TARADTHONG.COM
เมษายน 20, 2024, 12:54:44 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10
46  สมาชิก VIP / General Discussion / เรื่องย่ออุ้ยเสี่ยวป้อเทพบุตรเจ้าสำราญ เมื่อ: มีนาคม 28, 2011, 01:10:27 PM
 เรื่องย่ออุ้ยเสี่ยวป้อเทพบุตรเจ้าสำราญ

          อุ้ยเสี่ยวป้อลูกชายหญิงคณิกาเมืองหยางโจวนับตั้งแต่เล็ก ได้ดูได้ฟังงิ้วมาโดยตลอดจึงทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาบรรดาวีรบุรุษซึ่งเป็นตัวละครในงิ้ว อุ้ยเสี่ยวป้อปฏิญาณว่าสักวันหนึ่งตนจะต้องเป็นวีรบุรุษเลื่องชื่อให้ได้ วันหนึ่ง อุ้ยเสี่ยวป้อได้ช่วยชีวิตเหมาสือปาชาวยุทธซึ่งกำลังมีภัยเอาไว้ด้วยความกล้าหาญ เหมาสือปาซาบซึ้งน้ำใจที่อุ้ยเสี่ยวป้อช่วยชีวิตตนเอาไว้ ด้วยความที่เหมาสือปาทนคำรบเร้าของอุ้ยเสี่ยวป้อไม่ไหวจึงต้องพาอุ้ยเสี่ยวป้อเดินทางไปปักกิ่ง

          เมื่อถึงเมืองหลวง อุ้ยเสี่ยวป้อถูกขันทีเฒ่าและขันทีหนุ่มผู้ติดตามนำตัวเข้าวังหลวง อุ้ยเสี่ยวป้อใช้อุบายทำให้ไห่ต้าฟู่ขันทีเฒ่าตาบอด ทั้งยังเป็นเหตุให้เสี่ยวกุ้ยจื่อขันทีหนุ่มซึ่งติดตามไห่ต้าฟู่เสียชีวิตไปอีกด้วย นับแต่นั้นเป็นต้นมา อุ้ยเสี่ยวป้อจึงต้องสวมรอยเป็นขันทีเสี่ยวกุ้ยจื่อใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง

          วันหนึ่ง ขณะที่อุ้ยเสี่ยวป้อกลับจากเล่นพนันก็พบเห็นชายหนุ่มซึ่งเรียกตัวว่าเสี่ยวเสียนจื่อกำลังฝึกวรยุทธอยู่ อุ้ยเสี่ยวป้อนึกสนุกจึงเป็นคู่ซ้อมให้เสี่ยวเสียนจื่อ ที่แท้ชายหนุ่มที่ว่านี้คือคังซีฮ่องเต้ (เสียนเย่) นั่นเอง อ้าวไป้ขุนนางใหญ่ที่ทะนงตนว่าวรยุทธลึกล้ำไร้ผู้เทียมทาน มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมือง แต่ความจริงแล้วเป็นขุนนางชั่วที่ถืออำนาจบาตรใหญ่ ไม่ยำเกรงเบื้องสูง ด้วยเหตุนี้คังซีฮ่องเต้จึงคิดหาทางกำจัดอ้าวไป้ให้พ้นทาง

          คังซีฮ่องเต้ทรงวางแผนโดยมีรับสั่งให้อุ้ยเสี่ยวป้อนำขันทีจำนวนหนึ่งเล่นงิ้วหาทางกำจัดอ้าวไป้ อุ้ยเสี่ยวป้อใช้ปฏิภาณไหวพริบสังหารอ้าวไป้ขุนนางชั่ว คุณงามความดีครั้งนี้ทำให้อุ้ยเสี่ยวป้อกลายเป็นคนโปรดของคังซีฮ่องเต้ และในเวลาเดียวกันอุ้ยเสี่ยวป้อก็ได้กลายเป็นที่หมายปองของพี่น้องพรรคฟ้าดินซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ต้านชิงกู้หมิง

          ภายในวันเดียวกันนั้นเอง อุ้ยเสี่ยวป้อเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีไม่เพียงได้เป็นศิษย์ของเฉินจิ้นหนันหัวหน้าพรรคฟ้าดิน ทั้งยังได้เป็นหัวหน้าป้อมชิงมู่ของพรรคฟ้าดินอีกด้วย อุ้ยเสี่ยวป้อได้รับคำสั่งจากเฉินจิ้นหนันให้เดินทางกลับวังหลวงเพื่อเป็นสายให้พรรคฟ้าดิน

          วันหนึ่ง อุ้ยเสี่ยวป้อได้รู้ถึงความลับที่ไทเฮาทรงสมคบคิดกับพรรคมังกรเทพ นอกจากนี้ยังรู้จากไทเฮาว่าซุ่นจื้อพระราชบิดาของคังซีฮ่องเต้ทรงผนวชประทับอยู่ที่วัดที่อู่ไถซันอีกด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ไทเฮาทรงปองร้ายเสี่ยวเสียนจื่อ อุ้ยเสี่ยวป้อจึงตัดสินใจนำเรื่องที่ตนรับรู้มารวมถึงเรื่องที่ตนสวมรอยเป็นเสี่ยวกุ้ยจื่อทูลต่อคังซีฮ่องเต้ คังซีฮ่องเต้ทรงตกพระทัยและปิติยินดีที่พระราชบิดายังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่คังซีฮ่องเต้ทรงรู้ความจริงแล้วก็ทรงมีพระบัญชาให้อุ้ยเสี่ยวป้อเดินทางไปอู่ไถซันทันที

          อุ้ยเสี่ยวป้อต้องพบอุปสรรคมากมายจนกระทั่งได้พบกับซุ่นจื้ออดีตฮ่องเต้ที่วัดชิงเหลียงบนเขาอู่ไถซัน ระหว่างทางที่อุ้ยเสี่ยวป้อเดินทางกลับวังหลวงได้ถูกศิษย์สำนักมังกรเทพลักพาตัวไปที่เกาะงู ระหว่างที่อุ้ยเสี่ยวป้ออยู่บนเกาะงูนั้นได้ใช้อุบายจนเป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจของหงอันทงหัวหน้าพรรคมังกรเทพจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตมังกรขาว

          หลังจากที่อุ้ยเสี่ยวป้อเดินทางถึงปักกิ่งก็ทูลรายงานคังซีฮ่องเต้ถึงเรื่องซุ่นจื้อ เดิมทีอุ้ยเสี่ยวป้อคิดว่าจะได้รับการตบรางวัลอย่างงามจากคังซีฮ่องเต้ แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากที่คังซีฮ่องเต้ทรงตบรางวัลอย่างงามให้อุ้ยเสี่ยวป้อแล้ว พระองค์ก็ทรงมีพระบัญชาให้อุ้ยเสี่ยวป้อไปบวชเป็นหลวงจีนที่วัดเส้าหลิน อุ้ยเสี่ยวป้อได้กลายเป็นศิษย์ของหลวงจีนฮุ่ยหมิงศิษย์รุ่นเดียวกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน

          หลวงจีนฮุ่ยหมิงเป็นหลวงจีนที่ไม่ยึดถือปฏิบัติตามวินัย ไม่ว่าจะดื่มเหล้า กินเนื้อสัตว์ เที่ยวหอนางโลม ทำลายชื่อเสียงเกียรติภูมินับพันปีของวัดเส้าหลิน เป็นที่เอือมระอาของบรรดาหลวงจีนด้วยกัน ผิงซีอ๋องอู๋ซันกุ้ยตั้งตัวเป็นใหญ่ที่ยูนาน คังซีอ่องเต้ทรงเห็นว่าถ้าหากปล่อยไว้จะเป็นภัยในภายภาคหน้า พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริที่จะสลายอิทธิพลของอู๋ซันกุ้ย ก่อนที่จะยกทัพไปปราบอู๋ซันกุ้ย เพื่อให้อู๋ซันกุ้ยชะล่าใจ คังซีฮ่องเต้จึงทรงตัดสินพระทัยยกองค์หญิงเจี้ยนหนิงให้อภิเษกสมรสกับอู๋อิงไท่บุตรชายอู๋ซันกุ้ย

          บังเอิญพ้นกำหนดถือบวชของอุ้ยเสี่ยวป้อพอดี คังซีฮ่องเต้จึงทรงมีรับสั่งให้อุ้ยเสี่ยวป้อเป็นทูตถือสาส์นอภิเษกสมรส อุ้ยเสี่ยวป้อนำพาทหารองครักษ์ถวายอารักขาองค์หญิงเจี้ยนหนิงเดินทางไปยูนาน เดิมทีทั้งอุ้ยเสี่ยวป้อและองค์หญิงเจี้ยนหนิงนั้นรู้จักกันมาก่อน

          เมื่อต้องเดินทางรอนแรมเป็นเวลานานจึงทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้นจนรักกันในที่สุด ก่อนที่จะเดินทางถึงยูนานทั้งสองก็ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ทำให้ทูตถือสาส์นอภิเษกสมรสต้องกลายเป็นราชบุตรเขย ที่เมืองคุนหมิง องค์หญิงเจี้ยนหนิงซึ่งกำลังทรงดื่มด่ำอยู่กับความรักนั้นไม่เพียงทรงปฏิเสธที่จะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับอู๋อิงไท่ ทั้งยังทำลายความเป็นชายของอู๋อิงไท่ลงอีกด้วย

          อุ้ยเสี่ยวป้อเห็นว่าเรื่องราวใหญ่โตบานปลายไปกันใหญ่แล้วจึงตัดสินใจพาอู๋อิงไท่และองค์หญิงเจี้ยนหนิงกลับเมืองหลวง ต่อมา อุ้ยเสี่ยวป้อได้รับพระบัญชาให้นำทัพปราบอู๋ซันกุ้ยที่สมคบคิดการใหญ่กับพรรคมังกรเทพ อุ้ยเสี่ยวป้อนำทัพบุกเหลียวตง แต่ยังไม่ทันเดินทางถึงเกาะงู แม่ทัพใหญ่ก็ถูกหงอันทงจับเป็นเชลย อุ้ยเสี่ยวป้อซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงต้องแสดงละครตบตาหลอกลวงหงอันทง จนในที่สุดอุ้ยเสี่ยวป้อก็สามารถหลบหนีออกจากพรรคมังกรเทพได้อย่างปลอดภัย หงอันทงโกรธมากเมื่อพบว่าหลงกลอุ้ยเสี่ยวป้อเข้าแล้ว ดังนั้นจึงมีคำสั่งให้ตามล่าปลิดชีวิตอุ้ยเสี่ยวป้อให้ได้

     อุ้ยเสี่ยวป้อเข้าตาจนจึงต้องเดินทางขึ้นเหนือจนถึงเขาลู่ติ่งซัน นึกไม่ถึงว่าอุ้ยเสี่ยวป้อพลัดหลงเข้าไปในค่ายทหารของรัสเซีย ด้วยความที่อุ้ยเสี่ยวป้อเกรงว่าจะถูกพรรคมังกรเทพเล่นงาน อุ้ยเสี่ยวป้อไม่มีทางเลือกจึงจำต้องหลอกลวงองค์หญิงโซเฟียแห่งรัสเซีย องค์หญิงโซเฟียทรงรีบเร่งเดินทางกลับรัสเซียเพื่อเยี่ยมพระอาการประชวรของพระเจ้าซาร์ นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางองค์หญิงโซเฟียมีภัย อุ้ยเสี่ยวป้อไม่เพียงช่วยชีวิตองค์หญิงโซเฟียไว้ ทั้งยังทำให้องค์หญิงโซเฟียได้ขึ้นครองราชย์เป็นราชินีแห่งรัสเซียอีกด้วย

          อุ้ยเสี่ยวป้อตามเสด็จองค์หญิงโซเฟียกลับรัสเซีย เนื่องจากอุ้ยเสี่ยวป้อมีความดีความชอบ องค์หญิงโซเฟียจึงทรงแต่งตั้งอุ้ยเสี่ยวป้อเป็นขุนนางใหญ่ อุ้ยเสี่ยวป้อคิดถึงบ้านเกิด ดังนั้นจึงอ้างว่าจะนำราชทูตรัสเซียเดินทางไปปักกิ่งเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับแผ่นดินต้าชิง ต้าชิงและรัสเซียทำสัญญาหย่าศึกกัน เนื่องจากอุ้ยเสี่ยวป้อทำคุณงามความดีต่อชาติบ้านเมือง คังซีฮ่องเต้จึงทรงสถาปนาอุ้ยเสี่ยวป้อเป็นอ๋อง

