแลกกับความเจ็บป่วยที่เขาได้รับจากการสัมผัสกับสารพิษเป็นเวลานาน รัฐบาลได้จ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลให้เป็นจำนวนเงิน 649,885 ดอลลาร์ หรือเกือบๆ 20 ล้านบาท แต่ถึงกระนั้นดักก็ยังบอกว่ามันไม่เพียงพอ โดยเขาจะต้องใช้เงินอีกอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ในการรักษาพยาบาลโรคต่างๆ 41 ชนิดที่ได้รับจากการเข้าไปในซากตึกเมื่อคราวนั้น

ช่วยชีวิตหรือคร่าชีวิต
เมื่อเกิดเหตุการณ์ตึกถล่ม สถานที่แรกที่หน่วยกู้ภัยจะเข้าไปค้นหาผู้รอดชีวิตคือบริเวณที่เรียกว่า "ช่องว่างช่วยชีวิต" (Life Safe Void) เป็นช่องว่างท่ามกลางกองซากปรักหักพัง โดยมากจะเกิดจากการที่เพดานตกลงมาบนสิ่งของแล้วเอียงไหลลงด้านข้างเกิดช่องว่างระหว่างสิ่งของและเพดาน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดักเรียกมันว่า "สามเหลี่ยมชีวิต"
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ช่องว่างช่วยชีวิตเกิดขึ้นหลังจากตึกถล่ม ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าตำแหน่งไหนในอาคารจะเกิดช่องว่างช่วยชีวิต แต่ถ้าหากว่ามี มันก็จะเป็นจุดแรกที่หน่วยกู้ภัยจะเข้าไปค้นหา เพราะสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าจุดอื่นๆและโอกาสพบผู้รอดชีวิตมีสูงกว่าตำแหน่งอื่น
ส่วนสามเหลี่ยมชีวิตนั้นเป็นตำแหน่งที่ดักคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าก่อนที่ตึกถล่ม ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าตำแหน่งไหนในอาคารจะเกิดสามเหลี่ยมชีวิต แต่ถ้าหากมีใครหยิบยกการทดลองในตุรกีขึ้นมาเป็นข้อโต้แย้งก็ขอให้รับทราบเสียก่อนว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ใช่การทดลองตามที่ดักกล่าวอ้าง
หน่วยกู้ภัยประเทศตุรกีได้ทำการฝึกซ้อม โดยขออนุญาตเจ้าของตึก นำหุ่น 20 ตัวไปวางที่ตำแหน่งต่างๆภายในอาคาร หลังจากที่ทีมวิศวกรวางระเบิดไว้ตามเสาและทำการระเบิดตึกให้ถล่มลงในแนวดิ่ง หน่วยกู้ภัยตุรกีก็เข้าไปฝึกซ้อมการค้นหาผู้รอดชีวิตโดยมีดักเป็นหนึ่งในหน่วยกู้ภัยที่ขอฝึกร่วมกับหน่วยกู้ภัยตุรกี
ประเด็นก็คือ การระเบิดตึกนั้นเป็นการทำให้อาคารทั้งหลังพังลงในแนวดิ่งในคราวเดียวไม่มีการโยกคลอนของอาคาร แต่การเกิดแผ่นดินไหวนั้นมีการโยกคลอนของอาคารก่อนที่อาคารจะถล่ม ถ้าผู้ประสบภัยพยายามใช้วิธีหลบใน "สามเหลี่ยมชีวิต" เช่น การนั่งพิงกำแพง หรือแอบอยู่ข้างตู้ เมื่ออาคารโยกเอียง พวกเขามีโอกาสที่จะถูกสิ่งของไหลมากระแทกอัดแบนติดกำแพงหรือถูกตู้ล้มลงมาทับ
มาร์ลา เพตอล (Marla Petal) ผู้อำนวยการศูนย์ ให้ความรู้การลดความเสี่ยงจากเหตุพิบัติภัย ประเทศตุรกี พบว่าการเกิดแผ่นดินไหวแต่ละครั้งอาคารที่ถล่มลงในแนวดิ่งมีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หรือจะว่าไปแล้วก็คือถ้าหากใครพยายามใช้สามเหลี่ยมชีวิตหลบภัยขณะเกิดแผ่นดินไหว พวกเขาจะมีโอกาสรอดชีวิตแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นนั่นเอง

