***ข่าวที่ทำให้ค่าเงินยูโรขึ้น และต่อมาลงปรับฐาน พร้อมทะยานขึ้นต่อ มีดังนี้ ค่ะ…
* ยูโรพุ่งหลังธนาคารกลางยุโรปตรึงดอกเบี้ย-การค้าจีนไม่ถูกกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป:
ศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 07:48:46 น.
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรปมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ และยังเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรเพื่อคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ ยูโรยังได้แรงหนุนจากจีนที่รายงานยอดส่งออกแข็งแกร่งและยืนยันว่าวิกฤตการเงินในยุโรปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าของจีน
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 1.21% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ระดับ 1.2130 ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.1985 ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ดีดตัวขึ้น 1.22% แตะที่ 1.4711 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4533 ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 91.260 เยน แต่ร่วงลง 0.55% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1417 ฟรังค์ จากระดับ 1.1480 ฟรังค์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 2.72% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 0.8503 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพุธที่ 0.8278 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนดพุ่งขึ้น 2.49% สู่ระดับ 0.6872 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6705 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในทิศทางของสกุลเงินยูโรมากขึ้น เมื่อนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว
โดยการแสดงความคิดเห็นของนายหลี่มีขึ้นหลังจากสำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้
ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 1% ในการประชุมเมื่อเย็นวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ โดยอีซีบียังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรและจัดหาวงเงินกู้ฉุกเฉินระยะ 3 เดือนให้กับธนาคารพาณิชย์ในยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายวิกฤตหนี้
นอกจากนี้ อีซีบีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน หรือ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม อีซีบียอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนในปีหน้าไม่ค่อยดีนัก
ค่าเงินปอนด์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากธนาคารกลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกันนี้ ธนาคารกลางยังได้ตัดสินใจที่จะไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมภายใต้โครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของตลาด
ทั้งนี้ ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า แบงก์ชาติอังกฤษจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกระทั่งปีหน้า หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยตรึงอยู่ที่ระดับ 0.5% มาตั้งแต่เดือนมี.ค.2552
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่ทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย. ขณะที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนมิ.ย.
……………………………………………………………………………….
***ข่าวที่ทำให้น้ำมันขึ้น และต่อมาลงปรับฐาน พร้อมทะยานขึ้นต่อ มีดังนี้ ค่ะ…
* ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: น้ำมันดิบปิดบวก $1.10 หลังข้อมูลชี้เศรษฐกิจโลกแข็งแกร่ง
ศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 07:04:21 น.
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกและดีมานด์พลังงานมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หลังจากนานาประเทศรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส รวมถึงจีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบที่ร่วงลงของสหรัฐ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2.32 เซนต์ ปิดที่ 2.0328 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ดีดขึ้น 3.08 เซนต์ ปิดที่ 2.0582 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.02 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากทั้งจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยเมื่อวานนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน
ขณะที่สำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้
สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลียเปิดเผยว่า ภาคเอกชนของออสเตรเลียมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 26,900 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ช่วยหนุนตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงในช่วงไตรมาสแรกของญี่ปุ่น ขยายตัวในอัตรา 5.0% ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่าขยายตัว 4.9% และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.2%
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อนายนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับรายงานคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานสากล (ไอเอีเอ) ที่ระบุว่า ดีมาน์น้ำมันในตลาดโลกปี 2553 จะเพิ่มขึ้น 1.68 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 2% เป็น 86.44 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับ 84.76 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่สุดของโลก ได้ช่วยหนุนให้การใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 60,000 บาร์เรลจากคาดการณ์ในเดือนที่แล้ว
ไออีเอระบุว่า ความต้องการน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังคงมาจากตลาดเกิดใหม่มากที่สุด โดยเฉพาะความต้องการจากจีน ซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก
นอกจากนี้ ไออีเอยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบีพีระเบิดและจมลงจนทำให้น้ำมันปริมาณมหาศาลไหลทะลักลงสู่อ่าวเม็กซิโกว่า อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนของอุปทานน้ำมัน เนื่องจากอาจมีการควบคุมการขุดเจาะน้ำมันใต้ทะเลให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในอนาคต ซึ่งก็จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันลดลง
...................................................................
(ขอขอบพระคุณข่าวจาก อินโฟเควสท์ )