          อู๋ซันกุ้ยวางแผนโค่นบัลลังก์ เพื่อให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง ผูกใจประชาเป็นหนึ่งเดียวกัน คังซีฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาให้อุ้ยเสี่ยวป้อเป็นผู้แทนพระองค์เยี่ยมเยียนผูกใจประชา อุ้ยเสี่ยวป้อกลับบ้านเกิดในฐานะขุนนางใหญ่ หลังจากที่อุ้ยเสี่ยวป้ออ่านราชโองการของคังซีฮ่องเต้แล้ว อุ้ยเสี่ยวป้อก็ลอบไปหาแม่ที่ลี่ชุนย่วน นึกไม่ถึงว่าเมื่อถึงลี่ชุนย่วน อุ้ยเสี่ยวป้อกลับต้องตกอยู่ในวงล้อมชาวยุทธ อุ้ยเสี่ยวป้อเห็นเช่นนั้นจึงวางยาสลบชาวยุทธจนรักษาชีวิตไว้ได้ นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้อุ้ยเสี่ยวป้อได้หญิงงามถึงหกคนมาเป็นภรรยาในคราวเดียวกัน

          ขณะที่อุ้ยเสี่ยวป้อกำลังมีความสุขอยู่กับบรรดาฮูหยินของตนอยู่นั่นเอง อู๋ซันกุ้ยได้ก่อการกบฏขึ้นที่ยูนาน ทำให้อุ้ยเสี่ยวป้อจึงจำต้องเดินทางกลับเมืองหลวงทันที หมัดเทวดากุยซันซู่สองสามีภรรยาพลั้งมือฆ่าอู๋ลิ่วชีถึงแก่ความตาย เรื่องนี้ทำให้คนทั้งสองรู้สึกผิดจึงตัดสินใจร่วมมือกับพรรคฟ้าดินลอบเข้าวังหลวงเพื่อปลงพระชนม์คังซีฮ่องเต้ อุ้ยเสี่ยวป้อไม่สามารถนิ่งดูดายได้เมื่อเห็นเสี่ยวเสียนจื่อ (คังซีฮ่องเต้) มีภัย ดังนั้นจึงวางแผนช่วยคังซีฮ่องเต้ ทำให้แผนการลอบปลงพระชนม์คังซีฮ่องเต้ของกุยซินซู่ล้มเหลว

          กุยซินซู่เคียดแค้นจึงเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของอุ้ยเสี่ยวป้อที่เป็นคนของพรรคฟ้าดินออกมา เมื่อคังซีฮ่องเต้ทรงรู้ความจริงเช่นนั้นแล้วก็ทรงมีรับสั่งให้นำกำลังทหารกวาดล้างพรรคฟ้าดิน คังซีฮ่องเต้ทรงให้โอกาสอุ้ยเสี่ยวป้อทำคุณไถ่โทษโดยการจับกุมตัวหัวหน้าพรรคฟ้าดินกลับมา อุ้ยเสี่ยวป้อไม่อยากให้ร้ายเฉินจิ้นหนันผู้เป็นอาจารย์และพี่น้องพรรคฟ้าดิน ดังนั้นจึงตัดสินใจช่วยคนเหล่านั้นเอาไว้ จากนั้นอุ้ยเสี่ยวป้อก็ตัดสินใจหลบหนีไปจากเมืองหลวง ก่อนที่จะหลบหนีไปนั้น อุ้ยเสี่ยวป้อได้ชักชวนองค์หญิงเจี้ยนหนิงไปด้วยกัน

          อุ้ยเสี่ยวป้อพาองค์หญิงเจี้ยนหนิงและบรรดาฮูหยินรวมเจ็ดคนหลบหนีไปตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เกาะทงชือซึ่งไม่ไกลจากเกาะงูสักเท่าใดนัก เวลาผ่านไปหลายปี คังซีฮ่องเต้ทรงเห็นแก่มิตรภาพที่พระองค์และอุ้ยเสี่ยวป้อมีต่อกัน พระองค์ไม่เพียงไม่ทรงส่งทหารตามล่าเอาชีวิตอุ้ยเสี่ยวป้อ ในทางกลับกันพระองค์กลับทรงส่งทหารอารักขาอุ้ยเสี่ยวป้ออีกด้วย

          โซเวียตคิดยึดครองดินแดนตะวันออกซึ่งเป็นไปตามที่คังซีฮ่องเต้ทรงคาดการ หลังจากที่คังซีฮ่องเต้ทรงปราบหัวเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ได้แล้ว พระองค์ก็ทรงยึดไต้หวันเป็นฐานกำลังเพื่อรับมือกับโซเวียต เนื่องจากอุ้ยเสี่ยวป้อเคยเดินทางไปมอสโกมาก่อน ที่สำคัญมีความสัมพันธ์อันดีต่อราชินีโซเวียต เมื่อเป็นเช่นนี้ คังซีฮ่องเต้จึงทรงมีรับสั่งให้อุ้ยเสี่ยวป้อกลับเมืองหลวงทันที คังซีฮ่องเต้ทรงสถาปนาอุ้ยเสี่ยวป้อเป็นลู่ติ่งตงโดยให้นำกองทัพรับมือโซเวียต อุ้ยเสี่ยวป้อเห็นเสี่ยวเสียนจื่อ (คังซีฮ่องเต้) ไม่ได้นำพรรคฟ้าดินขึ้นมาเป็นเงื่อนไข ดังนั้นจึงรับคำสั่งด้วยดี

          อุ้ยเสี่ยวป้อปฏิบัติตามแผนการของคังซีฮ่องเต้โดยการนำกองทัพบุกตีไปข้างหน้าจนได้รับชัยชนะ จากนั้นก็ทำสัญญาสงบศึกกับโซเวียต ทำให้อุ้ยเสี่ยวป้อประสบความสำเร็จทั้งการทหารและการทูต อุ้ยเสี่ยวป้อเดินทางกลับด้วยการสร้างเกียติภูมิยิ่งใหญ่ให้ชาติบ้านเมือง แต่ไม่นานนักก็มีมรสุมเข้ามา คังซีฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้อุ้ยเสี่ยวป้อกวาดล้างพรรคฟ้าดิน แต่พี่น้องพรรคฟ้าดินกลับต้องการให้อุ้ยเสี่ยวป้อเป็นหัวหน้าพรรคฟ้าดินเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของเฉินจิ้นหนันต่อไป ทั้งสองเรื่องสร้างความลำบากใจ ยากนักที่จะตัดสินใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีหนทางเดียวเท่านั้นคือหลบหนี

          อุ้ยเสี่ยวป้อทูลคังซีฮ่องเต้ว่าจะกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านเกิด แต่ความจริงแล้วกลับพาฮูหยินทั้งเจ็ดเดินทางไปรับแม่หลบหนีไปด้วยกัน อุ้ยเสี่ยวป้อปกปิดชื่อแซ่ หาที่สงบเงียบใช้ชีวิตฮูหยินทั้งเจ็ด คังซีฮ่องเต้ทรงพบว่านานมากแล้ว แต่อุ้ยเสี่ยวป้อก็ไม่กลับมาเสียที พระองค์ไม่เพียงทรงมีรับสั่งให้ทหารออกค้นหา ทั้งยังเสด็จลงใต้ด้วยพระองค์เองอีกด้วย แต่ก็ไม่มีข่าวคราวอุ้ยเสี่ยวป้อแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่มีคนชื่ออุ้ยเสี่ยวป้ออยู่ในโลก ......
47  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ชาติพันธมิตร ทิ้งตูม! ถล่มศูนย์บัญชาการกัดดาฟีแล้ว เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 01:51:40 PM
ชาติพันธมิตร ทิ้งตูม! ถล่มศูนย์บัญชาการกัดดาฟีแล้ว


ชาติพันธมิตร ถล่ม  ศูนย์บัญชาการกัดดาฟีแล้ว  ทางด้านโฆษกรัฐบาลลิเบีย ติ ชาติพันธมิตร ทำป่าเถื่อนเกินเหตุ เพราะจุดโจมตีใกล้บ้านเรือนประชาชน พร้อมพาสื่อมวลชน เดินทางไปดูเศษซากขีปนาวุธ และอาคารที่โดนถล่ม

           นาย มุสซา ยังได้เปิดเผยว่า การกระทำของชาติพันธมิตร เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน เพราะการยิงขีปนาวุธครั้งนี้อาจจะไปถูกชาวบ้านพลเรือนหลายร้อยคน ซึ่งบ้านเรือนของประชาชนห่างจุดที่ถูกโจมตี ที่เป็นที่พัก มูอัมมาร์ กัดดาฟี เพียงแค่ 400 เมตร เท่านั้น แต่พวกเขากลับพูดว่า  ต้องการปกป้องประชาชน แต่กลับโจมตีที่พักอาศัย ที่พวกเขารู้ดีว่ามีพลเรือนอยู่ภายใน

           พร้อมกันนี้ยังได้เปิดเผยว่า การโจมตีในคืนวันอาทิตย์ เกิดขึ้นบริเวณบ้านพักของ กัดดาฟี รวมทั้ง ค่ายทหารหลายแห่ง และมีการยิงตอบโต้จากปืนต่อต้านอากาศยานหลายนัด หลังจากที่ กองกำลังชาติพันธมิตร ใช้กำลังโจมตีลิเบีย ตามมติของ คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ปี 1973

            ขณะที่ กองทัพลิเบียได้ขอเจรจาหยุดยิงแล้ว หลังโดนกองกำลังนานาชาติประกอบด้วย สหรัฐ อังกฤษ อิตาลี และแคนาดา ถล่มอย่างหนัก ความเคลื่อนไหวสถานการณ์ในประเทศลิเบีย ภายหลังกองกำลังนานาชาติ เปิดฉากถล่มอย่างหนัก ที่เมืองเบงกาซี ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า กองทัพลิเบียได้ขอเจรจาหยุดยิงแล้ว เนื่องจากได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตีอย่างหนัก
       
         อย่างไรก็ตาม วินซ์ ครอว์ลีย์ โฆษกศูนย์บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ประจำภูมิภาคแอฟริกากล่าวว่า จากการประกาศขอยุติการหยุดยิงนั้น สหรัฐฯ ขอให้รัฐบาลลิเบียทำทุกอย่าง เพื่อแสดงความจริงใจต่อคำขอดังกล่าวด้วย

         โดยการโจมตีของฝ่ายชาติพันธมิตร เมื่อเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อเวลา 05.30 น. วานนี้ (20 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่น โดยเปิดฉากจากการปฏิบัติการทางอากาศของฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐฯ พร้อมกับมีการยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ก จากเรือรบของอังกฤษ และเรือดำน้ำของสหรัฐฯ ที่จอดทอดสมออยู่นอกชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าไปด้วย

         ขณะที่ นายโรเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนซ้ำว่า ปฏิบัติการจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการพุ่งเป้าโจมตี ไปที่ตัวของ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำประเทศโดยตรง สหรัฐฯ จะโอนการควบคุมปฏิบัติการทางทหารให้องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ในเร็ว ๆ นี้

 



[20 มีนาคม] ชาติตะวันตกเปิดฉากโจมตี ลิเบีย แล้ว

          วันนี้ (20) สถานการณ์การดำเนินการทางทหารในลิเบียของชาติตะวันตก ล่าสุดเครื่องบินฝรั่งเศสทำการยิงทำลายรถถัง ของกองกำลังลิเบียแล้ว 4 คัน ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเบงกาซี ขณะที่กลาโหมสหรัฐอเมริกา ระบุเตรียมยิง "ขีปนาวุธครูซ" จากเรือรบ ที่ประจำการในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเล็งเป้าไปที่ฐานต่อต้านอากาศยานของกองกำลังกัดดาฟี

          อย่างไรก็ดี ยังมีหลายชาติที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของชาติตะวันตก ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารกับลิเบียในครั้งนี้ โดยเฉพาะรัสเซีย ขณะที่กาชาดสากลเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในลิเบีย อย่าทำการการสกัดกั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาล เพื่อให้เข้าดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

          ทั้งนี้ ประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี ผู้นำฝรั่งเศส กล่าวว่า การประชุมฉุกเฉินที่กรุงปารีสเมื่อที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา กับผู้เข้าร่วมประชุมระดับผู้นำประเทศ และเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมทั้งเลขาธิการสันนิบาตอาหรับ มีมติตกลงที่จะใช้มาตราการที่จำเป็น เพื่อให้ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย เคารพมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่เรียกร้องให้หยุดยิง