ฉีกหน้ากากวีรบุรุษ
ดักเขียนคำแนะนำ 10 ข้อในการปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งถูกผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยกู้ภัยระดับชาติหลายหน่วยงานโต้แย้งว่าการปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเส้นทางพาไปสู่ความหายนะทั้งสิ้น แต่จะไม่ขอนำรายละเอียดมาเล่าให้ฟังเนื่องจากแค่คำแนะนำ 10 ข้อก็มีเนื้อหาที่ยาวสมควร อีกทั้งคำโต้แย้งของผู้เชี่ยวชาญนั้นมีเหตุผลและหลักฐานอ้างอิงยิ่งทำให้เนื้อหายาวมากจนเนื้อที่ของคอลัมน์ไม่พอจะลง แต่ถ้าใครอยากค้นคว้าเพิ่มเติมก็แนะนำให้ดาวน์โหลดบทความของมาร์ลา เพตอล ได้ที่ http://www.cert-la.com/RejoinderToDougCopp.pdf
ปี 2004 หนังสือพิมพ์ Albuquerque Journal ขุดคุ้ยวีรกรรมของดักจากเหตุการณ์ 9/11 และพบสิ่งไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่การที่ดักอ้างว่าได้บินจากรัฐนิวเม็กซิโกมาช่วยค้นหาผู้รอดชีวิตในรัฐนิวยอร์กนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะในช่วงเวลานั้นรัฐบาลสั่งห้ามเครื่องบินพลเรือนขึ้นบินเพราะเกรงว่าจะมีการก่อวินาศกรรมด้วยเครื่องบินซ้ำรอย แต่ดักจะเดินทางมานิวยอร์กด้วยวิธีไหนและทำไมเขาถึงต้องแอบอ้างว่าเดินทางมาโดยเครื่องบินนั้นไม่ทราบได้
จอห์น นอร์แมน (John Norman) หัวหน้าหน่วยดับเพลิงนิวยอร์ก ซึ่งรับหน้าที่หัวหน้าทีมกู้ภัยในวันเกิดเหตุ ปฏิเสธว่าอนุญาตให้ดักเข้าไปค้นหาผู้รอดชีวิตในซากปรักหักพัง และถ้าเขารู้ว่าดักเข้าไปใกล้ซากตึกในตอนนั้นเขาจะจับโยนออกมาโดยทันที
เชส ซาร์เจนต์ (Chase Sargent) ผู้บังคับการกองพันกู้ภัยของหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินกลาง FEMA ยืนยันว่าเขาได้พาตัวดักออกจากที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง เพราะไม่ต้องการให้ผู้ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ที่เกิดเหตุ สิ่งที่ดักใช้เป็นหลักฐานว่าเขาเข้าไปช่วยค้นหาผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 คือภาพถ่ายบริเวณสถานที่เกิดเหตุและเรื่องบอกเล่าของเขาเอง ทอม ยูดัลล์ (Tom Udall) วุฒิสมาชิกรัฐนิวเม็กซิโก กำลังดำเนินเรื่องให้มีการสืบสวน ดัก คอปป์ หากเรื่องราวนี้มีมูลความจริง ดักจะถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อฉล
สภากาชาดอเมริกัน และองค์กรกู้ภัยสากลหลายหน่วยงานทั่วโลกออกแถลงการณ์โต้แย้ง "สามเหลี่ยมชีวิต" และแนะนำให้ผู้ประสบภัยป้องกันตัวขณะเกิดแผ่นดินไหวด้วยการหมอบ-กำบัง-รอจนกว่าเหตุการณ์สงบ (Drop-Cover-Hold On) ซึ่งเป็นที่แปลกใจว่าไม่มีใครพูดถึงคำแนะนำของหน่วยงานสากลเหล่านี้ แต่กลับไปเชื่อเรื่อง "สามเหลี่ยม(คร่า)ชีวิต" กันเป็นตุเป็นตะ

