TARADTHONG.COM
เมษายน 20, 2024, 01:58:30 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 [3] 4
31  สมาชิก VIP / General Discussion / อาหารแสลง ห้ามกินเมื่อป่วย 10 โรคต่อไปนี้ เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 05:12:47 PM
อาหารแสลง ห้ามกินเมื่อป่วย 10 โรคต่อไปนี้



อาหารแสลง คือ อาหารที่จะทำให้อาการป่วยของโรคนั้นๆ ทรุดหนักขึ้นเมื่อเราทาน อาหารแสลง นั้นเข้าไป ฉะนั้นเมื่อเวลาที่เราเป็นโรคอะไรสักอย่างก็มักจะมีการห้ามทาน อาหารแสลง นั้นๆ ขึ้นมาเพื่อไม่ให้โรคนั้นเป็นหนักขึ้นหรือรุกรามไปมากกว่าที่เป็นอยู่นั้น เองค่ะ และวันนี้เราก็มีคำแนะนำเกี่ยวกับ อาหารแสลงห้ามกินเมื่อป่วย อีกด้วยค่ะ ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้จะห้ามอาหารแสลงอะไรบ้างก็มาดูกันได้เลยค่ะว่าอาหารแสลงของแต่ละ โรคนั้นมีอะไรกันบ้างเอ่ยที่ห้ามกิน

"อาหารแสลง" ห้ามกินเมื่อป่วย

1. เป็นไข้หวัด มีไข้สูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสมเปรียบเสมือนอาหารเชื้อเพลิงหรือเป็นการเติมน้ำมัน เข้าไปในกองไฟ


2. โรคกระเพาะ
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและเป็นอาหารที่ย่อยง่าย


3. โรคความดันเลือดสูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันอาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกายและความชื้นก็มีผลก็ ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูงนอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน


4. โรคตับและถุงน้ำดี
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่าตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง


5. โรคหัวใจและโรคไต
ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำการไหลเวียนเลือดจะ ช้าทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน


6. โรคเบาหวาน
หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานหรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด


7. นอนไม่หลับ
หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ไม่ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับสนิท


8. โรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะให้ท้องผูก หลอดเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ


9. ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาการผิวหนังกำเริบ


10. สิวหรือต่อมไขมันอักเสบ
งดอาหารเผ็ดและมันเพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนังขนตามร่างกายทำให้เกิดสิว
32  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / หลักเกณฑ์สำหรับการนำเข้าหรือการขายทองคำ โดยกรมสรรพากร เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2011, 05:17:10 PM
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เรื่อง    กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข สำหรับการนำเข้าหรือการขายทองคำ เฉพาะที่ยังมิได้ประกอบขึ้นเป็นทองรูปพรรณ หรือของรูปพรรณของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
 
---------------------------------------------
 
                อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 311) พ.ศ. 2540 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 367) พ.ศ. 2543 อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับการนำเข้าหรือการขายทองคำ เฉพาะที่ยังมิได้ประกอบขึ้นเป็นทองรูปพรรณหรือของรูปพรรณของผู้ประกอบการจดทะเบียน ที่จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มดังต่อไปนี้
 
                "ข้อ 1   ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งคำนวณเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ที่มีความประสงค์จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากการ นำเข้าหรือการขายทองคำ เฉพาะที่ยังมิได้ประกอบขึ้นเป็นทองรูปพรรณหรือของรูปพรรณต้องแจ้งการประกอบกิจการค้าทองคำต่ออธิบดีกรมสรรพากรตามแบบแจ้งการประกอบกิจการค้าทองคำตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ โดยยื่นผ่านสรรพากรพื้นที่ในเขตท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
                           กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง มีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้แจ้งการประกอบกิจการค้าทองคำเป็นรายสถานประกอบการ ทั้งนี้ ไม่ว่า ผู้ประกอบการจดทะเบียนดังกล่าวจะได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีรวมกันหรือไม่ก็ตาม โดยยื่นผ่านสรรพากรพื้นที่ในเขตท้องที่ที่สถานประกอบการที่เป็นสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่"
( แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2545 ใช้บังคับ 11 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป )
 
                ข้อ 2  ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่แจ้งความประสงค์ตามข้อ 1 จะต้องเป็นผู้นำเข้าหรือขายทองคำเฉพาะที่ยังมิได้ประกอบขึ้นเป็นทองรูปพรรณหรือของรูปพรรณโดยทองคำดังกล่าวต้องมีน้ำหนักเนื้อทองไม่น้อยกว่าร้อยละ 96.5
 
                ข้อ 3  ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่แจ้งความประสงค์ตามข้อ 1 และมีการนำเข้าหรือขายทองคำตามข้อ 2 จะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานดังนี้
                           (1) กรณีเป็นผู้นำเข้า จะต้องแสดงเอกสารหรือหลักฐานเกี่ยวกับการนำเข้าต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ในเวลายื่นใบขนสินค้าเพื่อผ่านพิธีการศุลกากร และ จะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานจากผู้ขายในต่างประเทศว่า ผู้นำเข้าเป็นผู้ซื้อทองคำดังกล่าวจากผู้ขายในต่างประเทศ
                           (2) กรณีเป็นผู้ขายทองคำ จะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงการเป็นสมาชิกของสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการค้าทองคำหรืออัญมณี สมาคมใดสมาคมหนึ่ง
                           เอกสารหรือหลักฐานตาม (1) และ (2) จะต้องเก็บรักษาไว้ ณ สถานประกอบการของผู้ประกอบการจดทะเบียนพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานสรรพากรตรวจสอบได้
 
                ข้อ 4  ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่แจ้งความประสงค์ตามข้อ 1 จะต้องจัดทำรายงานค้าทองคำตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
 
                ข้อ 5  ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2543 เป็นต้นไป
 
ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2543
 
ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ
อธิบดีกรมสรรพากร
33  สมาชิก VIP / General Discussion / คอลเล็คชั่นสัตว์เลี้ยงสตั๊ฟ เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2011, 05:12:11 PM
คอลเล็คชั่นสัตว์เลี้ยงสตั๊ฟ



ใคร ๆ ที่เป็นนักสะสมก็คงมีของสะสมต่าง ๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็น แสตมป์ เหรียญ เครื่องประดับ หรืออะไรต่าง ๆ นานา แล้วแต่ใจจะนึก แต่คิดว่าคงไม่มีใครมีของสะสมแปลกแบบ บารอน จอร์ช แฮส ผู้เป็นเจ้าของคนสุดท้ายของปราสาทบิทอพ ในสาธารณรัฐเช็ก ตามรายงานของเว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ เพราะคอลเล็คชั่นสะสมของท่านบารอนคนนี้ ก็คือร่างของบรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหลายที่เคยเลี้ยงไว้แล้วนำมาสตั๊ฟนั่นเอง ซึ่งมีตั้งแต่เสือ นางสิงห์ หมี และที่เยอะที่สุดเห็นจะเป็นบรรดาเพื่อนสี่ขาผู้ซื่อสัตย์อย่างเจ้าตูบ ซึ่งมีถึง 51 ตัวเลยทีเดียว !!



         สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเยี่ยมชม หากใครเป็นคนขวัญอ่อนก็คงจะต้องตั้งสติให้ดีสักนิด เพราะในปราสาทของ บารอน จอร์จ แฮส เต็มไปด้วยคอลเล็คชั่นของสะสมที่คนจะมองว่าสวยก็ได้ หรือบ้างก็อาจจะว่าประหลาดและน่ากลัวไปสักหน่อย โดยในปราสาทเต็มไปด้วยบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่บารอนเลี้ยงเอาไว้ แต่ใช่ว่าพวกมันจะมีชีวิตเดินขวักไขว่ให้เราได้เข้าไปหยอกล้อเล่น กลับกันเจ้าสัตว์เหล่านี้กลับอยู่ในอิริยาบถเดิม ซึ่งค้างนิ่งไว้เช่นนี้มานานนับสิบ ๆ ปีแล้วทีเดียว



          ตามรายงานระบุว่า บารอน ได้เริ่มสะสมคอลเล็คชั่นสตั๊ฟสัตว์เลี้ยงสุดรักแสนประหลาดนี้ตั้งแต่ช่วงปี 1940 (พ.ศ. 2483) โดยเฉพาะเจ้าตูบสายพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งมีถึง 51 ตัว โดยแต่ละตัวอยู่ในท่าทางต่าง ๆ บ้างหมอบนอน บ้างก็นั่งเชิดคอราวกับกำลังรอคอยนายผู้เป็นที่รักให้เข้ามาลูบหัวทักทาย แม้จะเป็นวันที่ไม่มีโอกาสมาถึงแล้วก็ตาม



        ทั้งนี้ เมื่อครั้ง บารอนยังมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่าเขาได้แปลสภาพปราสาทบิทอพแห่งนี้ให้เป็นสวนสัตว์ส่วนตัว ที่รวบรวมบรรดาสัตว์ต่าง ๆ นานา มากมายมาไว้ด้วยกัน เมื่อสัตว์เลี้ยงสุดที่รักเสียชีวิตลง บารอนจะฝังร่างของมันเอาไว้ในบริเวณปราสาท ปักไม้กางเขน และทำป้ายโลหะซึ่งสลักชื่อมันติดเอาไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึง แต่บางตัวก็พิเศษกว่านั้น เมื่อมันถูกส่งไปสตั๊ฟโดยช่างฝีมือในท้องถิ่น เพื่อเก็บเอาไว้เป็นคอลเล็คชั่น โดยเฉพาะบรรดาเจ้าตูบทั้งหลายที่ถูกส่งร่างไปสตั๊ฟนั้น มีหลากสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น สเปเนียล เทอเรียร์ พุดเดิ้ล บ็อกเซอร์ ฯลฯ



        แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ บารอน จอร์ช แฮส ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมคอลเล็คชั่นสุดที่รักของเขานานนัก เพราะเขายืนอยู่ข้างเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อผลปรากฏว่าเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ บารอน จึงถูกทางการเช็ค ซึ่งในตอนนั้นเป็นเชกโกสโลวะเกียบีบให้ออกนอกประเทศ ทำให้เขาต้องละทิ้งปราสาทและสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักทั้งหลายไป โดยสุดท้ายก็พบว่า บารอน เสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย



       แม้เหล่าเจ้าตูบและสัตว์อื่น ๆ ที่ถูกสตั๊ฟเอาไว้ จะไม่จำเป็นต้องให้อาหาร แต่พวกมันก็ต้องการการดูแลรักษาเช่นกัน โดยในตอนนี้หน้าที่ในการบำรุงรักษาเป็นของนายคัน ไบเดอร์ ผู้ดูแลปราสาทนั่นเอง โดยสัตว์แต่ละตัวจะมีป้ายชื่อโลหะของตัวเอง เพื่อบอกว่ามันชื่ออะไร และเป็นสายพันธุ์ไหนด้วย



      ปัจจุบันนี้เจ้าตูบทั้ง 51 ตัว ก็ยังคงนอนหมอบ และนั่งเชิดคอในท่าทางเดิมที่มันเคยเป็นมานับสิบ ๆ ปี อยู่ที่ปราสาทบิทอพ สาธารณรัฐเช็ค เช่นเดิม แม้ผู้เป็นนายจะไม่มีวันกลับมาแล้ว แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวแวะไปเที่ยวชมอยู่เนือง ๆ  แต่ถ้าเกิดใครได้ไปดูตอนมืด ๆ ล่ะก็ไม่รู้จะมีผวากันบ้างหรือเปล่าเนอะ โฮ่งๆ !!
34  สมาชิก VIP / General Discussion / เยอรมันสั่งห้าม ฟัว กราส์ ในเทศกาลอาหาร ชี้ทารุณสัตว์ เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2011, 05:07:22 PM
เยอรมันสั่งห้าม ฟัว กราส์ ในเทศกาลอาหาร ชี้ทารุณสัตว์



คณะผู้จัดงานเทศกาลอาหารชื่อดังของ เยอรมนี มีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการนำ "ฟัว กราส์" หรือตับห่าน เมนูอาหารชื่อดังของฝรั่งเศส มาร่วมแสดงในเทศกาลอย่างเด็ดขาด ท่ามกลางความไม่พอใจในหมู่ผู้ผลิตอาหารชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างยิ่ง

          โดยเทศกาลอาหารอานูก้า ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองโคโลญจ์ ประเทศเยอรมนีในเดือนตุลาคมนี้ อ้างคำกล่าวของกลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ที่ว่า การผลิตฟัว กราส์ มีกระบวนการที่บ่งชี้ว่ามีการกระทำทารุณต่อสัตว์ โดยจะบังคับให้ห่านหรือเป็ด กินอาหารโดยที่พวกมันไม่เต็มใจ เพื่อให้ตับของมันเต็มไปด้วยไขมันมากกว่าปกติ โดยพวกมันต้องกลืนอาหารจากท่อที่ต่อเข้ากับปากของมัน เพื่อให้ตับมีขนาดใหญ่มากกว่าปกติประมาณ 10 เท่า ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถูกสั่งห้ามในเยอรมนีแล้ว แม้ว่าจะมีการบริโภคตับห่านอย่างแพร่หลายก็ตาม แต่จากข้อห้ามดังกล่าวจึงสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ผู้ผลิตอาหารชนิดนี้ในฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก

          ด้านนายบรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีเกษตรของฝรั่งเศส ได้ส่งจดหมายร้องเรียนไปยังนางอิลเซ แอ็คเนอร์ รัฐมนตรีเกษตรเยอรมนี เพื่อให้มีการยกเลิกข้อห้ามดังกล่าว โดยกล่าวว่า เทศกาลครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายจะได้พบปะกับผู้บริโภคโดยตรง และหากเยอรมนียังคงยืนยันคำสั่งเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เห็นว่าควรจะไปร่วมงานนี้แต่อย่างใด

          ทั้งนี้ มีเป็ดราว 37 ล้านตัว และห่านประมาณ 7 แสนตัว ที่ถูกเชือดเพื่อนำตับของมันไปประกอบอาหาร การบังคับให้สัตว์ดังกล่าวกินอาหาร ซึ่งชาวอียิปต์ปฏิบัติกันมาช้านานแล้ว ตั้งแต่ราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล และสำหรับประเทศฝรั่งเศส "ฟัว กราส์" คือส่วนหนึ่งของมรดกทางด้านวัฒนธรรมและศิลปะการรับประทานอาหารของฝรั่งเศส อีกทั้ง ฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ผลิตฟัว กราส์ รายใหญ่กว่าร้อยละ 75 ของทั่วโลกอีกด้วย
35  สมาชิก VIP / General Discussion / ตะลุยภูเก็ต ตะลอนชมเมือง เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2011, 08:28:09 AM
ตะลุยภูเก็ต ตะลอนชมเมือง



ตะลุยภูเก็ต ตอนที่ 1 (ขับรถกินลม ตะลอนชมรอบเมือง) (e-magazine)

          เมื่อช่วงพรรษามาเยี่ยมเยือน แน่นอนว่าชาวพุทธหลายคนคงมีโอกาสได้ออกจากบ้าน แล้วไปร่วมงานอุปสมบท ซึ่งไม่ว่าจะใกล้หรือไกลเราก็พร้อมยิ้มรับ และไม่เคยปริปากบ่น ยิ่งได้ไปที่จังหวัดไกล ๆ ด้วยแล้ว ต้องบอกเลยว่า เหมือนได้โชคสองชั้น เพราะทั้งเที่ยวทั้งทำบุญ โอ้ยยย…ความสุขเริ่มมาเยือน

          สำหรับการเดินทางไปร่วมงานบุญงานกุศลในครั้งนี้ พวกเราได้ไปกันไกลถึงจังหวัด "ภูเก็ต" โดยออกสตาร์ทด้วยเรือบินลำใหญ่จากเมืองหลวง ที่แล่นมาลงจอดในท่าอากาศยานนานาชาติของภูเก็ต ซึ่งถ้าคุณมีโอกาสบินในช่วงหัวค่ำเช่นเรา ขอบอกเลยว่า จงเพ่งดูวิวสวย ๆ จากบนฟากฟ้ากันให้ดี เพราะแสงไฟในยามค่ำคืนที่จังหวัดภูเก็ตช่างสวยงามและระยิบระยับ สมกับเป็นหนึ่งของเมืองท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติต้องยอมซูฮก



          หลังจากข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลและได้นอนหลับพักผ่อนเพื่อชาร์ตแรงกาย เช้าวันรุ่งก็ถึงคิวของ "เสี่ยวโบ๋ย" อาหารเช้าของคนภูเก็ต ที่รับรองเลยว่า ถ้าได้ชิมแล้วก็ต้องติดใจกับรสชาติอันหลากหลาย ซึ่งเมื่อก้นหย่อนลงเก้าอี้ เด็กเสิร์ฟหน้าตาสะสวย ก็จะยกบรรดาติ่มซำหลากชนิดเป็นสิบ ๆ ถ้วยมาวางบนโต๊ะทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเรียกหาเมนู โดยเจ้าถิ่นได้บอกกับเราว่า ถ้าไม่กินก็ตั้งทิ้งไว้ ไม่มีคิดเงินแน่นอน



          สำหรับติ่มซำของคนภูเก็ตเขา จะไม่รับประทานคู่กับจิ๊กโฉ่วอย่างที่เรา ๆ คุ้นเคย เพราะคนที่นี่มีน้ำจิ้มรสเด็ดก็ตรงที่แซมความหวานนิดเปรี้ยวหน่อย คล้ายซอสพริกตามร้านฟาสต์ฟู้ดมาเป็นซอสจิ้ม ซึ่งถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ อย่าลืมตะโกนสั่ง "หมี่สั่ว" อีกหนึ่งเมนูเด็ดที่มีรสชาติกลมกล่อม หมี่เส้นขาวบาง ๆ น้ำซุปกระดูกหมูหอม ๆ โรยหน้าด้วยขิงซอยและต้นหอม แถมท้ายอีกนิดกับไข่ลวกนิ่ม ๆ แหม…นึกแล้วอยากกลับไปกินอีกรอบ



          เติมแรงกันจนหนังท้องเริ่มตึงแล้ว ก็ถึงคงเวลาที่จะออกตระเวนรอบเกาะ เพื่อเสพความงามของเมืองแห่งขุนเขาและท้องทะเล โดยการเดินทางสำหรับผู้ที่ไม่ได้เช่ารถ เราขอแนะนำให้เหมารถสองแถว หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า "โพท้อง" ในราคา 1,500 บาท ซึ่งอาจจะแพงไปสักนิด แต่ถ้าจะให้ดีแบบเซฟสุด ๆ ลองมองหาคนรู้จัก แล้วให้ขับรถพาเที่ยวจะช่วยประหยัดเงินไว้มาก

          การขับรถชมหาดของภูเก็ต ต้องบอกเลยว่า อาจทำให้คุณงงซักนิด เพราะถนนหนทางที่นี่ค่อนข้างซับซ้อน ซอยเล็กซอยน้อยเลี้ยวไปมาหาสู่กันได้หมด จนแม้แต่คนท้องถิ่นยังออกตัวเลยว่า ขับยาก! แต่รับรองเลยว่าไม่มีหลง เนื่องจากถนนเกือบทุกเส้นวกกลับมาหากันอย่างมึน ๆ

          หาดแรกที่เราไปเยี่ยมชมคือ "หาดกมลา" ที่นับว่าไม่ยาวมากนัก เต็มที่ก็ราว ๆ 2 กิโลเมตร โดยทรายของหาดแห่งนี้ อาจไม่ละเอียดและขาวเนียนอย่างที่คนกรุงคาดไว้ ส่วนความสวยงามของน้ำทะเลจัดว่ายังไม่จับจิต เพราะคลื่นลมที่แรงบวกกับเศษขยะจากมือนักท่องเที่ยว ทำให้ธรรมชาติของกมลาหดลดลงชนิดที่ว่าเรายังต้องใจหาย จนในที่สุดไม่มีใครสักคนลงจากรถไปสัมผัสกับหาดแห่งนี้ แต่กระนั้นเลยเกลียวคลื่นก็ยังอุตส่าห์พัดกระเซ็นน้ำเค็ม ๆ และทรายให้มาฟาดลงบนรถกระบะของเราอยู่ดี



          ขับรถเลาะเลี้ยวอีกไม่นานก็มาถึง "หาดกะตะ" ที่ดูเหมือนความงามและความเกลี้ยวกลาดจะไม่ดุดันเท่ากับ หาดกมลา โดยหาดแห่งนี้เหมาะสำหรับลงเล่นน้ำ และยังถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกดำน้ำ ซึ่งเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง โรงแรม บังกะโล ร้านอาหารต่างก็เรียงแถวเปิดกันให้รึ่ม!

          ขับรถกินลมต่อมาอีกหน่อย ก็ถึงคิวของ "หาดกะรน" ที่ดูจะได้รับความนิยมมากกว่า 2 หาดที่เราได้ไปโฉบมา โดยหาดแห่งนี้นับว่าเป็นชายหาดที่ยาวที่สุดในเกาะภูเก็ต แถมยังมีทรายเม็ดขาวละเอียดดุจคอฟฟี่เมต แต่อย่าหวังว่าคุณจะได้ใส่บิกินี่แล้วเดินลงน้ำได้อย่างสบายใจเฉิบ เพราะที่นี่มีลมแรง คลื่นแต่ละลูกที่พัดเข้าฝั่งจึงสูงและดูสยอง จนสามารถเห็นป้ายห้ามลงเล่นน้ำกับธงแดงปลิวไสว เป็นสัญลักษณ์ของความอันตราย แต่กระนั้นเลยก็ยังมีพวกฝรั่งมังค่า ที่ไม่สนคำเตือนออกไปแหวกว่ายท้าทายมฤตยู ซึ่งการกระทำเช่นนี้ คุณหนู ๆ ขาซ่าไม่ควรทำตามเด็ดขาด เพราะชาวบ้านแถวนั้นบอกมาว่า คลื่นอาจซัดคุณออกจากฝั่ง หลังจากนั้นตอนจบจะเป็นอย่างไรก็ลองคิดดูกันเอาเอง



          ดื่มด่ำกับชายหาดไปหลายแห่งแล้ว ก็ถึงเวลาตบเกียร์ต่ำแล้วไต่เขาให้สูงขึ้นอีกนิด เพื่อพบกับจุดชมวิวสวย ๆ ของ "กะรนวิวพอยน์" ที่เป็นเนินสูงให้คุณได้พบกับภาพความงามของสามอ่าว อย่าง อ่าวกะตะน้อย อ่าวกะตะ และอ่าวกะรน ที่มีรูปร่างเป็นพระจันทร์เสี้ยวติดต่อกันทั้งสามอ่าว ซึ่งเวลามองลงไปจะรับรู้ได้ถึงความเวิ้งว้างของท้องฟ้า และท้องทะเลที่กว้างใหญ่ เพียงยืนกางแขนให้สุดแล้วเชิดหน้าขึ้นนิด ๆ สายลมเย็น ๆ กับกลิ่นทะเลหอม ๆ จะโถมเข้า ได้อารมณ์เหมือนกำลังร่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ จุดนี้บอกเลยว่า คลาสสิกสุด ๆ



          นอกจากชมวิวสวย ๆ แล้ว คุณยังสามารถได้ยินเสียงเพลงเร็กเก้เบา ๆ ของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อย่าง "บ็อบ มาร์เลย์" ที่ดังมาจากวิทยุเครื่องเล็กของ 2 หนุ่มถัดเดทร็อค ที่เปิดแผงขายสร้อยลูกปัด หมวกถัก และเครื่องหนัง ที่คอยยิ้มแย้มและสร้างบรรยากาศในการชมวิวให้ดียิ่งขึ้น



          มากันต่อที่ไฮไลท์ของงานอย่าง "หาดป่าตอง" ที่ได้รับความนิยมอย่างคับคั่งทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งหาดแห่งนี้โดดเด่นที่เกลียวคลื่นสูง ๆ จนทำให้นักท่องเที่ยวจากแดกแดนไกล ยังต้องคว้าเซิร์ฟบอร์ดมาโต้คลื่นกันอยู่เป็นประจำ ส่วนเรื่องของร้านรวงริมหาด ก็แทบจะขึ้นชื่อว่าเป็นพัทยาสองเลยก็ว่าได้ เพราะทั้งผับ บาร์ โรงแรม ร้านอาหารซีฟู้ด หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้า ก็พร้อมใจกันเบียดเต็มสองข้างทาง ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้ดูจะเหมาะกับมนุษย์กลางคืน ผู้ชื่นชอบออกมาระเริงแสงสีในยามค่ำคืน