          ด้านสำนักข่าว อัลจาซีร่า รายงานว่า ฝรั่งเศสเตรียมส่งเครื่องบินรบ"ชาร์ลส์ เดอ โกลล์" เข้าไปยังลิเบียวันนี้ (20 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าเวลาในประเทศไทยประมาณ 5 ชั่วโมง เพื่อป้องกันกองกำลังกัดดาฟีมิให้โจมตีกลุ่มต่อต้าน เช่นเดียวกับกลาโหมสหรัฐฯ ที่เตรียมเรือดำน้ำ 3 ลำเข้าประจำการที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อเตรียมพร้อมในการจัดการกับลิเบีย

          ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐอเมริกา หรือ เพนตากอน เปิดเผยว่า ได้ยิงขีปนาวุธจากเรือรบของสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และชาติพันธมิตรอื่น ๆ ใส่เป้าหมายในลิเบีย แล้ว 112 ลูก

          ขณะที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวที่ประเทศบราซิล ระหว่างภารกิจเยือนลาตินอเมริกา ว่า การปฏิบัติการทางการทหารไม่ใช่ตัวเลือกแรก และไม่ได้เป็นความต้องการของสหรัฐฯ และ ชาติพันธมิตร ที่จะกระทำต่อลิเบีย แต่ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ ในขณะที่ผู้นำประเทศบอกกับประชาชนของตนว่า "จะไม่มีความเมตตาอีกต่อไป" พร้อมกล่าวย้ำว่า สหรัฐฯ จะไม่ส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปในลิเบีย

          ขณะเดียวกัน ฝ่ายสนับสนุน พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ใช้ยุทโธปกรณ์นานาชนิด รวมทั้งรถถัง ระดมโจมตีที่มั่นกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในเมืองเบงกาซี เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ หวังยึดคืนพื้นที่ให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตเฉพาะวันเสาร์ที่ 19 มีนาคม แล้วอย่างน้อย 27 ราย

          ด้านสำนักข่าว เอบีซี นิวส์ รายงาน อ้าง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ยืนยันครั้งแรกว่า ได้ยิงขีปนาวุธใส่ลิเบีย จากเรือรบที่ประจำการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของสหรัฐฯ ที่เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง กับการดำเนินการระหว่างประเทศ เพื่อยับยั้ง พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ในการโจมตีฝ่ายต่อต้านและประชาชน และเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามมติของที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ในการจัดตั้งเขตห้ามบิน และขณะนี้ได้เคลื่อนเรือรบ 11 ลำ เข้าประจำการในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งเรือดำน้ำ 3 ลำ เรือพิฆาต 2 ลำ เรือสะเทินน้ำสะเทินบก และ เรือขนส่งอีกหลายลำ

          ขณะที่ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี เรียกร้องให้ประชาชนชาวลิเบีย ลุกขึ้นจับอาวุธ เพื่อปกป้องประเทศ ในสิ่งที่เรียกว่า "สงครามศาสนา และ การล่าอาณานิคม" จากการรุกรานโดยกองกำลังของชาติตะวันตก

          โดย กัดดาฟี กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล ว่า เป็นสิ่งจำเป็นในตอนนี้ ที่ประชาชนทุกคนต้องหันมาจับอาวุธ เพื่อปกป้องความเป็นอิสระ ความสามัคคี และศักดิ์ศรีของชาวลิเบีย พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนพลเมืองของประเทศอาหรับ อิสลาม ลาตินอเมริกา เอเชีย และแอฟริกา ยืนเคียงข้างชาวลิเบีย ที่กล้าหาญ และกล้าเผชิญกับการรุกรานนี้ และมีเพียงความสามัคคีและความแข็งแกร่งของประชาชนชาวลิเบียเท่านั้น ที่จะนำพาประเทศผ่านพ้นการคุกคามนี้ไปได้

          อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ตนทราบว่ากรณีที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกำลังของประเทศสหประชาชาติ ถล่มประเทศลิเบีย แต่เหตุที่เกิดขึ้นนั้น เกิดทางภาคเหนือของลิเบีย ซึ่งแรงงานไทยได้อพยพออกมาแล้ว แต่จะเหลือก็เพียงผู้ที่สมัครใจอยู่ต่อเท่านั้น เพราะอยู่มานานจึงมีความผูกพัน และไม่ทราบมีจำนวนเท่าใด ขณะที่หากถ้ายังต้องการกลับไทย ก็ยังสามารถแจ้งความประสงค์มาได้ เช่นเดียวกับคนไทยในประเทศเยเมนด้วย





ซาอีฟ อัล อิสลาม

[18 มีนาคม] ลูกชาย กัดดาฟี ประกาศลั่น! ไม่กลัวยูเอ็นถล่ม ลิเบีย

          หลังจากที่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC มีมติให้ใช้กำลังทหารเข้าหยุดยั้งกองกำลังของ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย เนื่องจากฆ่าประชาชน พร้อมกับให้มีการเคลียร์พื้นที่เพื่อเตรียมโจมตีทางอากาศ โดยการทิ้งระเบิดชุดแรกจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ด้วยคะแนน 10:0 และมีการงดออกเสียงจากสมาชิก 5 ประเทศ รวมถึงรัสเซียและจีน ขณะที่สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร จะทำการผลักดันเพื่อขออนุมัติโดยเร็วนั้น

          ล่าสุดวันนี้ (18 มีนาคม) ซาอีฟ อัล อิสลาม บุตรชายของ กัดดาฟี ออกมาระบุว่า พวกเขาไม่รู้สึกหวั่นเกรง แม้องค์การสหประชาชาติจะประกาศโจมตีทางอากาศ เพื่อต่อต้านกองทัพของลิเบีย ซึ่งยังภักดีต่อพ่อของเขาอยู่ และหากคิดจะทิ้งระเบิดใส่ลิเบีย ก็เท่ากับคิดฆ่าคนลิเบีย คงไม่มีใครพอใจอย่างแน่นอน อีกอย่างเราอยู่ในประเทศของเรา จึงไม่ต้องกลัวอะไร

          นอกจากนี้ บุตรชายของ กัดดาฟี ระบุอีกว่า มติขององค์การสหประชาชาติไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังปฏิเสธข่าวที่อ้างว่าทหารของ กัดดาฟี ได้ฆ่าประชาชนจำนวนมากระหว่างพยายามยึดเมืองคืน เพราะไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้น เนื่องจากพวกกบฎยอมแพ้เอง




[9 มีนาคม] ทหารกัดดาฟีสกัดแรงงานข้ามชาติ ไม่ให้ออกประเทศ
 
         กองกำลังทหารกัดดาฟี เข้าสกัดกั้นแรงงานข้ามชาติ กว่า 30,000 คน ที่กำลังอพยพออกจากประเทศ พร้อมต้อนกลับเข้ากรุงตริโปลี เพื่อใช้แรงงาน
 
         สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (The International Federation of Red Cross and Red Crescent Societies) หรือ Federation เปิดเผยว่า กองกำลังที่ให้การภักดีต่อ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย เข้าทำการสกัดกั้นแรงงานข้ามชาติ ที่พยายามอพยพออกจากประเทศลิเบีย สู่ประเทศตูนิเซีย ผ่านช่องทางชายแดน กว่า 30,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบังกลาเทศ อียิปต์ และจากกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา ในทวีปแอฟริกา พร้อมบังคับให้กลับไปใช้แรงงานในกรุงตริโปลี เมืองหลวงของลิเบียตามเดิม เพื่อใช้แรงงานขั้นพื้นฐาน ในการทำความสะอาดตามโรงพยาบาล

         ด้านข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เปิดเผยถึง ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น โดยกองกำลังติดอาวุธชาวลิเบีย และกลุ่มทหารรับจ้าง ในพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศลิเบีย และที่มั่นของกัดดาฟี ในพื้นที่ทางตะวันตก ขณะที่ผู้ลี้ภัยชาวซูดานได้เดินทางถึงประเทศอียิปต์ ผ่านชายแดนทางตะวันตกของลิเบียแล้ว และมีเด็กหญิงชาวซูดานวัย 12 ปี คนหนึ่ง เปิดเผยว่า ถูกข่มขืนระหว่างการอพยพ และอีกหลายคน ถูกทำลาย หรือยึดหลักฐานแสดงตน
 
        ทางด้าน นายมุสตาฟา อับเดล จาลิล อดีตรัฐมนตรียุติธรรมลิเบีย ซึ่งลาออก และถูกแต่งตั้งเป็นประธานสภาแห่งชาติลิเบีย ตัวแทนของฝ่ายกบฏ มีฐานที่มั่นในเมืองเบงกาซี แถลงทางโทรศัพท์ ผ่านสถานีโทรทัศน์ "อัล จาซีรา" ว่า ฝ่ายต่อต้านหรือฝ่ายกบฏ จะไม่ติดตามเอาความในอาชญากรรม ที่ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ก่อขึ้น ถ้าเขาลาออก และเดินทางออกจากลิเบีย ภายใน 72 ชั่วโมง และยุติการทิ้งระเบิดโจมตีฝ่ายต่อต้าน

        สำหรับถ้อยแถลงของ นายจาลิล มีขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ สหภาพยุโรป (อียู) เผยว่า รัฐบาลลิเบียได้เรียกร้องให้สหประชาชาติ ส่งคณะเจ้าหน้าที่ค้นหาความจริงเข้าไปสอบสวนเรื่องความรุนแรงในลิเบีย ขณะที่มีรายงานว่า อียู ตกลงเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรลิเบียรอบใหม่
48  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / แฉโรงนิวเคลียร์ญี่ปุ่น แจ้งรายงานเท็จกว่า 40 ปี เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 01:47:34 PM
แฉโรงนิวเคลียร์ญี่ปุ่น แจ้งรายงานเท็จกว่า 40 ปี


เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า บริษัทพลังงานไฟฟ้าโตเกียว หรือ TEPCO ได้ออกมายอมรับว่า ทางบริษัทได้แจ้งรายงานเท็จเกี่ยวกับการตรวจสอบและผลการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิม่า ไดอิจิ มาตลอด 40 ปี ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตรวจสอบอุปกรณ์ภายในโรงไฟฟ้าอย่างละเอียดเลย

          รายงานระบุว่า TEPCO ได้ออกมาสารภาพว่า รายงานการซ่อมบำรุงและการตรวจสอบอุปกรณ์ภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิม่า ไดอิจิ ที่ส่งให้กับสำนักงานความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์แห่งญี่ปุ่น ก่อนจะที่เกิดภัยพิบัติประมาณ 10 วันนั้น เป็นรายงานเท็จ โดยทางบริษัทได้ชี้แจงว่า ไม่ได้ตรวจสอบอุปกรณ์รวม 33 ชิ้น ในเตาปฏิกรณ์ทั้ง 6 แห่ง และแผงจ่ายไฟฟ้าของวาล์วควบคุมอุณหภูมิของเตาปฏิกรณ์ตัวหนึ่งก็ไม่ได้รับการตรวจสอบมานานกว่า 11 ปี  ขณะที่อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบหล่อเย็นต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับการตรวจสภาพเลยเป็นเวลาหลายปี แต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้เขียนรายงานเท็จส่งให้สำนักงานความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีความปลอดภัย และได้ตรวจอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างละเอียดแล้ว ซึ่งหลังจากทางสำนักงานความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ได้รับรายงานดังกล่าว ก็ได้สั่งให้มีการตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง และพบว่าการตรวจสอบยังไม่ละเอียดเพียงพอ จึงได้สั่งให้ TEPCO แก้ไขข้อบกพร่องภายในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ แต่กลับเกิดภัยพิบัติก่อนเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา

          ทั้งนี้ จากการรายงานพบว่า TEPCO บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งควบคุมเตาปฏิกรณ์กว่า 17 แห่งทั่วญี่ปุ่นแห่งนี้ ได้ส่งรายงานเท็จกว่า 200 รายงานตลอด 40 ปีที่ผ่านมา รวมถึงรายงานการตรวจสอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิม่า ไดอิจิ ด้วย โดยในปี ค.ศ.2002 TEPCO ได้ส่งปลอมแปลงรายงานการตรวจสภาพเตาปฏิกรณ์ในโรงไฟฟ้าว่าอยู่ในสภาพดี ทั้ง ๆ ที่มีการตรวจพบรอยร้าวในเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1-5 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1993

          อย่างไรก็ดี การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จากเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่ใช่ความผิดพลาดครั้งแรกของ TEPCO แต่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คาชิวาซากิ คาริวา ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปี ค.ศ.2007 ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ ที่จังหวัดนีงาตะ ทำให้ไฟไหม้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์คาชิวาซากิ คาริวา และมีการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีในช่วงนั้น ซึ่งทาง TEPCO ก็ได้ออกมายอมรับว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์คาชิวาซากิ คาริวาไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับแผ่นดินไหวแต่อย่างใด
49  สมาชิก VIP / General Discussion / บช.น. เผยทั่วกรุงมีรถหาย 718 คัน โตโยต้า หายมากสุด เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 01:44:57 PM
บช.น. เผยทั่วกรุงมีรถหาย 718 คัน โตโยต้า หายมากสุด

 บชน. เผยปี 2553 สถิติรถจักรยานยนต์ครองแชมป์หายมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะที่รถยนต์ที่เป็นเป้าหมายหลัก คือ ยี่ห้อโตโยต้า และสำหรับสถานที่ที่เป็นจุดเสี่ยง อันดับ 1 ยังคงเป็นถนนและตรอกซอยเหมือนปีที่ผ่านมา ส่วนเวลาที่รถหายมากที่สุด คือ 20.00-24.00 น. 

           เมื่อวานนี้ (20 มีนาคม) พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รองผบช.น.และในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถกองบัญชาการตำรวจนครบาล (หน.ศปจร.น.) ได้ออกมาเปิดเผยสถิติการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 -31 ธันวาคม 2553  ว่า  ในปี 2553 ทาง บก.น. 1-9  ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์หาย 718 คัน และเป็นรถจักรยานยนต์กว่า 5,000 คัน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมแก๊งลักรถ และยึดรถคืนได้เพียง 5 - 6%   ทั้งนี้ บก.น. ที่มีสถิติการรับแจ้งความรถยนต์และรถจักรยานยนต์หายมากที่สุด คือ บก.น.2  ได้รับแจ้งรถยนต์หาย 66 คัน สามารถจับกุมและได้คืน 1 คัน  รถปิกอัพหาย 87 คัน สามารถจับกุมและได้คืน  3 คัน  รถตู้ไม่มีการก่อเหตุโจรกรรม และรถจักรยานยนต์หาย 963 คัน สามารถจับกุมและได้คืน 57 คัน 

           และสำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น พบว่า มีรถยนต์หายถึง 718 คัน แต่สามารถจับกุมและได้คืนเพียง 39 คัน โดยแบ่งเป็น รถเก๋งหายถึง 300 คัน รถปิกอัพหาย 409 คัน และรถตู้หาย 9 คัน  และยี่ห้อรถยนต์ที่เป็นเป้าหมายหลักของแก๊งลักรถ คือ โตโยต้า  มีรถหายถึง 228 คัน  อันดับสอง อีซูซุ  มีรถหาย  210 คัน  และอันดับสาม นิสสัน มีรถหาย 84 คัน  และช่วงเวลาที่รถยนต์ถูกโจรกรรมมากที่สุด คือ ตั้งแต่เวลา 20.01-24.00 น. อันดับที่ 2 ตั้งแต่เวลา 16.01-20.00 น.  และอันดับที่ 3 ตั้งแต่เวลา 00.01-04.00 น. ส่วนสถานที่ที่เป็นจุดเสี่ยงรถหาย  อันดับ 1 คือ ตามถนนและตรอกซอย  อันดับที่ 2 คือ สวนสาธารณะ เช่น สนามกีฬา สวนหย่อม ท่าน้ำ ชุมชนต่าง ๆ  และอันดับที่ 3 คือ ตามเคหสถาน บ้านเช่า ห้องเช่า 

           นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุเมธ ได้กล่าวถึงสถิติการโจรกรรมรถจักรยานยนต์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า ในปี 2553 มีรถจักรยานยนต์หายถึง 5,504 คัน แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมแก๊งลักรถ และยึดรถคืนได้เพียง 335 คัน หรือร้อยละ 6.1 เท่านั้น โดยยี่ห้อที่ยอดฮิต คือ ฮอนด้า มีรถหายถึง 3,033 คัน  อันดับสอง ยามาฮ่า มีรถหาย 2,052 คัน  และอันดับสาม คาวาซากิ มีรถหาย 131 คัน สำหรับส่วนสถานที่ที่เป็นจุดเสี่ยงรถหายนั้น ยังคงเป็นสถานที่เดียวกับที่แก๊งลักรถลงมือโจรกรรมรถยนต์นั่นเอง ในขณะที่ช่วงเวลาที่แก๊งโจรกรรมเริ่มลงมือเป็นอันดับ 1 คือ ตั้งแต่เวลา 20.01-24.00 น. อันดับที่ 2 คือ ตั้งแต่เวลา 00.01-04.00 น. และอันดับที่ 3 ตั้งแต่เวลา 16.01-20.00 น.

           อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งดำเนินการปราบปรามแก๊งลักรถเหล่านี้ให้เร็วที่สุด รวมถึงการดำเนินการออกตรวจสอบในพื้นที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ แต่ทั้งนี้ ก็ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน โดยการขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ของตนเอง และขอให้คำนึงอยู่เสมอว่า แม้จะจอดรถที่บ้าน หรือสถานที่สาธารณะ ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมได้ หากผู้เป็นเจ้าของรถไม่คอยดูแลให้ดีย่อมเท่ากับเป็นการเปิดช่องให้มิจฉาชีพกลุ่มนี้ฉวยโอกาสโจรกรรมรถอย่างง่ายดาย
50  สมาชิก VIP / General Discussion / โพลเผย 5 จังหวัด ประชาชนอยู่เป็นสุขที่สุด สุพรรณบุรีแชมป์ เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 01:40:59 PM
เผยจังหวัดที่ประชาชน อยู่แล้วเป็นสุขมากที่สุด (ไทยโพสต์)

          สำรวจจังหวัดน่าอยู่ สุพรรณบุรี อุตรดิตถ์ พังงา สุโขทัย เพชรบูรณ์ ติดอันดับ ไม่น่าเชื่อภูเก็ตที่โหล่ ขณะที่นราธิวาสอยู่แล้วรู้สึกกลัวอาชญากรรม น่าวิตกคนไทยสมัยนี้เห็นการคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา

          นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน (Academic Network for Community Happiness Observation and Research, ANCHOR) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องจัดอันดับความรู้สึกของประชาชนต่อจังหวัด “อยู่แล้วเป็นสุข” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้ที่พักอาศัยอยู่ใน 77 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 42,538 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2554
 
 ผลสำรวจพบ 10 จังหวัดที่ประชาชนรู้สึกว่า อยู่แล้วเป็นสุขมากที่สุด คะแนนเต็ม 10 คะแนน ได้แก่

          อันดับที่ 1 ได้แก่  จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีคะแนนความรู้สึกอยู่แล้วเป็นสุขเฉลี่ยอยู่ที่ 7.83 คะแนน

          อันดับที่ 2  ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ 7.66 คะแนน

          อันดับที่ 3  ได้แก่ จังหวัดพังงา ได้ 7.56

          อันดับที่ 4 ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย ได้ 7.50

          อันดับที่ 5 ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ 7.44

          อันดับที่ 6 ได้แก่ จังหวัดสตูล

          อันดับที่ 7 ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์

          อันดับที่ 8 ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก

          อันดับที่ 9 ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว

          อันดับที่ 10 ได้แก่ จังหวัดพะเยา

       
 สำหรับ 5 จังหวัดสุดท้ายที่ประชาชนรู้สึก “อยู่แล้วเป็นสุข” ได้แก่

          อันดับที่ 73 ได้แก่ จังหวัดสมุทรสงคราม ได้ 6.45 คะแนน

          อันดับที่ 74  ได้แก่ จังหวัด กระบี่ ได้ 6.41 คะแนน

          อันดับที่ 75 ได้แก่ จังหวัดสระบุรี ได้ 6.40 คะแนน

          อันดับที่ 76 ได้แก่ จังหวัดสงขลา ได้ 6.32 คะแนน

          อันดับที่ 77 ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ได้ 5.64 คะแนน
     
          เมื่อสอบถามถึงความรู้สึกหวาดกลัวต่ออาชญากรรม พบว่าประชาชนใน จังหวัดนราธิวาส รู้สึกหวาดกลัวต่ออาชญากรรมมากที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ 6.92 รองลงมาอันดับที่สอง ได้แก่ ระยอง ได้ 6.40 อันดับที่สาม ได้แก่ สมุทรปราการ ได้ 6.38 อันดับที่สี่ ได้แก่ ปัตตานี ได้ 6.24 อันดับที่ห้า ได้แก่ นนทบุรี ได้ 6.19 อันดับที่หก ได้แก่ นครพนม ได้ 6.13 อันดับที่เจ็ด ได้แก่ สิงห์บุรี ได้ 6.07 อันดับที่แปด ได้แก่ อุดรธานี ได้ 6.04 อันดับที่เก้า ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และจังหวัด อ่างทอง ได้ 5.92 เท่ากัน

          นอกจากนี้ ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ประชาชนที่ถูกศึกษาร้อยละ 52.7 คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ ร้อยละ 12.3 ระบุไม่แน่ใจ และมีเพียงร้อยละ 35.0 ที่ไม่คิดเช่นนั้น เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อการทุจริตคอรัปชั่นในการทำธุรกิจจำแนกตามเพศ พบว่าเพศชายและเพศหญิงคิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นในการทำธุรกิจไม่แตกต่างกัน โดยเพศชายร้อยละ 54.0 เพศหญิงร้อยละ 51.7 ตามลำดับ
       
           เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปคิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ โดยร้อยละ 56.7 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 56.3 อายุ 40-49 ปี และร้อยละ 56.2 อายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 47.0 อายุ 20-29 ปี ในขณะที่ร้อยละ 38.9 อายุต่ำกว่า 20 ปี
       
         จำแนกตามระดับการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีมีเพียงร้อยละ 37.4 คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ ร้อยละ 15.0 ระบุไม่แน่ใจ ร้อยละ 47.7 ไม่คิดเช่นนั้น ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีและปริญญาตรีเกิน ครึ่ง หรือ ร้อยละ 54.1 ต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 51.2 ระดับปริญญาตรี คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ
       
          จำแนกตามอาชีพ พบว่าผู้ประกอบอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว และกลุ่มข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจเกินครึ่ง หรือร้อยละ 55.9 และร้อยละ 50.8 คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม นักเรียนนักศึกษาร้อยละ 42.2 ไม่คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา

          จำแนกตามภูมิภาค พบว่าผู้ที่พักอาศัยในภาคกลางร้อยละ 60.2 คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ รองลงมา กรุงเทพมหานครร้อยละ 55.5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 54.7 ภาคเหนือร้อยละ 46.1 และภาคใต้ร้อยละ 41.8 ตามลำดับ

          ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชนกล่าวว่า หลายจังหวัดของประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มีคนรวยพักอาศัยอยู่จำนวนมาก แต่ประชาชนธรรมดาทั่วไปโดยรวมกลับมีความรู้สึก “เป็นสุข” น้อยกว่าจังหวัดอื่นๆ ของประเทศ จึงเป็นข้อมูลที่นักพัฒนาและผู้บริหารประเทศน่าจะนำไปประกอบการตัดสินใจเชิง นโยบายเพื่อหาแนวทางเพิ่มดัชนีความสุขของประชาชนระดับพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ของประเทศ นอกจากนี้ ผลสำรวจครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นว่าทัศนคติอันตรายต่อการทุจริตคอรัปชั่นกำลัง ไปอยู่ในกลุ่มเด็กเยาวชนนักเรียนนักศึกษาจำนวนมาก และเป็นปัญหาที่รัฐบาล กลไกหน่วยงานต่างๆ ของรัฐและภาคประชาสังคมต้องหาแนวทางช่วยกันทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปสู่การ พัฒนาที่ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน

          "จึงเสนอให้พิจารณาใช้ 4 มาตรการควบคู่กันในการทำให้คนในจังหวัดอยู่เย็นเป็นสุขคือ มาตรการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีของคนในชุมชน มาตรการเพิ่มความโปร่งใสใช้งบประมาณพัฒนาด้วยการนำรายการใช้จ่ายเปิดเผยต่อ สาธารณชนในจังหวัดผ่านเว็บไซต์ วิทยุชุมชน ป้ายโฆษณาและเอกสารแจกจ่ายในหมู่บ้านชุมชนต่างๆ มาตรการการเพิ่มความเข้มงวดในการใช้กฎหมายควบคุมพฤติกรรมไม่ดีของคน และมาตรการไม่เลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การลงทุนประกอบธุรกิจ และปัญหาต่างๆ ของสังคม" ดร.นพดลกล่าว

         จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 48.4 เป็นชาย ร้อยละ 51.6 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 4.1 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 20.6 อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 22.8 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 21.7 อายุระหว่าง 40-49 ปี และร้อยละ 30.8 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 69.9 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 26.8 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 3.3 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 28.2 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 30.8 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 8.2 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 10.5 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 11.2 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 6.2 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ในขณะที่ร้อยละ 4.9 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ ตัวอย่างร้อยละ 30.0 ระบุรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท ร้อยละ 28.4 ระบุรายได้ 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 13.1 ระบุ 10,001-15,000 บาท ร้อยละ 7.5 ระบุรายได้ 15,001-20,000 บาท และร้อยละ 21.0 ระบุรายได้มากกว่า 20,000 บาท


51  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ไฟไหม้ซ้ำ ณ เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ของญี่ปุ่น เมื่อ: มีนาคม 16, 2011, 07:54:25 AM
ไฟไหม้ซ้ำ ณ เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ของญี่ปุ่น

เอเอฟพี - ไฟกระพือลุกไหม้ ณ เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ณ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะเป็นแห่งที่ 1 อีกครั้งในช่วงเช้าตรู่วันนี้ (16) แต่ล่าสุดรัฐบาลยืนยันว่าสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว
       
       “เราได้แจ้งเหตุไปยังเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและหน่วยดับเพลิงในทันที” โฆษกของโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ (เทปโก) บริษัทที่ได้รับสัมปทานดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในจังหวัดฟูกูชิมะกล่าว พร้อมระบุว่าคนงานรายหนึ่งยืนยันว่ามีควันพวยพุ่งออกมาจากหลังคาที่ครอบตัวเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4
       
       เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้เกิดระเบิดไปแล้วก่อนนี้เมื่อวันอังคาร (15) อันสร้างความเสียหายแก่หลังคาของตัวอาคาร อย่างไรก็ตาม ในเหตุเพลิงไหม้ล่าสุดยังไม่มีรายงานระบุถึงขอบเขตความเสียหายครั้งนี้
       
       ขณะเดียวกัน ในรายงานแยกกัน ทางรัฐบาลระบุว่าพบเห็นความเสียหายบางส่วนของคอนเทนเนอร์ครอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 2 ของโรงงานฟูกูชิมะ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียว ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเพียง 250 กิโลเมตร
       
       ญี่ปุ่นเร่งมืออย่างหนักในความพยายามหลบหลีกวิกฤตแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลอมละลายตามหลังแผ่นดินไหวครั้งและสึนามิครั้งเลวร้าย ที่นำไปสู่การตัดกระแสไฟฟ้า ณ โรงงานและก่อความเสียหายแก่ระบบหล่อเย็น
       
       เมื่อวันเสาร์ (12) แรงระเบิดก่อความเสียหายแก่อาคารครอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 แต่เตาปฏิกรณ์ยังอยู่ในสภาพมั่นคง ต่อมาเมื่อวันจันทร์ (14) ไม่นานหลังจากนายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง บอกว่าโรงงานยังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง ก็ได้เกิดระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง ณ เตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 11 ราย
       
       ทั้งนี้ ในช่วงค่ำวันเดียวกันนั้นก็เกิดการระเบิดขึ้นในลักษณะคล้ายคลึงกับเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 ที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 2 หลังจากระบบปั๊มหล่อเย็นชั่วคราวล้มเหลว อย่างไรก็ตาม โฆษกรัฐบาลระบุว่า ตัวแกนเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ยังคงปลอดภัยดี และยังไม่ตรวจพบการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีในระดับที่สูง
       
       กระนั้นสถานการณ์ก็ยังไม่ผ่านพ้นวิกฤต เมื่อบรรดาเจ้าหน้าที่และวิศวกรยังต้องเร่งหาทางหยุดยั้งไม่ให้แท่งเชื้อเพลิงภายในเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 และ 3 เกิดการหลอมละลายจากความร้อนที่สูงเกินไป หรือที่เรียกว่าภาวะ “เมลต์ดาวน์ (Meltdown)” เพราะเมื่อถึงขั้นนั้นจะส่งผลให้สารกัมมันตรังสีแผ่กระจายออกสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมหาศาล
52  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / แผ่นดินไหวโหด ทำเกาะญี่ปุ่นเคลื่อน 2.4 เมตร-เวลาสั้นลง เมื่อ: มีนาคม 15, 2011, 07:52:13 AM
แผ่นดินไหวโหด ทำเกาะญี่ปุ่นเคลื่อน 2.4 เมตร-เวลาสั้นลง

หน่วยสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ เผยแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ ทำให้ญี่ปุ่นเคลื่อนที่จากจุดเดิมราว 2.4 เมตร โลกมีการหมุนเร็วขึ้นระยะเวลาในหนึ่งวันลดลง

(14 มี.ค.) หน่วยสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ เปิดเผยผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวแรงสั่นสะเทือน 8.9 ริกเตอร์เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมาได้ทำให้แผ่นดินญี่ปุ่นซึ่งมีลักษณะเป็นเกาะ เคลื่อนที่จากจุดเดิมไปราว 2.4 เมตร และยังทำให้แกนโลกเคลื่อนที่ประมาณ 17 เซนติเมตร อีกทั้งยังส่งผลให้ระยะเวลาใน 1 วันสั้นลงเล็กน้อย โดยผลการวิเคราะห์พบว่า แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เป็นตัวเร่งให้โลกมีการหมุนเร็วขึ้นทำให้ระยะเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน ลดลง 1.8 ไมโครวินาที โดย 1 ไมโครวินาทีมีค่าเท่ากับ 1/1,000,000 วินาที

นายริชาร์ด กรอสส์ จากศูนย์ปฏิบัติการวิจัยแรงขับเคลื่อนพลังงานแห่งองค์การนาซา กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการส่งผ่านมวลของโลก ซึ่งนั่นทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น และทำให้เวลาในหนึ่งวันลดลง 1.8 ไมโครวินาที ซึ่งตามหลักทั่วไปแล้ว หนึ่งวันของโลกเท่ากับ 24 ชม. หรือ 86,400 วินาที และภายในหนึ่งปีจะมีระดับการคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 1 มิลลิวินาที หรือ 1,000 ไมโครวินาที ขึ้นอยู่กับความแตกต่างตามแต่ละช่วงเวลาของปี

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระยะเวลาของโลก โดยเมื่อปีก่อน เหตุแผ่นดินไหวในประเทศชิลีขนาด 8.8 ริคเตอร์ ได้ทำให้เกิดการหมุนของโลกที่เร็วขึ้น 1.26 ไมโครวินาที และเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเกาะสุมาตราขนาด 9.1 ริคเตอร์ ในปี 2004 ทำให้เวลาสั้นลง 6.8 ไมโครวินาที

ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ยังระบุด้วยว่า ผลกระทบจะเกิดขึ้นยังไม่จบแค่นี้ เพราะแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นตามมาหรืออาฟเตอร์ช็อคที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลทำให้วันสั้นลงอีกก็เป็นได้
53  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ด่วน!! โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยุ่นระเบิดรอบ 2 - บาดเจ็บ 6 ราย เมื่อ: มีนาคม 14, 2011, 12:39:53 PM
ด่วน!! โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยุ่นระเบิดรอบ 2 - บาดเจ็บ 6 ราย

เอเอฟพี - เตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะเกิดระเบิดขึ้นแล้ววันนี้(14) หลังระบบหล่อเย็นภายในล้มเหลว เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่คาดว่าจะคร่าชีวิตชาวญี่ปุ่นไม่น้อยกว่า 10,000 คน

 ญี่ปุ่นพยายามควบคุมความร้อนภายในเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ หลังระบบหล่อเย็นได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหวขนาด 8.9 ริกเตอร์เมื่อวันศุกร์(11)ที่ผ่านมา
       
       แต่ไม่นานหลังจากที่นายกรัฐมนตรี นาโอโตะ คัง ออกมาเตือนว่า โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 250 กิโลเมตรยังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง เตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ก็เกิดระเบิดดังสนั่น และส่งกลุ่มควันพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า
       
       เท็ปโก้ ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงไฟฟ้าเปิดเผยว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 คน เป็นพนักงานของเท็ปโก้ 4 คน และคนงานอีก 2 คน โดยขณะนี้ทั้งหมดรู้สึกตัวแล้ว
       
       หนังสือพิมพ์ จิจิ เพรส รายงานว่า มีทหารได้รับบาดเจ็บอีก 4 นาย
       
       ทางการญี่ปุ่นคาดกว่า อุบัติเหตุครั้งล่าสุดนี้น่าจะเกิดจากแรงระเบิดไฮโดรเจน
       
       ยูกิโอะ เอดาโนะ หัวหน้าโฆษกรัฐบาล แถลงรายงานจาก เท็ปโก้ ว่า เตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 อาจไม่รับความเสียหาย และโอกาสที่จะเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีอย่างรุนแรงยังเป็นไปได้น้อย
       
       "อุปกรณ์ครอบเตาปฏิกรณ์ไม่ได้รับความเสียหาย และไม่ปรากฎว่ามีการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีในระดับรุนแรง" เอดาโนะ กล่าว
       
       เจ้าหน้าที่พยายามฉีดน้ำทะเลเข้าไปในเตาปฏิกรณ์เพื่อทดแทนระบบหล่อเย็น ซึ่งจะช่วยประคับประคองให้โรงไฟฟ้าอายุกว่า 40 ปีแห่งนี้ใช้การต่อไปได้
       
       เมื่อวันเสาร์(12)ที่ผ่านมา แรงระเบิดจากเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 ส่งผลให้ตัวอาคารที่อยู่โดยรอบพังเสียหาย ขณะที่อุปกรณ์ครอบแกนปฏิกรณ์ยังคงใช้การได้
54  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / แผ่นดินไหว-สึนามิถล่มญี่ปุ่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดแล้ว เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 04:52:37 PM
แผ่นดินไหว-สึนามิถล่มญี่ปุ่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดแล้ว


เหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่ประเทศญี่ปุ่น คาดยอดดับ อาจทะลุหลักพัน นักธรณีวิทยาชี้แผ่นดินไหวญี่ปุ่นแรงกว่าเฮติ 700 เท่า และเป็นอันดับ 5 ของโลก ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิระเบิดแล้ว

          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ได้ส่งผลให้บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในเมืองที่ถูกคลื่นซัด กลายสภาพเป็นเหมือนกองขยะมหึมา ที่ทุกสิ่งทุกอย่างทับถมอยู่รวมกันจนแทบจะแยกไม่ออก และทำให้พื้นถนนหลายแห่งเกิดรอยแยก สภาพบ้านเมืองพังเสียหายยับเยิน ไฟดับทั่วเมืองส่งผลให้ประชากรกว่า 4 ล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้ และไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายมหาศาลนี้ได้

          ส่วนยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 300 คน บาดเจ็บ 974 คน และสูญหาย 547 คน และคาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 1,000 คน นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบพบว่า เรือสำราญที่มีผู้โดยสารกว่า 100 คน ได้ถูกคลื่นซัดกลืนหายไปกับสายน้ำ และรถไฟความเร็วสูงอีก 4 ขบวนก็สูญหายไปพร้อมกับผู้โดยสารกว่า 1,000 คนด้วย

          ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกกว่า 50 ครั้ง และยังเกิดแผ่นดินไหวทั้งคืน ส่งผลให้ประชาชนตกอยู่ในความหวาดกลัว

          ขณะที่นายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง ของญี่ปุ่น ได้เดินทางออกจากกรุงโตเกียวตั้งแต่เวลา 06.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ หลังพบปัญหาที่เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ จนทางโรงไฟฟ้าต้องตัดสินใจระบายอากาศ เนื่องจากแรงดันที่เพิ่มสูงขึ้นอาจก่อความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโรงไฟฟ้า ซึ่งจากการตรวจสอบจากสำนักงานอุตสาหกรรมและความปลอดภัยนิวเคลียร์ 8 ครั้งที่ผ่านมา พบว่า ระดับสารกัมมันตรังสีอยู่ในระดับปกติ ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ทำการส่งสารหล่อเย็นมายังโรงไฟฟ้าดังกล่าวแล้ว

          อย่างไรก็ตามทางการญี่ปุ่นสั่งอพยพประชาชนในเมืองฟุกุชิมะ ในรัศมี 10 กิโลเมตร จากโรงงานนิวเคลียร์ 2 แห่งออกจากพื้นที่ หลังมีการตรวจพบสารกัมมันตภาพรังสี ในห้องควบคุมมากกว่าปกติถึง 1,000 เท่า และตรวจวัดนอกโรงงาน มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าปกติ 8 เท่า ซึ่งยังไม่มีผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์แต่อย่างใด