ที่มา "การศึกษาวันนี้"
75  สมาชิก VIP / General Discussion / 10 วิธีจัดการกับความอยากซื้อ เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2011, 10:14:18 AM
10 วิธีจัดการกับความอยากซื้อ

ในแต่ละเดือน เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องมีการวางแผนค่าใช้จ่ายไว้เป็นสัดส่วน ขณะเดียวกันก็มีรายจ่ายที่ต้องใช้ไปอยู่ไม่น้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ไม่พ้นการจับจ่ายซื้อของส่วนตัวเข้าบ้านอย่างแน่นอน และค่าใช้จ่ายส่วนนี้ล่ะค่ะ ที่ใคร ๆ มักจะโอดครวญว่าตัวเองมักจะใช้เกินอยู่บ่อย ๆ แถมห้ามใจไม่ซื้อไม่ค่อยได้ด้วยสิ วันนี้กระปุกดอทคอม ก็เลยมี 10 วิธีดี ๆ ที่จะช่วยจัดการกับความอยากซื้อของคุณ ๆ มาฝากกัน เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องมากุมขมับนั่งเสียดายเงินอีกต่อไป ซึ่งจะทำได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

 1. จดรายชื่อของใช้จำเป็นที่ต้องซื้อ และมุ่งตรงไปยังโซนของใช้ชิ้นนั้น หลีกเลี่ยงการเดินดูของอย่างอื่นโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้เกิดกิเลสเอาได้ง่าย ๆ สุดท้าย ข้าวของที่ไม่จำเป็นก็จะบานตะไทอยู่ในรถเข็น แถมยังมีจำนวนมากชิ้นกว่าข้าวของที่จำเป็นเสียอีก

 2. พกแต่เงินสดไปช้อปปิ้ง อย่าพกบัตรเครดิตไปด้วยเด็ดขาด เพราะจะทำให้คุณต้องรูดปรื๊ด รูดปรี๊ด จนสุดท้าย ข้าวของที่ใช้จ่ายมาก็เกินความจำเป็นอีกนั่นแหละ

 3. หลีกเลี่ยงการใช้รถเข็น แล้วหันมาใช้ตะกร้าในการจับจ่าย หากคุณต้องซื้อเพียงของเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ใช้ตะกร้าดีกว่าเยอะค่ะ เพราะมันสามารถจำกัดปริมาณสินค้าที่คุณต้องซื้อโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าหากคุณรู้สึกว่าข้าวของเริ่มจะเยอะ พะรุงพะรังแล้ว บางครั้งอาจจะเกิดการตัดสินใจตัดข้าวของที่ไม่จำเป็นออกก็เป็นได้ ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว

 4. หากต้องการซื้อสินค้าชิ้นอื่นนอกเหนือจากในรายชื่อของที่จะซื้อ ให้ถามตัวเองดูดี ๆ ว่า สินค้าชิ้นนั้นจำเป็นสำหรับคุณจริง ๆ หรือไม่ และชิ้นเดิมใช้คุ้มหรือใช้หมดหรือยัง หากยัง ก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบเร่งไม่ใช่หรือ? เชื่อเถอะว่า หากรีบซื้อไปตอนนี้ รับรองว่าคุณต้องเห่อของใหม่ แล้วทิ้งขว้างของเดิมที่ยังใช้ไม่คุ้มและไม่หมดอย่างแน่นอน

 5. พยายามอย่าช้อปปิ้งเวลาที่โกรธหรือรู้สึกเครียด ปฏิเสธไม่ได้ว่า การชอปปิ้งทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกมีความสุข อารมณ์ดีขึ้น แต่มันไม่ดีแน่หากคุณจะใช้การช้อปปิ้งเป็นวิธีคลายเครียด เพราะแม้ว่ามันจะทำให้รู้สึกดีก็จริง แต่อารมณ์โกรธหรือเครียดบางทีก็ทำให้เราขาดสติในการจับจ่ายไปนิด จนสุดท้ายคุณก็ต้องมากุมขมับนั่งเสียดายเงินที่สูญเสียไปทีหลังเอาได้ง่าย ๆ นะเออ

 6. ยกเลิกการส่งแคทตาล็อกทางอีเมล หรือจดหมาย หรือใช้วิธีละเลยอีเมล์หรือเอกสารเสนอโปรโมชั่นสินค้าไปเลยก็ได้ เพราะมันจะเพิ่มพูนความอยากของคุณให้มากขึ้น ด้วยราคาที่คุ้มค่า และแบบที่หลากหลาย เรียกว่าล่อตาล่อใจได้ไม่น้อย ดังนั้น หากไม่อยากจะใช้จ่ายเกินจำนวนเงินที่ตั้งไว้ ยกเลิกหรือทำเป็นไม่สนใจก็จะช่วยได้มากเหมือนกันค่ะ

 7. อย่าชวนเพื่อนขาช้อปไปช้อปปิ้ง แต่กลับกัน ควรชวนเพื่อนที่ไม่ชอบช้อปปิ้งไปด้วยดีกว่า เพราะจะไม่ทำให้เกิดการสนับสนุนซื้อนู่นซื้อนี่โดยไม่จำเป็น และคุณก็มักจะได้แต่ของที่คุณต้องการไปซื้อตั้งแต่แรก ไม่มีตกหล่น แต่ก็จะไม่มีเพิ่มพูนไปมากมายเหมือนตอนไปกับเพื่อนขาช้อปของคุณแน่นอน

 8. จำกัดค่าใช้จ่ายในการช้อป คำนวณให้พอกับมูลค่าของใช้ที่จะใช้จ่าย แล้วเผื่อเหลือเผื่อเกินไว้เล็กน้อย จำนวนเงินที่จำกัดนี่แหละค่ะ จะช่วยให้คุณไม่กล้าใช้จ่ายเกินจำนวนที่ตั้งไว้อย่างได้ผลเลยล่ะ

 9. ของที่ไม่จำเป็น แต่อยากได้ เก็บไว้ซื้อคราวหน้าดีกว่า เชื่อหรือไม่ว่า สำหรับของบางชิ้น เราอาจจะอยากครอบครองมันเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ซื้อกลับบ้านไปแล้วพบว่า มันไม่ได้จำเป็น แต่คุณอยากจะได้มันมาไว้ในครอบครองเฉย ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น หากเมื่อไหร่ที่คุณเกิดความรู้สึกว่าอยากได้ ทั้งที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ขึ้นมาล่ะก็ อดใจไว้ก่อนค่ะ ไว้มีเงินเหลือค่อยมาซื้อดีกว่า

 10. อย่าไปเดินห้างทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องซื้ออะไร อาการนี้เกิดกับผู้หญิงหลาย ๆ คนเลยล่ะ ไม่ว่าจะมาจากอารมณ์เบื่อ อยากออกจากบ้าน หรือมีเวลาว่างมากมายก็ตาม ให้กิจกรรมอย่างอื่นมาฉวยโอกาสนี้กับคุณดีกว่า อย่าเดินดุ่ย ๆ ไปฉวยรถเข็นเดินเข้าห้างสรรพสินค้า แล้วเดินมองซ้ายขวาหาของใช้ที่จะมาเติมเต็มรถเข็นอันว่างเปล่าของคุณเลย เพราะมันจะทำให้คุณอยู่ในสภาวะ "จำเป็นต้องซื้อเพราะเดินเข้าห้างมาแล้ว" มากกว่า "จำเป็นต้องซื้อเพราะต้องเอาไปใช้จริง ๆ " นั่นเอง

           และ 10 วิธีข้างต้นนี้ ก็เป็นวิธีที่จะช่วยคุณ ๆ จัดการกับความอยากซื้อโดยไม่จำเป็นอย่างได้ผล ซึ่งหากใครทำได้อย่างที่บอกมาล่ะก็ รับรองค่ะว่า คุณจะไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นอีกต่อไปอย่างแน่นอน
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 16

Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!