TARADTHONG.COM
ธันวาคม 11, 2024, 01:38:03 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: นักวิทย์เผยสหรัฐฯ เสี่ยงภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุด  (อ่าน 4990 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
น่ารักสุดๆ
Administrator
Hero Member
*****

คะแนนความนิยม: 2330
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1658



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 02:08:40 AM »

นักวิทย์เผยสหรัฐฯ เสี่ยงภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุด

 เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐฯ คาดคะเนว่า ซูเปอร์โวลคาโน่ (Super-volcano) ที่อยู่ภายใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนในสหรัฐฯ อาจเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 6 แสนปีในระยะเวลาอันใกล้นี้ และทำให้พื้นที่ 2 ใน 3 ของสหรัฐฯ ได้รับความเสียหาย เถ้าถ่านของภูเขาไฟจะปกคลุมชั้นบรรยากาศไปค่อนโลก

         รายงานระบุว่า โรเบิร์ต บ๊อบ สมิธ ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีพิบัติแห่งเยลโลสโตนจากมหาวิทยาลัยยูทาห์ ได้เปิดเผยกับ National Geographic ว่าตอนนี้เปลือกโลกบริเวณอุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน รัฐไวโอมิง ได้มีการยกตัวผิดปกติเป็นบริเวณกว้าง คือยกตัวถึง 3 นิ้วต่อปีตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติการยกตัวที่มากที่สุดตั้งแต่มีการเริ่มบันทึกเมื่อปี 1923 (พ.ศ.2466) และพบว่าบ่อหินละลายที่อยู่ลึกลงไปใต้เปลือกโลกนั้นตื้นขึ้นมาก ซึ่งเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังเตือนว่า ซูเปอร์โวลคาโน่ที่อยู่ภายใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนกำลังนับถอยหลังรอวันระเบิดในอีกไม่ช้า และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อมันจะระเบิดออกมาบนเปลือกโลกด้วยแรงดันมหาศาลใต้เปลือกโลก ก็จะมีอำนาจทำลายล้างทุกสิ่งบริเวณพื้นที่โดยรอบให้กลายเป็นจุน และเถ้าถ่านจากการระเบิดของมันก็จะทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งผลกระทบไปทั่วโลกเลยทีเดียว

         จากหลักฐานทางธรณีวิทยา พบว่า ซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนเกิดการระเบิดมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 2.1 ล้านปีก่อน และ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 6.4 แสนปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้ว่า วงจรของการระเบิดเกิดขึ้นทุก ๆ 6 - 7 แสนปี และนั่นก็หมายความว่า ช่วงเวลา 1 แสนปีนี้ มันอาจเกิดขึ้นได้อีกครั้ง

         อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการคาดคะเนว่าการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า เพราะก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาหลายท่านก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกัน โดยมีการคาดการณ์กันว่า หายนะครั้งยิ่งใหญ่อันเกิดจากซูเปอร์โวลคาโน่นี้ อาจเกิดขึ้นอีกครั้งภายใน 70 ปีที่จะถึงนี้ก็เป็นได้ แต่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่มีการคาดคะเนกันหรือไม่ หรือจะเกิดขึ้นคลาดเคลื่อนจากนั้นไปนานหลายร้อย หลายพันปี นักธรณีวิทยาก็ไม่ได้ประมาทกับเรื่องนี้ ยิ่งมีการจับตาเฝ้าจับตามองซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพราะมันต้องเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าหากรู้ล่วงหน้า นั่นหมายถึงการมีชีวิตรอดของผู้คนในสหรัฐฯ ที่จะสามารถเตรียมรับมือและอพยพได้ทันเวลา



เปลือกโลกที่ยุบตัวลงไปหลังจากเกิดการระเบิดครั้งก่อนเมื่อ 6.4 แสนปีก่อน


         สำหรับการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโน่ เป็นปรากฏการณ์ธรณีพิบัติที่แตกต่างจากภูเขาไฟระเบิดทั่ว ๆ ไป คือไม่มีลักษณะเป็นปล่องภูเขาไฟให้หินละลายใต้เปลือกโลกปะทุออกมาเรื่อย ๆ แต่มันกลับสะสมหินละลายไว้ใต้แผ่นเปลือกโลกเป็นเวลาหลายแสนปี จนเกิดเป็นบ่อหินละลายขนาดมหึมาที่อยู่ลึกลงไปใต้เปลือกโลกที่มีความลึกหลายสิบกิโลเมตร และมันจะดูดซับเอาก๊าซพิษต่าง ๆ สะสมไว้ด้วย ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปหลายแสนปี ก็จะเกิดแรงดันมหาศาลใต้ผิวโลก ก่อนจะระเบิดออกมาบนผิวโลกในที่สุด โดยการระเบิดของมันจะทำให้หินละลายปะทุออกมาบนผิวโลกด้วยความเร็วสูง พ่นแม็กม่าออกมาได้มากกว่า 1,000 ลูกบาศก์กิโลเมตรและไหลได้เร็วกว่า 96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีพลังงานการระเบิดเท่ากับการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ 1,000 ลูกทุก ๆ 1 วินาที และเมื่อบ่อหินละลายระเบิดออกมาหมดแล้วมันก็จะทำให้เปลือกโลกยุบตัวลงไป กลายเป็นหลุมขนาดมหึมาคล้ายอุกกาบาตพุ่งชนโลกในเวลาต่อมา

         ส่วนผลกระทบที่ตามมาหลังจากการระเบิดนั้นจะทำให้สหรัฐฯ เกือบทั้งประเทศได้รับความเสียหายจากการระเบิด เกิดไฟไหม้ในพื้นที่ต่าง ๆ และเถ้าถ่านของการระเบิดจะลอยขึ้นไปปกคลุมชั้นบรรยากาศไปทั่วโลก ขณะที่ก๊าซจำพวกซัลเฟอร์ไดออกไซด์ก็จะสะท้อนแสงอาทิตย์ไม่ได้สาดส่องลงมาบนผิวโลกได้เหมือนเดิม ส่งผลให้อุณหภูมิบนโลกลดลงอย่างรวดเร็ว และแสงอาทิตย์ก็ไม่สามารถส่องมาได้เต็มที่เป็นเวลาหลายปี อีกทั้งอากาศ ฝน ก็ยังเป็นพิษจนสามารถทำลายชีวิตคนจำนวนมากได้ เรียกว่าเป็นมหันตภัยจากธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุด เป็นหายนะที่ทำลายล้างโลกได้อย่างแท้จริง
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!