          ยิ่งได้ขับรถวนตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ของป่าตอง ความรู้สึกอยากสลัดชุดรำลองออก แล้วคว้าเสื้อผ้าสีจี๊ดๆ กับอีกมือหนึ่งถือกระป๋องเครื่องดื่มเย็นๆ เดินจิบชิลๆ ตามท้องถนนก็พุ่งขึ้นมาในหัวทันที แต่ก็อย่างว่าแหละทริปนี้เรามางานบุญ ดังนั้น ขอแค่มองแสงไฟสวยๆ ที่วิววับอยู่ข้างทางก็อิ่มอกอิ่มใจเกินพอแล้ว และสำหรับผู้ที่หลงใหลในการถ่ายภาพ นี่คือช่วงเวลาที่คุณจะได้เก็บสีสันแสบ ๆ เฟี๊ยว ๆ ของแสงไฟที่ดูเหมือนจะวิ่งไปมาอยู่รอบตัว ซึ่งช็อตเด็ดก็คงหนีไม่พ้นภาพของสาวงามจากต่างแดน ในชุดเซ็กซี่ที่บอกได้คำเดียวว่าห้ามพลาด

          สำหรับ 2 ข้างทางในการขับรถท่องเที่ยวไปมาตามชายหาดต่าง ๆ คุณจะรับรู้ได้ถึงความสวยงามในแบบของเมืองภูเก็ต ที่ตลอดเส้นทางจะเป็นถนนค่อนข้างขดเคี้ยวและลาดชัน เหมือนน้อง ๆ ทางขึ้นเชียงราย ซึ่งงานนี้การเปิดกระจกรถแล้วปล่อยให้สายลมกับอากาศบริสุทธิ์ เข้าปะทะกับผิวกายและใบหน้า จะช่วยให้ความรู้เหนื่อยล้าจากวันทำงานจางหายไปได้



          วิวทิวทัศน์ของเมืองภูเก็ตจะไม่เหมือนกับหลาย ๆ จังหวัดในภาคใต้ประเทศไทย เพราะที่นี่เขามีร้านขายเฟอร์นิเจอร์สวย ๆ ผุดขึ้นตลอดทาง จนเราเองยังแอบนึกในใจเลยว่า ควรจะตั้งฉายาให้กับจังหวัดแห่งนี้ว่า เป็นอาณาจักรแห่งการตกแต่ง เนื่องจากผลพลอยได้ของการเป็นเมืองท่องเที่ยว จึงทำให้มีทั้งบ้านและคอนโดเกิดใหม่ในหลาย ๆ เขต ดังนั้น ถ้าจะขายชาวต่างชาติมันก็ต้องงัดกันด้วยดีไซน์ และนี่เองคือคำตอบที่ว่า ทำไมภูเก็ตถึงมากด้วยร้านเฟอร์นิเจอร์สุดชิค

          ตบท้ายทริปเบา ๆ ก่อนเข้าที่พักด้วยการเยือน อ่าวฉลอง ซึ่งมีท่าเรือยาว ๆ ไว้จอดเรือยอร์ทและเรือประมง ซึ่งถ้าไปจุดนี้แล้วมองออกไปทางน่านน้ำ คุณจะได้เห็นเรือยอร์ททั้งเล็กและใหญ่ทอดสมอลอยเต่งกันเต็มไปหมด ขณะเดียวกันก็จะมีนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่ จนแทบไม่เชื่อสายตาเลยว่า กำลังยืนอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เพราะบรรยากาศรอบตัวดูจะโกอินเตอร์ซะเหลือเกิน




          หากคุณมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนที่จังหวัดภูเก็ต การเริ่มต้นทริปด้วยการตระเวนดูชายหาด และวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นไปรอบ ๆ เกาะ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการที่น่าสนใจ และคลายความเหนื่อยล้าได้ไม่น้อย ซึ่งการนั่งรถในครั้งนี้จะทำให้คุณรู้ว่า การนั่งแช่อยู่บนรถก็สามารถตรงกับคอนเซ็ปต์ "กอดเมืองไทย ให้หายเหนื่อย" ได้เหมือนกัน
36  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ปล้นเงินครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น กวาด228ล้านหลบหนีลอยนวล เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2011, 08:11:30 AM
ปล้นเงินครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น กวาด228ล้านหลบหนีลอยนวล


เอเอฟพี - ชายสวมหน้ากาก 2 คนบุกปล้นบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่งชานกรุงโตเกียวช่วงเช้าวันพฤหัสบดี(12) กวาดเงินไปได้กว่า 7.5 ล้านดอลลาร์(ราว228ล้านบาท) ซึ่งนับเป็นปฏิบัติการปล้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ก่อนหลบหนีลอยนวล
       
       สำนักข่าวจีจีเพรสส์อ้างคำสัมภาษณ์ของตำรวจเล่าว่าคนร้ายทั้ง 2 คนบุกจับพนักงานชายรายหนึ่งวัย 36 ปีของบริษัทรักษาความปลอดภัยนิชิเกตสึ เคอิบิโฮโช สาขาทาชิกาวาและมัดเขาด้วยเทป
       
       ด้วยตอนเกิดเหตุพนักงานรายนี้อยู่เพียงลำพังและกำลังหลับอยู่ทำให้เขาตกเป็นเหยื่อของคนร้ายอย่างง่ายดาย และถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างที่คนร้ายบังคับให้เขาบอกรหัสของตู้นิรภัย
       
       รายงานข่าวระบุว่าเงินที่ถูกปล้นไปนั้นเป็นของสำนักงานไปรษณีย์กลางโตเกียว และคนร้ายได้ใช้รถยนต์คันหนึ่งขนเงินสดที่ยัดใส่กระสอบจำนวนกว่า 70 กระสอบหลบหนีไป
       
       ทั้งนี้คนร้ายได้เงินไปราว 604 ล้านเยน(7.5ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในเหตุปล้นครั้งใหญ่ในประเทศที่มีชื่อเสียงด้านอัตราอาชญากรรมระดับต่ำ โดยเฉพาะอาชญากรรมเกี่ยวกับความรุนแรงที่มีน้อยมาก
       
       แหล่งข่าวเปิดเผยกับจีจีเพรสส์ว่าบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งนี้จะรับหน้าที่ขนถ่ายเงินจากสำนักงานไปรษณีย์กลางโตเกียวทุกวัน โดยเฉพาะวันจันทร์และวันพุธจะมีเงินมากกว่าวันอื่นๆ
       
       อนึ่งแหล่งข่าวรายนี้ระบุด้วยว่ามีการล็อคประตูทางเข้าสำนักงานอย่างดี ดังนั้นพวกโจรอาจงัดหน้าต่างเข้ามา เนื่องจากหน้าต่างบานหนึ่งมีปัญหาล็อคเสียตั้งแต่ 6 เดือนก่อน
37  สมาชิก VIP / General Discussion / เริ่มค้นหาศพหญิงสาวนางแบบในภาพโมนาลิซา เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2011, 10:15:42 AM
เริ่มค้นหาศพหญิงสาวนางแบบในภาพโมนาลิซา

นักโบราณคดี เริ่มการขุดค้นหาซากศพของนางแบบที่เป็นเจ้าของภาพหญิงสาวในภาพวาดโมนาลิซา ของเลโอนาร์โด ดา วินชี วาดภาพ โมนาลิซ่า ที่เสียชีวิตตั้งแต่ศตวรรษที่ 16

          คณะนักประวัติศาสตร์ที่ทำการสำรวจครั้งนี้จะใช้อุปกรณ์เรดาร์สำรวจภูมิศาสตร์ในการค้นหา ซึ่งเป้าหมายสำคัญของการค้นหาครั้งนี้ คือ กะโหลกศรีษะ เพื่อที่จะนำมาสร้างเป็นแบบจำลองหน้าตาของสตรีในภาพวาดดังกล่าว

          ด้าน สเตฟาเนีย โรมาโน โฆษกของคณะนักประวัติศาสตร์ได้เผยว่าข้อมูลจากเรดาร์สำรวจชี้ว่า ศพน่าจะถูกฝังอยู่ใต้ดินที่ความลึกประมาณ 2 เมตร ที่บริเวณระเบียงโบสถ์ของสำนักชีแซงออร์โซลา ซึ่งคาดว่าจะเป็นที่ฝังศพของ นางลิซา เกราดินี ซึ่งเชื่อว่าคือบุคคลที่เป็นแบบให้ เลโอนาโด ดา วินชี ในภาพ โมนาลิซ่า

          สำหรับนางลิซา เกราดินี เกิดในปี ค.ศ. 1479 และเสียชีวิตในปี 1542 เป็นภริยาของพ่อค้าผ้าไหม ชาวเมืองฟลอเรนซ์ และได้รับความเชื่อถือว่าได้เป็นแบบให้กับ เลโอนาร์โด ดา วินชี เพื่อวาดภาพโมนาลิซา

          นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยจากโฆษกของคณะนักประวัติศาสตร์ กล่าวว่า โลงศพของ เกราดินี จะได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวถ้าหากค้นพบ และผลจากการไขปริศนาจะนำออกแสดงที่นครฟลอเรนซ์
38  สมาชิก VIP / General Discussion / ประโยคเด็ดโดนใจ จากละคร ดอกส้มสีทอง เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2011, 02:35:59 PM
ประโยคเด็ดโดนใจ จากละคร ดอกส้มสีทอง


 ไม่บอกก็รู้ว่า นาทีนี้ละครหลังข่าวที่กำลังมาแรงสุด ๆ ต้องยกให้ ดอกส้มสีทอง ที่แรงเสียจนเกือบถูกแบน นำแสดงโดย ชมพู่ อารยา เอฮาร์เก็ต กับบท เรยา สาวสวยผู้มีความทะเยอทะยานอันแรงกล้า ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งสาวชมพู่ก็ตีบทแตกกระจุย สวมบทบาทได้แนบเนียนเป็นธรรมชาติมาก ๆ โดยเฉพาะบทเลิฟซีนที่สาว เรยา ต้องกอดจูบนัวเนียกับหนุ่ม ๆ ถึง 4 คน งานนี้จึงเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์กันไปตามระเบียบ

           และที่ถูกพูดถึงไม่แพ้กัน ก็คือ ประโยคเด็ด หรือคำพูดโดน ๆ ของตัวละครใน ดอกส้มสีทอง ที่ทำเอาผู้ชมอ้าปากค้าง พลางคิดในใจว่า คนเขียนบทคิดได้อย่างไร ? ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของ เรยา เด่นจันทร์ คุณดี๋ และแม้กระทั่ง หนุ่มนัท ฯลฯ ซึ่งเราขอรวบรวมบางส่วนมาไว้ ณ ที่นี้

           "ถ้าฟ้าเสียตัว ฟ้าต้องได้เป็นแอร์" -- เรยา

           "ถ้าพ่อเพิ่มให้ฟ้าเดือนละหมื่นแล้วรักฟ้าน้อยลง ฟ้าไม่เอา!!"  -- เรยา

           "ชั้นให้บริการเฉพาะผู้โดยสารชั้นหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นชั้นแต่งตัวยังไงชั้นก็สวยย่ะ"  -- เรยา

           "ลูกสาวคุณสวยนะคะ ระวังอย่าให้ไปเป็นเมียน้อยใคร เดี๋ยวจะโดนต่อราคาเหมือนที่พ่อเค้าต่อราคาชั้นอยู่"  -- เรยา

           "อาหารของพ่อ มีอยู่จานเดียว พ่อชอบไม่ใช่เหรอ ของไม่อร่อย แต่แพงน่ะ"  -- เรยา

           "ยี่สิบล้านขาดตัว ฉันไม่ลดแม้แต่สลึงเดียว"  -- เรยา

            "แต่งตัวก็ครึ่ง ๆ กลาง ๆ บางอย่างก็แบรนด์ บางอย่างก็แพลตตินั่ม" -- เด่นจันทร์

            "สินเลี้ยงเมียน้อย มันเหมือนตบหน้าเด่นกลางสี่แยก" -- เด่นจันทร์

            "ดี๋ให้ชีวิตส่วนตัว 40 % แต่ถ้าจะเอา 40 % นั้นไปมีกิ๊ก มีชู้ หรือมีเมียน้อย ดี๋คงยอมไม่ได้หรอกค่ะ" -- คุณดี๋

            "คุณดี๋น่ะ ดอกมะลิ หอมจริง แต่ไว้บูชาพระบนหิ้ง ไอ้ใหญ่มันไม่เคยเจอดอกชบาก็หลงเอาไปทัดหู เพราะสีมันฉูดฉาด แต่...ทัดหูอวดคนเล่นได้เฉย ๆ แต่ไม่ชื่นใจเพราะมันไม่หอม... ดีที่ยังไม่เหม็นเท่านั้น" คุณเต้ เพื่อนคุณใหญ่

            "ผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนจะนอนกับผู้ชายที่เกือบเป็นคนแปลกหน้า" - คุณเต้ เพื่อนคุณใหญ่

            "ที่แท้แกก็หาทางมีเมียน้อยอย่างชอบธรรม" - คุณเต้ เพื่อนคุณใหญ่
 
            "ไม่มีผู้ชายคนไหนเสียใจที่มีเมียน้อย อาม้าอยากให้ลื้อเป็นผู้ชายคนแรกที่จะเสียใจถ้ามีเมียน้อย" -- เม่งฮวย

            "บางทีเราก็ต้องมองข้ามไปบ้าง เวลาที่เพื่อนทำไม่ดี ไม่ใช่เลิกคบกันไปเลย ...ไม่งั้น เราคงไม่เหลือเพื่อนเลยซักคนเดียว มีใครล่ะที่เพอเฟ็กซ์ ไม่เคยทำผิดอะไรเลย" -- นัท

            "เด่นไม่เชื่อคำพังเพยเชย ๆ ที่ว่า เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร เด่นจะเอาทั้งผัว จะเอาทั้งทอง!!!!" -- เด่นจันทร์

            "เด่นเป็นลูกพ่อ ติดนิสัยไม่ดีมาจากพ่อ เราไม่ชอบอยู่ร่วมโลกกับศัตรู!!!!!" -- เด่นจันทร์

            "ความไว้ใจ มันไม่ได้หล่นมาจากฟ้า มนุษย์ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง" -- เด่นจันทร์

            "ถ้าเธอจะพูดว่า เสียใจ เธอต้องรู้สึกเสียใจจริง ๆ ไม่อย่างนั้น เธอเองนั่นแหละที่จะต้องเสียใจ" -- คุณนายแหม่ม

            "ผมขอโทษ ต่อไปนี้ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว (สินธร) ...จำได้มั้ย ว่าพูดแบบนี้มากี่ร้อยหนแล้ว อย่าพูดให้ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ไม่เหลือเลยดีกว่า" -- เด่นจันทร์

            "ความรักมันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ มันต้องมีอะไรมาทำให้รัก ถ้าไม่มีก็คือไม่รัก" -- คุณใหญ่

            "เธอมันเลวสมบูรณ์แบบ!" -- นัท


           นอกจากนี้ ดอกส้มสีทอง ยังฟีเวอร์สุด ๆ จนระบาดเข้าไปยังโลกไซเบอร์แล้ว เพราะมีแฟนละครเปิดทั้งหน้า เฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ ให้กับตัวละคร ดอกส้มสีทอง ไว้จิกกัดแสบ ๆ กันนอกจอ แถมยังฮอตสุด ๆ จนมีแฟนคลับตามติดการตอบโต้ของตัวละครอย่างล้นหลาม
39  สมาชิก VIP / General Discussion / สธ. เผยพบเชื้อโรคดื้อยาในไทย สูงเข้าขั้นวิกฤติแล้ว เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2011, 04:42:16 PM
สธ. เผยพบเชื้อโรคดื้อยาในไทย สูงเข้าขั้นวิกฤติแล้ว


สธ. เผยพบเชื้อโรคดื้อยาในไทย สูงเข้าขั้นวิกฤติแล้ว  (ไอเอ็นเอ็น)

          รอง ปลัด สธ.เผย พบเชื้อโรคดื้อยาในประเทศไทยสูงขึ้น เข้าสู่ภาวะวิกฤติ ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดมากขึ้น สั่งการแพทย์เภสัชกรจ่ายยาเคร่งครัด

          น.พ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากการติดตามสถานการณ์เชื้อดื้อยาในประเทศไทย พบว่า ขณะนี้เข้าสู่ภาวะวิกฤติสูงสุดแล้ว มีรายงานห้อง ICU ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่งพบเชื้อดื้อยา 100% ซึ่งเชื้อที่เป็นปัญหามากที่สุดคือ เชื้อ Acinetobacter baumannii ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งการติดเชื้อในกระแสเลือด ปอด ทางเดินปัสสาวะ ช่องท้อง เยื่อหุ้มสมอง และแผลผ่าตัด ซึ่งเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตให้สูงยิ่งขึ้น เมื่อเกิดการติดเชื้อดังกล่าว

          ทางการแพทย์ จึงต้องมีการนำเข้ายาที่มีฤทธิ์แรงยิ่งขึ้น ราคาแพงมากขึ้นอีกหลายเท่าเข้ามาใช้แทน ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้จากการวิเคราะห์การดื้อยาเกิดจากการจ่ายยาฟุ่มเฟือย จึงต้องมีการเน้นย้ำ แพทย์ และเภสัชกร อีกครั้ง ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องการจ่ายยาอย่างเคร่งครัด พร้อมเร่งให้ความรู้ประชาชนถึงการใช้ยาที่ถูกต้องเหมาะสม

          ส่วนกรณีที่มีโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง มีนโยบายให้แพทย์จ่ายยาให้มากที่สุด เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจนั้น จะได้ประสานให้แพทยสภา ติดตามสอบสวนใกล้ชิดว่า มีการกระทำดังกล่าวจริงหรือไม่ และดำเนินการเอาผิดตามจริยธรรมอย่างเข้มงวด
40  สมาชิก VIP / General Discussion / จ่อขยับขึ้นค่าไฟฟ้า! หลังมีการปรับค่าเอฟที เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2011, 04:39:41 PM
จ่อขยับขึ้นค่าไฟฟ้า! หลังมีการปรับค่าเอฟที

หนาว!เอฟทีงวดใหม่ขยับขึ้น8.9สต. กกร.จี้เลิกประชานิยมหวั่นปัญหาเงินเฟ้อ

          เรกูเลเตอร์เคาะค่าเอฟทีงวดเดือน พ.ค.  ส.ค. 2554 ขึ้น 8.93 สตางค์ต่อหน่วย เหตุราคาก๊าซ-น้ำมันแพงทำต้นทุนพุ่ง เผยหากให้ขึ้นสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงต้องขึ้น 13.78 สตางค์ต่อหน่วย ภาคเอกชนหวั่นรัฐบาลใหม่เดินหน้านโยบายประชานิยมดันเงินเฟ้อพุ่งจนคุมไม่อยู่

          นางพัลลภา เรืองรอง กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ว่า ที่ประชุมเห็นควรให้ดึงเงิ- นที่เรียกคืนจาก 3 การไฟฟ้าที่ไม่มีการลงทุนจริง (Call Back)จำนวน 2,600 ล้านบาท มาช่วยเกลี่ยเพื่อค่าเอฟทีที่จะเรียกเก็บในรอบบิลเดือน พ.ค.-ส.ค.2554 นี้ ลงเหลือ 8.93 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อลดภาระประชาชนและผลกระทบต่อราคาสินค้า จากเดิมที่จะต้องปรับขึ้น 13.78 สตางค์ต่อหน่วย ตามต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น โดยราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ระดับ 250 บาทต่อล้านบีทียู ส่วนราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

          "ความจริงเรามีเงินที่เรียกเก็บคืนจากทั้ง 3 การไฟฟ้าอยู่ที่ 9,500 ล้านบาท ซึ่งหากจะใช้ทีเดียวทั้งหมดก็สามารถทำได้ แต่เห็นว่าราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในช่วง 3 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีก จึงทยอยใช้เพื่อลดภาระประชาชน และวิธีนี้ก็ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่ต้องมีภาระ" นางพัลลภา กล่าว

          ทั้งนี้ คณะกรรมการเรกูเลเตอร์จะนำรายละเอียดการพิจารณา และอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร อัตโนมัติ (เอฟที) ที่จะใช้ในรอบบิลเดือน พ.ค.-ส.ค.2554 นี้ ลงประกาศในเว็บไซต์ของเรกูเลเตอร์ www.erc.or.th เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก่อนประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป

          สำหรับ ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) อัตราใหม่นี้ จะใช้เพียงแค่ 2 เดือนก่อน(งวดเดือน พ.ค.-มิ.ย.2554) หลังจากนั้นก็จะรอโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ที่จะใช้ในช่วง 5 ปีนี้ออกมา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการส่งสัญญาณจากฝ่ายการเมืองให้มีการตรึงค่าไฟฟ้าต่อ

          นาย เจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า วันนี้ (4 พ.ค.) ส.อ.ท.จะส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีการปรับราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการให้รัฐบาลได้พิจารณาถึง แนวทางการช่วยเหลือ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมแก้ว กระจก และเซรามิกที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว

          ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย ส.อ.ท.สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า ขณะนี้ภาคเอกชนมีความกังวลเกี่ยวกับระดับเงินเฟ้อ เนื่องจากรัฐบาลใช้นโยบายประชานิยมในการตรึงราคาสินค้า ซึ่งหากรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาใหม่ยังใช้นโยบายตรึงราคาสินค้าต่อ ก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ เห็นว่ารัฐบาลควรใช้นโยบายผ่อนคลายราคาสินค้า โดยพิจารณาจากต้นทุนที่แท้จริง

          "ระดับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นภาวะเทียม เพราะรัฐบาลยังคุมราคาสินค้าอยู่ เพราะหากปล่อยให้ราคาสินค้าขึ้นตามจริงก็จะทำให้มีอัตราสูงกว่านี้ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจะยังคงนโยบายตรึงราคาสินค้าต่อ และ มีความกังวลว่ารัฐบาลที่เข้ามาใหม่ก็จะยังใช้นโยบายตรึงราคาสินค้าต่อ ซึ่งหากกดราคาสินค้าไว้นานก็ห่วงว่าจะระเบิด และลุกลามไปเป็นปัญหาระดับ ภูมิภาค ซึ่งก็หวังว่าไทยคงไม่ถึงขั้นนั้น" นายพยุงศักดิ์กล่าว

          สำหรับ ภาพรวมการยอดส่งออกรถยนต์ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2554 นี้ คาดว่าน่าจะปรับตัวลดลง แม้ว่าจะมียอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามา แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถผลิตได้ตามออเดอร์เพราะชิ้นส่วนมีไม่เพียงพอ
41  สมาชิก VIP / General Discussion / แพทย์จีนเจ๋ง! ใช้ไอเย็น รักษาโรคมะเร็ง เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 09:26:30 PM
แพทย์จีนเจ๋ง! ใช้ไอเย็น รักษาโรคมะเร็ง
โรคมะเร็ง ถือเป็นมหันตภัยร้ายที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปมากมายในแต่ละปี และหากมะเร็งลุกลามไปถึงขั้นสุดท้าย ย่อมหมดหนทางรักษา หนำซ้ำการรักษามะเร็งยังก่อให้เกิดผลข้างเคียง จึงทำให้ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก

          แต่ล่าสุด ได้เกิดเรื่องที่น่ายินดีขึ้นในวงการแพทย์ เมื่อนายแพทย์ชาวจีน ได้ค้นพบหนทางรักษาโรคมะเร็งแนวใหม่ ที่ไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการฉายแสง หรือทำคีโม และยังช่วยให้เซลล์มะเร็งสลายไปโดยผู้ป่วยไม่ต้องรับความทุกข์ทรมานอีกต่อไป

          โดยคณะแพทย์ ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลฟูด้า (FUDA) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงในการรักษาโรคมะเร็ง จากมณฑลกวางเจา สาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย ศ.นพ.สวี่ เค่อเฉิง ผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาล ได้เปิดเผยถึงแนวทางการรักษาโรคมะเร็งแบบจีน ว่า ปกติแล้ว การรักษามะเร็งจะใช้วิธีการผ่าตัด การทำคีโม และการฉายแสงเป็นหลัก ซึ่งวิธีเหล่านี้มีผลข้างเคียง และคนไข้บางรายไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ ดังนั้นการรักษาด้วยวิธีการเหล่านี้จึงไม่มั่นใจว่า จะทำให้หายขาดได้

          ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการคิดค้นวิธีการรักษาโรคมะเร็งแนวใหม่ขึ้นมา คือใช้วิธี "ไอเย็นสลับไอร้อน" โดยจะฉีดไอเย็น คือ "ก๊าซซีเรียม" เข้าไปยังเนื้อร้าย เพื่อให้ความเย็นเข้าไปหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง จากนั้นจะฉีด "ก๊าซอาร์กอน" ที่ให้ความร้อนสูงไปสลายก้อนเนื้อเซลล์มะเร็ง จะทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อลง และผู้ป่วยสามารถหายจากอาการได้ หลังจากนั้นจะนำเลือดของผู้ป่วยมาบ่มเพาะประมาณ 5-6 วัน แล้วฉีดกลับเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยอีกครั้ง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

          สำหรับวิธีการที่ว่ามานี้ไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย จึงได้รับการยอมรับในวงกว้างในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เพียงจีนและประเทศในเอเชียเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีผู้ให้ความสนใจทั่วโลกติดต่อเข้ารับการรักษาจากทางโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยก็เช่นกัน ซึ่งเมื่อ 7 ปีก่อนหน้านี้ มีเศรษฐีชาวไทยวัย 80 ปีที่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้เข้ามารักษา หลังจากที่รักษาด้วยวิธีเดิมแล้วแพทย์ระบุว่าไม่สามารถรักษาหายได้ แต่การรักษามะเร็งวิธีใหม่กลับใช้ได้ผล เพราะทุกวันนี้เศรษฐีคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติ และไม่เพียงแค่เศรษฐีคนนี้เท่านั้น ก็ยังมีคนไทยอีกประมาณ 50 ราย ติดต่อขอรักษาโรคมะเร็งแนวใหม่จากทางโรงพยาบาล  นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยทั่วโลกเข้ามารับการรักษาแล้วอีกกว่า 6 พันรายเลยทีเดียว ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะปัจจุบันเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยเหล่านี้ได้ฝ่อและสลายไปหมดแล้วเช่นกัน

          ถือเป็นข่าวดีสำหรับวงการแพทย์และคนทั่วโลกจริง ๆ
42  สมาชิก VIP / General Discussion / เด็กไทยคิดดีมากกว่าทำดี เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 09:14:54 AM
เด็กไทยคิดดีมากกว่าทำดี
เอแบคโพลเผยเด็กไทยทั่วประเทศส่วนใหญ่คิดดีมากกว่าทำดีเน้นความสุขที่อารมณ์ความรู้สึกเป็นหลัก
             
 
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจปัจจัยทำให้เด็กไทยเป็นคนดี จากตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถึงนักศึกษาปริญญาเอกทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 23,088 ตัวอย่าง ระหว่างเดือน ก.พ. -ก.ค. 53 พบว่า นักเรียนนักศึกษาไทยมีค่าคะแนนเฉลี่ยของการคิดดีมากกว่าการทำดี จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน คะแนนเฉลี่ยของการคิดดีอยู่ที่ 3.90 คะแนน การทำดี 3.35 คะแนน ส่วนความสุข 3.78 คะแนน และความภูมิใจในความเป็นไทยอยู่ที่ 4.09 คะแนน
       
ดร.นพดล กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า กลุ่มปัจจัยที่ทำให้นักเรียนนักศึกษาไทยเป็นคนดี มากที่สุดอันดับแรกคือ การไม่หลงมัวเมาไปกับสิ่งยั่วยุ ดังนั้น จึงหมายความว่าถ้าทุกคนในสังคมไทยช่วยกันป้องกันไม่ให้เด็กนักเรียนนักศึกษา ไทยหลงมัวเมาไปกับสิ่งยั่วยุได้จะเป็นการส่งเสริมทำให้พวกเขาเป็นคนดีมาก ขึ้น ปัจจัยรองลงไปคือ การชักชวนกันทำงานกลุ่ม การไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ยินดีแบ่งปันสิ่งของตนเองให้ผู้ยากไร้ ความใจกว้างและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น การเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยปัญหาระหว่างเพื่อน การควบคุมอารมณ์เมื่อรู้สึกไม่พอใจหรือผิดหวัง การคิดว่าทุกคนล้วนมีแต่สิ่งที่ดี หากเลือกสิ่งที่ดีมาสื่อสารกัน และความสามารถปฏิเสธสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่พึงประสงค์ได้ เป็นต้น
     
ส่วนสิ่งที่มีผลต่อความสุขของนักเรียนนักศึกษาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ ร้อยละ 62 ระบุเป็นเรื่องของอารมณ์ รองลงมาคือร้อยละ 61.8 ระบุเป็นเรื่องความรู้สึก ร้อยละ 48.1 ระบุเป็นเรื่องงานหรือการบ้านที่ได้รับมอบหมาย ร้อยละ 35.6 ระบุเป็นเรื่องการนอน ร้อยละ 31.4 ระบุเป็นเรื่องการรับประทานอาหาร และรองๆ ลงไปคือ ความรู้สึกผิดพลาด การเป็นคนตื่นตกใจง่าย การเปรียบเทียบสิ่งที่ตนมีกับผู้อื่น อาการมึนงงหรือเวียนศีรษะ และการตำหนิตนเอง เป็นต้น

ส่วนสิ่งที่มีความสุขอันดับแรกคือ การมีจิตใจดี มีอารมณ์ดี รองลงไปเป็นเรื่องงานบ้านการบ้านโดยมีค่าสถิติวิจัยมากที่สุดอยู่ที่ 0.373 รองๆ ลงมาคือ งานหรือการบ้านเสร็จทันเวลา การนอนหลับง่าย การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ การออกกำลังกาย เล่นกีฬา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มปัจจัยที่ทำให้มีความสุขน้อยลงไปคือ ความรู้สึกอยากร้องไห้บ่อยๆ ความหมดหวังในชีวิต และความรู้สึกเบื่อหน่าย ตามลำดับ

สำหรับด้านความภูมิใจในความเป็นไทย อันดับแรก คือ ความภูมิใจในแผ่นดินไทย การที่องค์กรระหว่างประเทศยกย่องคนไทยให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก อาหารไทย วิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทย ประเพณีไทย ภาษาไทย และความภูมิใจที่ได้สื่อสารกับชาวต่างชาติด้วยภาษาไทย ตามลำดับ
43  สมาชิก VIP / General Discussion / อดีตตลกดังตกอับ คุ้ยขยะขาย เมื่อ: มิถุนายน 30, 2010, 05:06:30 PM
อดีตตลกดังตกอับ คุ้ยขยะขาย

หยิกหยอกหยอย อดีตตกดัง ตกอับสุดขีด ตระเวนเก็บขยะหาของเก่าขาย จากเมื่อก่อนเคยมีรายได้ร่วมวันละครึ่งแสน

วานนี้(29มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบอดีตดาราตลกตกอับ "หยิกหยอกหยอย" หรือชื่อจริงนายรังสรรค์ สีม่วง อายุ 38 ปี เดินเก็บเศษขยะหาของเก่าไปขาย ที่บริเวณริมถนนสายวัดป่าโค-สถานีรถไฟ หมู่ 10 ต.กะมัง อ.พระนคร ศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

หยิกหยอกหยอย เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ช่วงเศรษฐกิจดี ตนมีงานแสดงทุกวันโดยมีรายได้ถึงวันละ 4-5 หมื่นบาท จึงออกรถเก๋งยี่ห้อเชฟโรเลต ไว้ใช้วิ่งรับงาน หลังจากเศรษฐกิจตกต่ำ ไม่มีคนจ้างงานตลกและมีเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบ ตนจึงขายรถไป และได้ปรึกษารุ่นพี่ที่สมาคมตลก โดยพี่ๆแนะนำว่า อย่าเลือกงาน ทำอะไรก็ได้ที่สุจริต ตนจึงออกเก็บของเก่าขาย เพราะเห็นว่าเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดี โดยจะมีรายได้วันละ 40-120 บาท พอเป็นค่าเช่าบ้านและค่ากับข้าว

ตลกสู้ชีวิตเผยอีกว่า ตนเคยไปร่วมแสดงตลกกับคณะดังอย่าง ถั่วแระ เชิญยิ้ม, ปลาคร๊าฟ เชิญยิ้ม, สีหนุ่ม เชิญยิ้ม, ไผ่ บุรีรัมย์ และตี๋ซุปเปอร์โจ๊ก นอกจากนั้นตนยังเคยเล่นหนังเล่นละครมาหลายเรื่อง อาทิ แก่งกระโดน, ผู้พิทักษ์สี่แยก, ธิดาวานร ภาค 1, รักแท้แซบหลาย, ฟ้ามีตายันต์ 5 แถว และกรรมลิขิต ล่าสุดเล่นหนังเรื่อง "4 สิงห์คอนเฟิร์ม" และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนยังได้รับเชิญจากพี่ ๆ ในสมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย ให้มาร่วมร้องเพลงในมิวสิกวิดีโอเพลง "ขอความสุขคืนกลับมา" อีกด้วย

ปัจจุบันหยิกหยอกหยอย อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยปฏิคมในคณะกรรมการบริหารสมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย ที่เหลือเพียง จยย.ฮอนด้าเวฟ ไว้ใช้ขี่หาเศษขยะขายหาเงินประทังชีวิต ทุกวันนี้ยังรอว่าจะมีใครมาจ้างไปเล่นตลกอีก ตนก็พร้อมยินดี
44  สมาชิก VIP / General Discussion / แช็ทมรณะ! ฆ่าโหดสาววัย 28 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2010, 05:05:41 PM
แช็ทมรณะ! ฆ่าโหดสาววัย 28

ฆ่าโหดสาธารณสุข จ.ลพบุรี ใช้ผ้าห่มศพหมกไว้ในบ้านพักพนักงานก่อนชิงรถยนต์กระบะหลบหนี เบื้องต้น ตำรวจสงสัยหนุ่มที่เล่นแช็ทผ่านอินเทอร์เน็ตกับผู้ตายเป็นมือสังหารแล้วชิงทรัพย์ไป

ที่เกิดเหตุภายในบ้านพักเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอโคกสำโรง จ.ลพบุรี พบศพ น.ส.วราภรณ์ พึ่งสุข อายุ 28 ปี บ้านเลขที่ 28 ม.5 อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอโคกสำโรง เสียชีวิตอยู่ภายในห้องพัก บ้านพักตำแหน่ง สาธารณสุขอำเภอ สภาพศพมีผ้าห่มคลุมไว้ เมื่อเจ้าหน้าที่กองวิทยาการเปิดพิสูจน์พร้อมด้วยแพทย์จากโรงพยาบาลโคกสำโรง พบว่าศพขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณใกล้เคียง ผู้ตายสวมเสื้อสายเดี่ยวสีน้ำตาลเพียงตัวเดียว ท่อนล่างเปลือยเปล่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุจึงได้แจ้งให้ นายแพทย์ศิริชัย ลิ้มสกุล สาธารณสุขจังหวัดลพบุรี ไปตรวจสอบการเสียชีวิตของลูกน้อง

จากการสอบถาม นายวิชาญ พึ่งสุข อายุ 48 ปี บอกว่าปกติผู้ตายจะกลับบ้านทุกวันศุกร์ แต่ในวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.วราภรณ์ ไม่กลับบ้าน จึงแปลกใจและได้ติดต่อมายังที่ทำงาน แต่ที่ทำงานบอกว่าผู้ตายก็ไม่มาทำงานตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามมาหาที่ทำงานจึงพบว่า น.ส.วราภรณ์ ถูกฆ่าตายแล้ว

จากการสอบสวนทราบว่าผู้ตายเคยมีสามีมาก่อนอยู่ทางภาคใต้ และเลิกลากันแล้ว ปัจจุบันอยู่คนเดียวยังไม่มีสามี เสาร์-อาทิตย์ จะกลับไปหาบิดาที่ อ.ชัยบาล จ.ลพบุรี จากการสอบถามเพื่อนร่วมงานของผู้ตาย ให้การว่าปกติผู้ตายนั้นเป็นคนร่าเริง ชอบสนุกสนานเป็นมิตรกับเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างดี และไม่เห็นมีเรื่องกับใครเลย แต่ผู้ตายนั้นชอบแช็ทหรือเล่นอินเทอร์เน็ตกับคนที่ไม่รู้จักเป็นประจำ คาดว่าอาจจะถูกคนที่เล่นเน็ตด้วยกันหลอกและฆ่าตายก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนกำลังดำเนินการค้นหาหลักฐานว่า ผู้ตายนั้นเล่นเน็ตกับผู้ใดบ้าง และการเล่นครั้งหลังสุดเล่นกับใคร จะได้ติดตามตัวมาทำการสอบสวนและดำเนินคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังจากที่ทราบข่าวการตายของ น.ส.วราภรณ์ ฯ ญาติของผู้ตายฐานะเป็นน้า ได้เดินทางมาพบศพ และแจ้งว่าได้ทราบข่าวจาก บริษัท อีซูซุ ว่ามีผู้พบหลักฐานของผู้ตายซึ่งมีเอกสารการซื้อขายรถคันดังกล่าว โดยมีชื่อน้าเป็นผู้ซื้อ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จังหวัดกระบี่พบอยู่ในน้ำ จึงแจ้งมาที่บริษัท อีซูซุ ว่ารถคันดังกล่าวถูกโจรกรรมมาหรือไม่ จนบริษัทรถติดต่อมา และได้โทรหาหลานสาว แต่ก็ไม่รับโทรศัพท์ จึงเดินทางมาหาหลานสาว ก็พบว่าหลานสาวนั้นได้ถูกฆ่าตายเสียแล้ว
45  สมาชิก VIP / General Discussion / ทะเลสาบสงขลาแห้ง ระบุนายทุนตัวการ เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 01:07:50 PM
ทะเลสาบสงขลาแห้ง ระบุนายทุนตัวการ (ไทยโพสต์)

          รายงานข่าวจากจังหวัดพัทลุงแจ้งว่า ขณะนี้ฝนยังคงไม่ตกลงมาในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ส่งผลให้น้ำในลำคลองต่าง ๆ กว่า 40 สายยังคงแห้งขอด และน้ำในทะเลสาบสงขลาที่เป็นทะเลสาบน้ำจืดก็ลดลงมาก จนทำให้น้ำเค็มเข้ามาหนุน ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สัตว์น้ำ พืชน้ำจืดหลายชนิดปรับสภาพไม่ทัน ปลาน้ำจืดบางชนิดลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมทะเลสาบสงขลาใน อ.ปากพะยูน อ.บางแก้ว อ.เขาชัยสน อ.เมืองฯ จ.พัทลุง อ.กระแสสินธุ์ อ.ระโนด อ.ควนเนียง จ.สงขลา ต่างได้รับความเดือดร้อนมานานหลายเดือน หลังจับสัตว์น้ำได้น้อยลงมาก

          นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และรองกรรมาธิการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวน่าเป็นห่วงในระบบนิเวศของทะเลสาบสงขลา ซึ่งในช่วงระยะหลังมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทะเลตื้นเขินและน้ำเริ่มเค็มจัด เนื่องจากทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่รองรับน้ำจากป่าต้นน้ำเทือกเขาบรรทัดพัทลุง แต่พบว่าขณะนี้เทือกเขาบรรทัดได้ถูกแผ้วถางจับจองทำสวนยางจากชาวบ้านและกลุ่มนายทุน ทำให้พื้นป่าขาดความชุ่มชื้น ฝนไม่ตกตามฤดูกาล

          "เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดมีเจ้าหน้าที่ประจำการ แต่ไม่สามารถรักษาฝืนป่าแห่งนี้ได้ดีเท่าควร เพราะเจ้าหน้าที่มีจำกัด มีพื้นที่รับผิดชอบกว่า 790,000 ไร่ ครอบคลุม จ.พัทลุง ตรัง สตูล และสงขลา จึงอยากเรียกร้อง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ และจัดงบสนับสนุนดูแลพื้นที่ป่าต้นน้ำเทือกเขาบรรทัดอย่างจริงจัง" นายนริศกล่าว
หน้า: 1 2 [3] 4

Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!