          แต่ทว่า ล่าสุดมีรายงานว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฟุกุชิมะไดอิจิ ได้เกิดการระเบิดขึ้นแล้ว ที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 1  จนควันขาวคลุ้งไปรอบบริเวณ หลังแรงดันที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ไดอิจิ เพิ่มขึ้น 2.1 เท่า ขณะที่ระดับของกัมมันตภาพรังสีที่ด้านนอกประตูของโรงไฟฟ้าสูงกว่าระดับปกติถึง 8 เท่า ล่าสุดมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน


          ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีความรุนแรงกว่าเหตุแผ่นดินไหว 7 ริกเตอร์ที่ประเทศเฮติเมื่อปีที่แล้วถึง 700 เท่า และยังทำให้เกิดรอยแยกระยะทางยาว 298 กม.และกว้าง 149 เมตรในพื้นใต้ทะเล นอกจากนี้ แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังมีความรุนแรงมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2443 และถือเป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเตือนภัยเหตุแผ่นดินไหวดีที่สุดในโลกด้วย

        อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวต่างประเทศยังเชื่อมโยงเหตุการณ์สึนามิกับการโคจรของดวงจันทร์อีกครั้ง หลังจากที่เคยเป็นข่าวที่พูดถึงอย่างกว้างขวางก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

          ด้านความช่วยเหลือจากนานาชาตินั้น ประเทศต่าง ๆ กว่า 45 ประเทศทั่วโลก ได้ยื่นมือเข้าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เช่น ประเทศเกาหลีใต้ได้ส่งทีมฉุกเฉิน 40 คน โดยสารเครื่องบินรัฐบาลไปลงยังพื้นที่ที่เกิดเหตุแล้ว ส่วนประเทศรัสเซียได้ส่งทีมฉุกเฉิน 40 คนและสุนัขดมกลิ่น 3 ตัวเขาช่วยเหลือ ประเทศโปแลนด์ส่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าไปยังญี่ปุ่น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ส่งทีมฉุกเฉินเข้าช่วย ส่วนประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา เตรียมพร้อมจะช่วยเหลือทุกด้าน หากต้องการ ขณะที่ประเทศไทยจะส่งเงินจำนวน 5 ล้านบาทไปช่วยเหลือญี่ปุ่นในเบื้องต้น

         สำหรับสถานการณ์คลื่นสึนามิในประเทศเสี่ยงภัยนั้น เมื่อคืนที่ผ่านมา เวลาประมาณ 02.00 น. คลื่นสึนามิได้พัดไปเกือบถึงชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ทำให้เรือกว่า 35 ลำที่ลอยอยู่กลางทะเลได้รับความเสียหาย และมีรายงานผู้เสียชีวิต 1 คน ขณะที่คลื่นยังได้ซัดคนจมหายไปกลางทะเลอีก 3 คน ประเมินมูลค่าความเสียหายได้ทั้งสิ้นประมาณ 60 ล้านบาท ขณะที่ในชายฝั่งโอเรกอน เมื่อคืนมีคลื่นสูงสลับกับต่ำมากอยู่ประมาณ 30 นาทีเท่านั้น

          ทางด้านประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่อเหตุสึนามิ ล่าสุด ทางการอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ภูเขาไฟการันเกตัง ที่ได้ชื่อว่ามีการปะทุบ่อยที่สุดลูกหนึ่งของอินโดนีเซีย ได้เกิดการปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ลาวาและกลุ่มแก๊สพวยพุ่งออกมา และไหลลงไปตามเชิงเขา จนต้องมีการอพยพประชาชนอย่างเร่งด่วน

          สำหรับภูเขาไฟการันเกตัง ซึ่งมีความสูง 5,853 ฟุต ตั้งอยู่บนเกาะเซียอู ในหมู่เกาะสุลาเวสี และเพิ่งจะปะทุครั้งสุดท้าย ไปเมื่อเดือนสิงหาคม ทั้งนี้คาดว่า การปะทุครั้งล่าสุดเกิดจากรอยเลื่อนแปซิฟิก มีการเคลื่อนตัวจนเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว และเกิดสึนามิ ทำให้ภูเขาไฟดังกล่าวปะทุขึ้นมา

          ขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวของฟิลิปปินส์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้เกิดคลื่นสึนามิจำนวน 4 ลูก พัดเข้าสู่ชายฝั่งฟิลิปปินส์ ทางชายฝั่งของจังหวัดคากายัน ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง แต่ไม่มีรายงานความเสียหายใด ๆ เพราะสึนามิ ทั้ง 4 ลูก มีความสูงเฉลี่ยแค่เพียง 30 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร เท่านั้น

          แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการประกาศเตือนภัยสึนามิ ใน 19 จังหวัด ตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันออก และได้มีการประกาศให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณชุมชนชายฝั่งของจังหวัดคากายัน 7,000 คน และ จังหวัดอิซาเบลลา ที่มีประชาชนอพยพออกจากพื้นที่กว่า 3,200 คนแล้ว

          ส่วนรายงานของสื่อต่างประเทศระบุว่า คลื่นพายุหมุนโถมเข้าใส่เกาะซาน คริสโตบอล ในเขตของหมู่เกาะกาลาปาโกส ประเทศเอกวาดอร์ โดยมีคลื่นสูงประมาณ 40 เซนติเมตร และประธานาธิบดี ราฟาเอล คอร์เรีย ได้แถลงว่า สึนามิไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อประชาชนของตนเอง

          ทั้งนี้ หลายเมืองในลาตินอเมริกา มีการอพยพประชาชนป้องกันภัยไว้ล่วงหน้าแล้ว อาทิ ชิลี เอกวาดอร์ และ เปรู ได้สั่งการอพยพพลเรือนจากพื้นที่ริมฝั่งทะเลไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว

          ขณะที่ทางการเปรู ประกาศว่า คลื่นสึนามิลูกแรก ความสูงประมาณ 40 เซนติเมตร เดินทางถึงประเทศเมื่อช่วงดึกคืนวานนี้ ก่อนที่ประธานาธิบดี อลัน การ์เซีย จะออกมาประกาศว่า เปรู จะไม่ได้รับอันตรายจากสึนามิ

          ส่วนเม็กซิโก ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ หรือความเสียหาย หลังคลื่นสึนามิความสูง 70 เซนติเมตร ซัดเข้าชายฝั่งรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย

          ด้านกัวเตมาลา และ ปานามา ประกาศยกเลิกการเตือนภัยสึนามิ ในเวลาต่อมา ส่วนรัฐบาลเอลซัลวาดอร์ ออกมาแถลงว่า อันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว

          นอกจากนี้ มีรายงานว่า เลดี้ กาก้า นักร้องสาวชื่อดัง ได้มีการออกแบบทำสายรัดข้อมือสีขาว วางจำหน่ายเพื่อหาเงินช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหว และสึนามิถล่ม ที่ประเทศญี่ปุ่น ด้วย

          ขณะที่ประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันยังไม่พบคนไทยบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ได้ดำเนินการประสานหน่วยงานท้องถิ่นของญี่ปุ่นและชมรม/สมาคมคนไทยในญี่ปุ่น ในการแจ้งข้อมูลคนไทยที่อาจได้รับผลกระทบ หรือต้องการความช่วยเหลือแล้ว

          ด้านสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา อยู่ระหว่างการประสานกับคนไทยในเขตคันไซ ว่าได้รับผลกระทบ หรือ ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ ทางกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ประสานไปยังกองทัพอากาศ และบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการเตรียมเครื่องบินพิเศษ หากจำเป็นต้องใช้ในภารกิจช่วยเหลือคนไทย และได้ประสานกระทรวงสาธารณสุข ในการเตรียมความพร้อมด้านทีมแพทย์ หากได้รับการร้องขอจากฝ่ายญี่ปุ่น



[11 มีนาคม] สึนามิถล่มญี่ปุ่น 10 เมตร หลังแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์

           รัฐบาล ญี่ปุ่น ยืนยัน ไม่มีการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสี หลังเกิดแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ และเกิดสึนามิ ถล่มทางตอนเหนือของประเทศ ส่วนไทยจับตาคลื่นยักษ์เข้าที่ จ.นราธิวาส และประจวบคีรีขันธ์

           เมื่อ ช่วงเช้าของวันที่ 11 มีนาคม สำนักข่าวเอพี (AP) รายงานว่า เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ญี่ปุ่น สร้างความเสียหายครอบคลุมพื้นที่วงกว้าง

           โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา 14.46 น. ตามเวลาท้องถิ่น แผ่นดินไหวความรุนแรงถึง 8.9 ริกเตอร์ ได้สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนก่อนที่จะเกิดสึนามิลูกใหญ่สูงกว่า 6 เมตร ขึ้นในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา กวาดเอารถยนต์และบ้านเรือนหลายหลังกลืนหายลงทะเลพร้อมกับเกลียวคลื่น ตามด้วยอาฟเตอร์ช็อกความรุนแรง 7.4 ริกเตอร์อีกครั้ง และล่าสุดคลื่นสึนามิสูงกว่า 10 เมตร ระดับน้ำทะเลยกตัวสูงขึ้นขนาด ชั้น 2 ของอาคาร หลังจากเกิดสึนามิครั้งใหญ่ประมาณ 30 นาทีต่อมา สร้างความเสียหายมหาศาล ส่วนรายงานผู้เสียชีวิตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยังมีผู้สูญหายจำนวนมาก

           สำหรับ แผ่นดินไหวครั้งนี้ มีศูนย์กลางห่างจากชายฝั่งของเกาะฮอนชู 150 กิโลเมตร ไปทางตะวันออกของเกาะญี่ปุ่น และเกิดความเสียหายอย่างหนักที่เมืองมิยากิ มีไฟไหม้อาคาร และตึกหลายแห่ง โตเกียวทาวเวอร์สูง 333 เมตร เอียงอย่างเห็นได้ชัีด รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการเดินรถไฟใต้ดิน ขณะที่ทางการได้มีการสั่งปิดสนามบินนาริตะแล้ว

          ขณะที่ในเมืองชิบะ ล่าสุดมีรายงานว่า โรงกลั่นน้ำมันในเมืองชิบะเกิดระเบิดขึ้นแล้ว หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ โดยทางการต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทางนิวเคลียร์ แต่ยืนยันว่ายังไม่พบการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือ พื้นที่ใกล้เคียง จึงไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ ขณะเดียวกัน มีรายงานด้วยว่า รถไฟขบวนหนึ่งหายไปและขาดการติดต่อบริเวณจุดที่เกิดสึนามิ ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนผู้โดยสารบนรถไฟขบวนดังกล่าว

          ด้าน นายนาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันถึงผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว ในครั้งนี้ว่า ยังไม่อาจประเมิน หรือยืนยันความเสียหายจากเหตุดังกล่าวได้อย่างชัดเจน แต่ความเสียหายรุนแรงมากสุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น 

          พร้อมกันนี้ รัฐบาลญี่ปุ่น ยังได้ยืนยันถึงความกังวลของประชาชน และนานาชาติ หลังจากเกิดเพลิงไหม้ ที่คลังน้ำมันใกล้ๆ กรุงโตเกียว ว่า ไม่มีสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล และกำลังจะส่งทหารเข้าพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชน รวมถึงเตือนระวังอาฟเตอร์ช็อก ที่จะตามมาอย่างต่อเนื่อง

          นอกจากนี้ ยังมีการเตือนประชาชนชายฝั่งในเกาะกวม, ฟิลิปปินส์, เกาะมาร์แชล, อินโดนีเซีย, ปาปัวนิวกินี, นาอูรู, ไมโครนีเชีย, ฮาวาย, ไต้หวัน, รัสเซีย, เกาะมาเรียน่า ให้เฝ้าระวังคลื่นสึนามิด้วย เช่นเดียวกับที่ ชายฝั่งฮาวาย ออสเตรเลีย รวมถึงอเมริกาใต้ และชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เตรียมพร้อมรับคลื่นที่จะไปถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง

          อย่าง ไรก็ตาม มีรายงานว่า คลื่นสึนามิลูกแรกได้พัดถึงหมู่เกาะคูริล ทางตอนใต้ของประเทศรัสเซียแล้ว ทำให้รัสเซียต้องเร่งอพยพประชาชนกว่า 1 หมื่นคนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ส่วนฟิลิปปินส์ เจอสิึนามิขนาดย่อม 4 ลูก ภายใน 1 ชั่วโมง แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย

           ทางฝั่งประเทศไทย นอ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผอ.ศูนย์เตือนภัย ให้สัมภาษณ์ทางเนชั่นทีวีว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้กิดห่างชายฝั่ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 5,560 กิโลเมตร และประเทศไทยต้องเฝ้าระวัง ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสาร อย่าตื่นตระหนก

          ส่วน นายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า มีคนไทยในอยู่ในเมืองมิยากิ พื้นที่เกิดแผ่นดินไหวราว 300 คน และมีคนไทยในญี่ปุ่นราว 50,000 คน ทั้ง นี้หากญาติต้องการขอความช่วยเหลือสามารถสอบถามที่กรมกงสุล หมายเลข 02-575-1046-9 นอกเวลาราชการ             02-643-5000       หรือ เบอร์สถานฑูตญี่ปุ่นในโตเกียว (81-3) 3441-1386 และ สถานฑูตญี่ปุ่นในโอซากา (81-6) 6262-9226

          ขณะที่ นายบุรินทร์ เวชบันเทิง ผู้อำนวยการส่วนเฝ้าระวังและติดตามแผ่นดินไหวและสึนามิ ว่า จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบด้าน จ.นราธิวาส ในเวลาประมาณ 05.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (12 มีนาคม) นั่นเอง แต่ความรุนแรงไม่เทียบเท่าญี่ปุ่น ที่มีความสูงคลื่นประมาณกว่า 7 เมตร ส่วนชายฝั่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก็อาจได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิเช่นกัน
55  สมาชิก VIP / General Discussion / เผย 20 มหาวิทยาลัยที่ดังที่สุดในโลก เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 04:50:57 PM
เผย 20 มหาวิทยาลัยที่ดังที่สุดในโลก


เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Times Higher Education เปิดเผยผลสำรวจอันดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ซึ่งปรากฎว่ามหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง อันดับ 1 ของโลก คือ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ ขณะที่ปีนี้ญี่ปุ่นติดโผเป็นอันดับที่ 8 และเป็นประเทศเดียวที่ติดโผ 1 ใน 10 อันดับ นอกเหนือจากบรรดามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ และอังกฤษ โดยอันดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกทั้ง 20 อันดับ เป็นดังนี้

 1. มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ

 2. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแมซซาชูเสตต์ สหรัฐฯ
 
 3. มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ อังกฤษ

 4. มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ

 5. มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐฯ

 6. มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด อังกฤษ

 7. มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน สหรัฐฯ

 8. มหาวิทยาลัยโตเกียว ญี่ปุ่น

 9. มหาวิทยาลัยเยล สหรัฐฯ

 10. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ

 11. มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล ลอนดอน

 12. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส สหรัฐฯ

 13. มหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐฯ

 14. มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ สหรัฐฯ

 15. มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐฯ

 16. มหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐฯ

 17. มหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา

 18. มหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น

 19. มหาวิทยาลัยลอนดอน อังกฤษ และ มหาวิทยาลัยแมซซาชูเสตต์ สหรัฐฯ

          สำหรับการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกในครั้งนี้ ทางทีมสำรวจได้ประมวลจากผลสำรวจมหาวิทยาลัยกว่า 13,388 แห่งจาก 131 ประเทศทั่วโลก และจัดอันดับมาเพียง 100 อันดับเท่านั้น ขณะที่ประเทศไทยไม่ได้ติดอันดับ 1 ใน 100 แต่อย่างใด
56  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / สึนามิถล่มญี่ปุ่น 10 เมตร หลังแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 07:47:36 AM
สึนามิถล่มญี่ปุ่น 10 เมตร หลังแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์

รัฐบาลญี่ปุ่น ยืนยัน ไม่มีการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสี หลังเกิดแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ และเกิดสึนามิ ถล่มทางตอนเหนือของประเทศ ส่วนไทยจับตาคลื่นยักษ์เข้าที่ จ.นราธิวาส และประจวบคีรีขันธ์

           เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 11 มีนาคม สำนักข่าวเอพี (AP) รายงานว่า เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น สร้างความเสียหายครอบคลุมพื้นที่วงกว้าง

           โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา 14.46 น. ตามเวลาท้องถิ่น แผ่นดินไหวความรุนแรงถึง 8.9 ริกเตอร์ ได้สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนก่อนที่จะเกิดสึนามิลูกใหญ่สูงกว่า 6 เมตร ขึ้นในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา กวาดเอารถยนต์และบ้านเรือนหลายหลังกลืนหายลงทะเลพร้อมกับเกลียวคลื่น ตามด้วยอาฟเตอร์ช็อกความรุนแรง 7.4 ริกเตอร์อีกครั้ง และล่าสุดคลื่นสึนามิสูงกว่า 10 เมตร ระดับน้ำทะเลยกตัวสูงขึ้นขนาด ชั้น 2 ของอาคาร หลังจากเกิดสึนามิครั้งใหญ่ประมาณ 30 นาทีต่อมา สร้างความเสียหายมหาศาล ส่วนรายงานผู้เสียชีวิตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยังมีผู้สูญหายจำนวนมาก

           สำหรับแผ่นดินไหวครั้งนี้ มีศูนย์กลางห่างจากชายฝั่งของเกาะฮอนชู 150 กิโลเมตร ไปทางตะวันออกของเกาะญี่ปุ่น และเกิดความเสียหายอย่างหนักที่เมืองมิยากิ มีไฟไหม้อาคาร และตึกหลายแห่ง โตเกียวทาวเวอร์สูง 333 เมตร เอียงอย่างเห็นได้ชัีด รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการเดินรถไฟใต้ดิน ขณะที่ทางการได้มีการสั่งปิดสนามบินนาริตะแล้ว

          ขณะที่ในเมืองชิบะ ล่าสุดมีรายงานว่า โรงกลั่นน้ำมันในเมืองชิบะเกิดระเบิดขึ้นแล้ว หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ โดยทางการต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทางนิวเคลียร์ แต่ยืนยันว่ายังไม่พบการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือพื้นที่ใกล้เคียง จึงไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ ขณะเดียวกัน มีรายงานด้วยว่า รถไฟขบวนหนึ่งหายไปและขาดการติดต่อบริเวณจุดที่เกิดสึนามิ ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนผู้โดยสารบนรถไฟขบวนดังกล่าว

          ด้านนายนาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันถึงผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว ในครั้งนี้ว่า ยังไม่อาจประเมิน หรือยืนยันความเสียหายจากเหตุดังกล่าวได้อย่างชัดเจน แต่ความเสียหายรุนแรงมากสุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น 

          พร้อมกันนี้ รัฐบาลญี่ปุ่น ยังได้ยืนยันถึงความกังวลของประชาชน และนานาชาติ หลังจากเกิดเพลิงไหม้ ที่คลังน้ำมันใกล้ๆ กรุงโตเกียว ว่า ไม่มีสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล และกำลังจะส่งทหารเข้าพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชน รวมถึงเตือนระวังอาฟเตอร์ช็อก ที่จะตามมาอย่างต่อเนื่อง

          นอกจากนี้ ยังมีการเตือนประชาชนชายฝั่งในเกาะกวม, ฟิลิปปินส์, เกาะมาร์แชล, อินโดนีเซีย, ปาปัวนิวกินี, นาอูรู, ไมโครนีเชีย, ฮาวาย, ไต้หวัน, รัสเซีย, เกาะมาเรียน่า ให้เฝ้าระวังคลื่นสึนามิด้วย เช่นเดียวกับที่ ชายฝั่งฮาวาย ออสเตรเลีย รวมถึงอเมริกาใต้ และชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เตรียมพร้อมรับคลื่นที่จะไปถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง

          อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า คลื่นสึนามิลูกแรกได้พัดถึงหมู่เกาะคูริล ทางตอนใต้ของประเทศรัสเซียแล้ว ทำให้รัสเซียต้องเร่งอพยพประชาชนกว่า 1 หมื่นคนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ส่วนฟิลิปปินส์ เจอสิึนามิขนาดย่อม 4 ลูก ภายใน 1 ชั่วโมง แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย

           ทางฝั่งประเทศไทย นอ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผอ.ศูนย์เตือนภัย ให้สัมภาษณ์ทางเนชั่นทีวีว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้กิดห่างชายฝั่ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 5,560 กิโลเมตร และประเทศไทยต้องเฝ้าระวัง ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสาร อย่าตื่นตระหนก

          ส่วนนายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า มีคนไทยในอยู่ในเมืองมิยากิ พื้นที่เกิดแผ่นดินไหวราว 300 คน และมีคนไทยในญี่ปุ่นราว 50,000 คน ทั้งนี้หากญาติต้องการขอความช่วยเหลือสามารถสอบถามที่กรมกงสุล หมายเลข 02-575-1046-9 นอกเวลาราชการ 02-643-5000 หรือ เบอร์สถานฑูตญี่ปุ่นในโตเกียว (81-3) 3441-1386 และ สถานฑูตญี่ปุ่นในโอซากา (81-6) 6262-9226

          ขณะที่ นายบุรินทร์ เวชบันเทิง ผู้อำนวยการส่วนเฝ้าระวังและติดตามแผ่นดินไหวและสึนามิ ว่า จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบด้าน จ.นราธิวาส ในเวลาประมาณ 05.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (12 มีนาคม) นั่นเอง แต่ความรุนแรงไม่เทียบเท่าญี่ปุ่น ที่มีความสูงคลื่นประมาณกว่า 7 เมตร ส่วนชายฝั่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก็อาจได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิเช่นกัน
57  สมาชิก VIP / General Discussion / อ่วม! ถ้วนหน้า สินค้า 20 ชนิด ราคาพุ่งพรวด เมื่อ: มีนาคม 10, 2011, 10:18:27 AM
อ่วม! ถ้วนหน้า สินค้า 20 ชนิด ราคาพุ่งพรวด


ชาวบ้านอ่วม! สินค้ากว่า 20 รายการเตรียมขยับราคา "เหล็ก-นม-น้ำมันถั่วเหลือง-ปุ๋ย" เพิ่มแน่หลังอภิปราย ด้านกระทรวงพาณิชย์ สั่งทุกหน่วยงานดูขายข้าว ไม่ให้กดราคาเกษตรกร พร้อมตั้งโต๊ะรับซื้อข้าว แทรกแซงราคาตลาด หากยังได้ราคาต่ำ

         ประชาชนเตรียมกระอักอีกรอบ หลังมีข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า เตรียมเรียกประชุมผู้ประกอบการสินค้าทุกกลุ่มกว่า 200 ราย มาหารือถึงสถานการณ์ต้นทุนสินค้าในเร็ว ๆ นี้ ก่อนมาตรการตรึงราคาสินค้าจะหมดลงในวันที่ 31 มีนาคม และจะไม่มีการต่ออายุ โดยมีสินค้าประมาณ 10% ต้นทุนสูงขึ้น แต่การอนุมัติให้ปรับราคานั้นจะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ไม่ให้กระทบประชาชนมากจนเกินไป

         สำหรับสินค้าที่คาดว่าจะมีการปรับราคาคือ กลุ่มเหล็ก ที่ไม่ได้ปรับมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 น้ำมันถั่วเหลืองบรรจุขวด นมสดพาสเจอไรซ์ และปุ๋ยเคมี ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติปรับขึ้นหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นช่วงกลางเดือนนี้ 

         ทางด้าน นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ยอมรับว่า กลุ่มเหล็กได้ยื่นเรื่องของปรับราคา เช่นเดียวกับปลากระป๋อง ซึ่งต้องพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยได้สั่งการให้กรมการค้าภายในทำการศึกษาโครงสร้างต้นทุนรายการสินค้าเป็นรายตัวแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมในการพิจารณาปรับราคาหากยื่นเข้ามา โดยมีสินค้าเพียง 10%  เท่านั้นที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น

         พร้อมกันนี้ นางพรทิวา ยังกล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพากรมการค้าภายใน เข้าไปดูแลปัญหาการกดราคาขายข้าว โดยจะให้ทุกโรงสีมีการติดป้ายบอกราคาที่ชัดเจน รวมไปถึง ป้ายวัดความชื้น เพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบเกษตรกรในการนำเข้าไปขาย อย่างไรก็ตาม จะมีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิดในการลงพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น

         รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การแก้ไขปัญหาหากยังไม่ดีขึ้นนั้น และยังพบการกดราคาเพิ่มขึ้น ทางกระทรวงพาณิชย์จะมีการตั้งโต๊ะรับซื้อข้าว เพื่อแทรกแซงราคาในตลาดต่อไป
58  สมาชิก VIP / General Discussion / เผยคนไทยเป็นมะเร็งท่อน้ำดีมากที่สุดในโลก เมื่อ: มีนาคม 10, 2011, 10:16:26 AM
เผยคนไทยเป็นมะเร็งท่อน้ำดีมากที่สุดในโลก

สธ.เผยพบคนไทยป่วยมะเร็งท่อน้ำดีมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะในขอนแก่น สาเหตุจากกินปลาน้ำจืดดิบ ๆ จนได้รับพยาธิใบไม้ตับ

          น.พ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนานานาชาติ "96 ปีโรคใบไม้ในตับ" ว่า ใน 2 ปีที่ผ่านมาพบคนไทยป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับร้อยละ 8.7 โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด คือร้อยละ 18.6 ตามมาด้วยภาคเหนือ ร้อยละ 10

          น.พ.มานิต กล่าวต่อว่า สำหรับสาเหตุของพยาธิใบไม้ตับ เกิดจากการรับประทานอาหารประเภทปลาน้ำจืดดิบ ๆ หรือที่มีตัวอ่อนของหนอนพยาธิ Opisthorchisviverrini ซึ่งพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ หากคน สุนัข หรือแมว รับประทานเข้าไปแล้ว แล้วถ่ายอุจจาระลงในแม่น้ำ ก็อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้

          ด้าน ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและการถ่ายทอดเทคโนโลยี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า พบชาวภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ตับจำนวนมาก โดยเฉพาะในบางพื้นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีผู้ติดเชื้อสูงถึง 85% ซึ่งพยาธิใบไม้ตับจะเข้าไปอาศัยอยู่ในท่อน้ำดี ทำให้เกิดโรคท่อทางเดินน้ำดีหลายชนิด รวมทั้งโรคมะเร็งท่อน้ำดีด้วย

          สำหรับประเทศไทยเอง มีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดีสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก มีผู้เสียชีวิตถึงปีละ 28,000 คน หรือประมาณ 80 คนต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่น ๆ เช่น มะเร็งปากมดลูกที่มีอัตราการเสียชีวิต 6 คนต่อวัน ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นคนจนในชนบทที่นิยมบริโภคปลาน้ำจืดดิบ ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดขอนแก่นที่มีรายงานว่า เป็นพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี สูงที่สุดในโลก และยังเป็นพื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งท่อน้ำดี อันมีสาเหตุมาจากพยาธิใบไม้ตับมากที่สุดในโลกด้วย

          ศ.นพ.สุทธิพันธ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องจากหน่วยงานสาธารณสุขไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหานี้ โดยได้จัดโครงการ "แก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี" นำร่อง 48 หมู่บ้านในจังหวัดขอนแก่น จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมกับมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการในแวดวงสัมมนา และหาแนวทางแก้ไขปัญหาการเกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ ที่นำไปสู่โรคมะเร็งท่อน้ำดี เพื่อหวังจะลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวอย่างจริงจัง

          ทั้งนี้ สำหรับการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับนั้น ไม่ควรกินปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดแบบสุก ๆ ดิบ ๆ เด็ดขาด เพราะหากได้รับเชื้อพยาธิใบไม้ตับเข้าไป พยาธิจะเข้าไปทำลายท่อน้ำดี แม้จะทานยาถ่ายพยาธิเข้าไปก็ไม่ได้หมายความว่า จะปลอดภัยจากโรคมะเร็งตับ นอกจากนี้ ควรขับถ่ายในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ เพราะหากขับถ่ายลงแม่น้ำลำคลอง อาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อต่อไปได้ง่าย
59  สมาชิก VIP / General Discussion / ผลสำรวจหญิงไทยครองแชมป์ ผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก เมื่อ: มีนาคม 09, 2011, 02:02:20 PM
ผลสำรวจหญิงไทยครองแชมป์ ผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก


แกรนท์ ธอร์นตัน เผยผลสำรวจจาก 39 ประเทศทั่วโลก ผู้หญิงไทยติดอันดับหนึ่งในการดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก หรือคิดเป็นร้อยละ 45% โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บริหารด้านการเงิน ส่วนหนึ่งเพราะสังคมเริ่มเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น

          นางอัจฉรา บุณยหรรษา ผู้อำนวยการ แกรนท์ ธอร์นตัน ประเทศไทย กล่าวว่า จากผลสำรวจครั้งก่อนเมื่อปี 2009 (สำรวจ 2 ปีครั้งเพื่อให้ได้ตัวเลขที่แน่นอน) นั้น ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 3 ของโลก โดยคิดเป็นอัตราส่วน 38% แต่ในปีนี้ประเทศไทยขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 1 ของโลกหรือคิดเป็นร้อยละ 45% และเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย 

          สาเหตุที่ผู้หญิงไทยครองแชมป์อันดับหนึ่งในตำแหน่งนี้ เนื่องจากในปัจจุบันสังคมไทยเปิดโอกาสให้ผู้หญิง และให้ความเชื่อมั่นในตัวผู้หญิงมากขึ้น โดยมองว่าผู้หญิงและผู้ชายมีความทัดเทียมซึ่งกันและกัน ส่วนหนึ่งมาจากการรับวัฒนธรรมจากต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทย จึงทำให้คนไทยเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมากขึ้น ประกอบกับเรื่องของเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลง จึงทำให้ผู้หญิงมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับงาน และผู้หญิงยังเปิดโอกาสให้ตนเองได้ศึกษาในระดับที่สูงขึ้น จึงมีโอกาสสอบเทียบเลื่อนชั้นในระดับสูง ๆ มากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้การที่ผู้หญิงไทยมีสถานภาพโสดหรือมีครอบครัวช้า ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงไทยสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้เช่นกัน

          ส่วนตำแหน่งที่ผู้หญิงไทยสามารถเข้าไปอยู่ในระดับที่สูงนั้นได้แก่ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทางการเงิน เช่น ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการเงินหรือผู้อำนวยการฝ่ายเงิน (22%) รองลงมาเป็นตำแหน่งฝ่ายทรัพยากรบุคคล (20%) หรือบริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด และผู้อำนวยการฝ่ายการขาย (9% ทั้งสองตำแหน่ง) สาเหตุที่ผู้หญิงสามารถดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงดังกล่าวนั้น เป็นเพราะผู้หญิงไทยนั้นค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน รอบคอบและมีความอดทน สามารถทำงานภายใต้สถานการณ์ที่กดดันต่าง ๆ ได้ ประกอบกับตำแหน่งที่กล่าวมาเป็นงานที่ค่อนข้างต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและความอดทนเป็นหลัก เช่นงานด้านเงิน หรือฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานอยู่เป็นประจำ นางอัจฉรากล่าว ส่วนหน่วยงานหรือองค์กรที่ผู้หญิงสามารถเป็นผู้บริหารระดับสูงได้นั้นส่วนมากจะเป็นองค์กรเอกชน ส่วนหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่น ๆ ก็เริ่มที่จะเห็นผู้หญิงเข้ามามีบทบาทตามมามากยิ่งขึ้น

          สำหรับ 3 ประเทศที่มีอัตราส่วนผู้หญิงดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงน้อยที่สุดนั้นได้แก่ ญี่ปุ่น (8%) อินเดีย (9%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (8%) นางอัจฉราได้เผยในมุมมองของตนว่า เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากประเทศอื่น เช่น การที่ผู้หญิงต้องอยู่กับบ้านคอยดูแลครอบครัว ทำให้การทำงานของผู้หญิงต้องหยุดชะงัก และไม่สามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ พูดง่าย ๆ ว่า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง รวมถึงเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำลง ทำให้เกิดการจ้างงานที่ลดลง จึงทำให้ไม่พบผู้หญิงดำรงตำแหน่งระดับสูงในประเทศเหล่านี้

          แนวโน้มในอนาคตนั้นนางอัจฉราเผยว่า อัตราของการที่ผู้หญิงไทยจะดำรงตำแหน่งในระดับสูง โดยมุมมองส่วนตัวมองว่า ประเทศจะยังคงอยู่ในอันดับหนึ่งของโลก หรือคิดเป็นร้อยละ 45% อาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ประมาณ 1-2% เท่านั้น ซึ่งระดับดังกล่าวถือเป็นระดับที่กำลังดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป และที่สำคัญปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวบอกว่าประเทศไทยจะสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้หรือไม่

          ขณะเดียวกันหากประเทศไทยต้องการรักษาอันดับแชมป์อันดับหนึ่งต่อไปนั้น นางอัจฉรากล่าวว่า อย่างแรกหลาย ๆ หน่วยงานโดยเฉพาะองค์กรใหญ่ควรเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับผู้หญิงให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการผ่อนปรนในการทำงาน เช่น ควรให้มีวันหยุดหรือเวลาดูแลครอบครัวบ้างตามสมควร นอกจากนี้การมีห้องพักเพื่อดูแลเด็กอ่อน หรือเด็กที่อยู่ในระดับก่อนเข้าอนุบาลของพนักงานนั้น ก็จะช่วยให้ผู้หญิงทำงานได้สะดวกและคล่องตัวขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลดีให้ผู้หญิงสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และผู้หญิงเองควรศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญต้องรู้จักเข้าสังคมเพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ของผู้หญิงให้กว้าง เพื่อนำไปสู่การทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นต่อไป
60  สมาชิก VIP / General Discussion / ศิลปะการบอกปฏิเสธ เมื่อ: มีนาคม 09, 2011, 01:35:39 PM
ศิลปะการบอกปฏิเสธ


สภาพแวดล้อมในการทำงานที่เลวร้ายที่สุด คือ การมีประเด็นปัญหาที่ไม่ได้แก้ไข เพราะไม่มีใครที่กล้าพอที่จะพูดออกมาตรง ๆ การบอกปฏิเสธจึงถือเป็นการสร้างสรรค์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่ต้องทำอย่างมีศิลปะ...ต่อไปนี้คือแนวทางบางประการของการบอกปฏิเสธอย่างมีศิลปะ

            บอกทันที ถ้าคุณกำลังจะบอกปฏิเสธ บอกมันออกมาทันที ยิ่งใครบางคนคิดว่าเธอจะได้คำตอบรับนานเท่าไหร่ คำปฏิเสธก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น
       
            ปฏิเสธไอเดีย ไม่ใช่บุคคล นี่อาจเป็นเรื่องง่าย ๆ เพียงแค่การใช้คำอื่นแทนคำว่า "คุณ" เช่น  "ฉันไม่คิดว่าวิธีการนี้จะดีเท่ากับอีกวิธีหนึ่ง" แทนจะพูดว่า "ฉันไม่คิดว่าไอเดียของคุณจะได้ผลนะ"
       
            เรียนรู้วิธีการพูด ทุกองค์กรมีวัฒนธรรมของตัวเอง และการพูดคำว่า "ไม่" ก็ย่อมต่างกัน ในบริษัทใหม่ ๆ สิ่งสำคัญ คือ ความรวดเร็ว ฉะนั้น อะไรก็ตามที่เร็วที่สุด รวมทั้งความตรงไปตรงมาที่อาจหยาบคายในที่อื่น จะถือว่าดีที่สุด คุณสามารถบอกว่า "ไม่ ฉันไม่ชอบไอเดียนี้" และจะไม่มีใครตีโพยตีพายเกินกว่าเหตุ

           แต่ในองค์กรการกุศล ซึ่งงานส่วนใหญ่ทำโดยอาสาสมัครที่ต้องรู้สึกประทับใจจึงจะทำงานต่อไปได้เรื่อย ๆ คำปฏิเสธควรจะบอกอย่างอ้อม ๆ "ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณชอบไอเดียนี้ แต่นี่คือวิธีการที่ฉันอยากจะทำ" ซึ่งก็หมายความว่า "ฉันเกลียดไอเดียนี้ แต่ไม่อยากให้คุณหงุดหงิด" ยิ่งคุณพูดได้ใกล้เคียงกับวัฒนธรรมของแต่ละองค์กรมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งง่ายขึ้นมากเท่านั้นที่คนอื่นจะฟังคุณ
       
            เรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด บางครั้งเมื่อเราบอกว่าไม่ เรามักจะตามด้วยคำอธิบายที่มากมายจนเกินไป ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้คนอื่นไม่หงุดหงิด แต่ความจริงก็คือคนเราไม่อยากได้ยินคำว่าไม่ ไม่ว่าคุณจะอธิบายยังไงก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้มันจบลงไปได้ บ่อยครั้งสิ่งที่ดีที่สุดทีคุณทำได้ก็คือการบอกว่า "เสียใจนะคะ แต่ฉันคิดว่าไอเดียนี้คงไม่ได้ผลหรอก" แล้วก็ก้าวต่อไปยังเรื่องอื่นราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ซึ่งโอกาสที่เป็นไปได้ก็คือ มันจะไม่กลายเป็นเช่นนั้น
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10

Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!