ศาลสหรัฐฯ สั่งยกเลิกนโยบายห้ามเกย์รับใช้ชาติ

[น่ารักสุดๆ]

ศาลสหรัฐฯ สั่งยกเลิกนโยบายห้ามเกย์รับใช้ชาติ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


เอเอฟพี/เอเจนซี - ผู้พิพากษาศาลสหรัฐฯ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ตัดสินเมื่อวานนี้ (9) ให้ยกเลิกมาตรการทางกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งห้ามผู้ที่เปิดเผยตัวตนว่ามีพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นทหาร โดยกล่าวว่า นโยบายดังกล่าวไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และเป็นการละเมิดสิทธิในการแสดงความคิดเห็น
       
       ผู้พิพากษาเวอร์จิเนีย ฟิลลิปส์ กล่าวว่า หลักฐานที่สมาชิกกลุ่มล็อกเคบินรีพับลีกันส์ ซึ่งเป็นกลุ่มรักร่วมเพศที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นโยบายของทางกองทัพได้ละเมิดสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศ
       
       ผู้พิพากษาท่านนี้ ระบุว่า กฎหมาย “ห้ามถาม ห้ามตอบ” เป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญต่อทหารในกองทัพ
       
       ทั้งนี้ มาตรการ “ห้ามถาม ห้ามตอบ” เป็นกฎของกองทัพสหรัฐฯ ที่ห้ามถามถึงเรื่องรสนิยมทางเพศของทหาร ภายใต้มาตรการตั้งแต่ปี 1993 ทหารทั้งชายและหญิง ผู้ถูกล่วงรู้ว่านิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกัน หรือถูกเปิดโปงว่ามีพฤติกรรมรักร่วมเพศ แม้กระทำเมื่ออยู่ที่บ้านก็ตามจะถูกปลดออกจากการรับใช้ชาติ
       
       คำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งจะระงับการบังคับใช้มาตรการที่ละเมิดสิทธิของกองทัพจะยังไม่ส่งผลในทางปฏิบัติโดยทันที
       
       โดยในวันนี้ (10) กลุ่มล็อกเคบินรีพับลีกันส์จะต้องเสนอการยอมรับกรณีดังกล่าว และทางรัฐบาลมีสิทธิในการยื่นอุทธรณ์ได้
       
       กรณีนี้ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เนื่องจากไม่ต้องการให้มาตรการดังกล่าวถูกยกเลิก
       
       แม้ โอบามา จะไม่เห็นด้วยกับมาตรการของทางกองทัพ แต่ต้องการให้การยกเลิกกระทำโดยความร่วมมือกันระหว่างกองทัพ กับสภาคองเกรส และหลังจากเสร็จสิ้นการศึกษาว่า ยกเลิกกฎดังกล่าวจะส่งผลต่อความพร้อมของทางกองทัพ และการทำงานร่วมกันภายในหน่วยงาน หรือไม่
       
       อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาฟิลลิปส์ ปฏิเสธกลับผลการศึกษาดังกล่าวที่ระบุว่า การยกเลิกมาตรการนี้จะส่งผลเสียต่อกองทัพสหรัฐฯ ทั้งนี้เธอได้โต้แย้งว่าการคงกฎดังกล่าวไว้ต่างหาก ที่เป็นอันตรายต่อกองทัพ
       
       เธอระบุอีกว่า กองทัพอนุญาตให้บุคคลที่ต้องสงสัยเป็นเกย์เดินทางไปยังสมรภูมิได้ และการปลดประจำการก็จะไม่เกิดขึ้นจนกว่าทหารผู้ต้องสงสัยเหล่านั้นจะเดินทางกลับมา ดังนั้น “นโยบายดังกล่าวจึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด”