TARADTHONG.COM
พฤษภาคม 22, 2024, 12:15:34 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16
211  สมาชิก VIP / General Discussion / ผู้เชี่ยวชาญคาดบีพีอาจใช้เวลาแก้ปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกยาวนานถึงเดือนธ.ค. เมื่อ: มิถุนายน 02, 2010, 06:58:56 PM
 ผู้เชี่ยวชาญคาดบีพีอาจใช้เวลาแก้ปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกยาวนานถึงเดือนธ.ค.

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 2 มิถุนายน 2553 16:00:00 น.
ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐคาดการณ์ว่า เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลอันเนื่องมาจากการแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบีพีระเบิดเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น จะยืดเยื้อยาวนานไปจนถึงเดือนธ.ค.ปีนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ พร้อมกับสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งทางแพ่งและอาญา


แดน พิกเคอริง หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านพลังงานจากบริษัท ทิวดอร์ พิกเคอริง โฮลท์ แอนด์ โค ในเมืองฮุสตัน กล่าวว่า เหตุการณ์น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกอาจยืดเยื้อไปจนถึงเทศกาลคริสต์มาส เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ประเมินได้ว่าการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วไหลต้องใช้เวลานานและควรกำหนดกรอบเวลาอย่างระมัดระวัง

ด้านนายแมค ไซโตะ จากสถาบันสมุทรศาสตร์วูดส์โฮลในรัฐแมสซาชูเซตส์ กล่าวว่า น้ำมันดิบจำนวนมากที่ไหลจากอ่าวเม็กซิโกลงสู่มหาสมุทรนั้น จะส่งผลให้น้ำทะเลปนเปื้อนสารเคมี ซึ่งผลที่ตามมาจะรุนแรงจนไม่อาจคาดคะเนได้

ขณะที่ศาสตราจารย์แฮร์รี่ โรเบิร์ตส์ จากศูนย์การศึกษาชายฝั่งทะเลแห่งมหาวิทยาลัยหลุยเซียนา เมื่อประเมินจากตัวเลขประมาณการของรัฐบาลที่ว่า น้ำมันดิบที่รั่วไหลลงสู่ท้องทะเลในขณะนี้อยู่ที่ระดับ 12,000 - 19,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้คาดว่าสิ่งมีชีวิตทั้งที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้กับจุดรั่วไหลของน้ำมันและที่อาศัยอยู่ทั่วไปในอ่าวเม็กซิโก จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นักวิเคราะห์จากซีเค คูเปอร์ แอนด์ โค ในเมืองดัลลัส คาดว่าพายุเฮอริเคนในอ่าวเม็กซิโกจะเป็นอุปสรรคต่อบริษัท บีพี พีแอลซี ในการหยุดการรั่วไหลของน้ำมัน และอาจทำให้เรือดักจับน้ำมันบนผิวน้ำต้องไปหลบพายุที่ท่าเรือนานกว่าสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้บีพีเสียเวลาแก้ปัญหาน้ำมันรั่วไปประมาณ 7-10 วัน

สำนักงานสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐ (NOAA) พยากรณ์ว่า ฤดูพายุเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกปี 2553 อาจมีพายุเฮอริเคนก่อตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งเป็นปีที่พายุเฮอริเคนแคทรินา และริต้า กระหน่ำชายฝั่งสหรัฐจนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการผลิตน้ำมัน

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา
212  สมาชิก VIP / General Discussion / ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดวันนี้อ่อนตัวลง หลังกระแสข่าวบีพีถ่วงหุ้นพลังงาน เมื่อ: มิถุนายน 02, 2010, 06:53:51 PM
ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดวันนี้อ่อนตัวลง หลังกระแสข่าวบีพีถ่วงหุ้นพลังงาน
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 2 มิถุนายน 2553 15:46:26 น.
ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่อ่อนตัวลงเช้านี้ โดยหุ้นบริษัทพลังงานปรับตัวลง หลังจากที่สหรัฐเปิดฉากสอบสวนทางแพ่งและอาญากับบีพี จากกรณีน้ำมันรั่วไหลในอ่าวเม็กซิโก

ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วง 0.8% แตะ 243.5 จุด เมื่อเวลา 9.19 น.ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงลอนดอน

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนเปิดทำการวันนี้ร่วงลง 64.02 จุด หรือ 1.24% แตะ 5,099.28 จุด

หุ้นบีพีร่วง 1.7% หลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ กล่าวว่า ทางการสหรัฐได้เริ่มดำเนินการสอบสวนทั้งในทางแพ่งและอาญาต่อกรณีน้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่ในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นผลมาจากการระเบิดของแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบีพี

ขณะที่หุ้นพรูเด็นเชียล ร่วง 2.4% หลังจากที่บริษัทได้ออกมายืนยันแล้วว่า จะยกเลิกแผนการเทคโอเวอร์บริษัทประกัน เอไอเอ

พรูเด็นเชียล พีแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ของอังกฤษ เปิดเผยในวันนี้ว่า ทางบริษัทเตรียมถอนตัวจากการทำข้อตกลงเข้าซื้อ อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ (เอไอเอ) ซึ่งเป็นบริษัทประกันในเอเชียของ อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) หลังจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการต่อรองราคา

นักวิเคราะห์กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคขณะนี้ทำให้เกิดความผันผวน ส่งผลให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา
213  สมาชิก VIP / General Discussion / ราคาทองคำโลกยังอาจปรับตัวสูงขึ้น...ท่ามกลางวิกฤติหนี้ยูโรโซน เมื่อ: มิถุนายน 02, 2010, 05:02:20 PM

ราคาทองคำโลกยังอาจปรับตัวสูงขึ้น...ท่ามกลางวิกฤติหนี้ยูโรโซน

วันอังคารที่ 01 มิถุนายน 2010 เวลา 18:23 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ   

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "ราคาทองคำโลกยังอาจปรับตัวสูงขึ้น...ท่ามกลางวิกฤติหนี้ยูโรโซน" โดยระบุว่า  ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 ราคาทองคำในตลาดโลกมีแนวโน้มอยู่ในขาขึ้นโดยสามารถไต่ทะลุระดับ 1,200 ดอลลาร์ฯต่อออนซ์ และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าราคาทองในตลาดโลกจะมีการปรับฐานในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2553 มาอยู่ที่ระดับประมาณ 1,100 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ ก็ตาม   ทั้งนี้ นับจากต้นปีจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 100 ดอลลาร์ฯต่อออนซ์ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2552 ซึ่งในแง่ของผลตอบแทนของทองคำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบว่าทองคำให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น พันธบัตร และน้ำมัน ฯลฯ

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีข้อสังเกตต่อประเด็นการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมา และมุมมองแนวโน้มราคาทองคำในระยะที่เหลือของปีนี้ สรุปได้ดังนี้
 
  ข้อสังเกตต่อประเด็นการเคลื่อนไหวของราคาและการลงทุนในทองคำในช่วงที่ผ่านมา
•ราคาทองคำถูกกำหนดจาก “ความต้องการลงทุน” มากกว่าปัจจัยด้านอุปสงค์-อุปทานพื้นฐานต่อทองคำจริง (Physical Demand) ราคาทองคำในปัจจุบันนั้นได้รับอิทธิพลจากทั้ง อุปสงค์-อุปทานต่อทองคำที่แท้จริง และอุปสงค์-อุปทานเพื่อการลงทุน ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ต้องยอมรับว่าความสนใจที่เพิ่มขึ้นในสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงทองจากกองทุนเพื่อการลงทุน (Investment Demand) นั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ราคาทองทะยานขึ้นสู่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์

 ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนสถาบัน น่าจะมีบทบาทในการกำหนดราคาทองคำในระยะสั้นมากกว่านักลงทุนรายย่อย โดยแม้ว่าเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนที่ลงทุนในทองคำจะมาจากเงินลงทุนของนักลงทุนรายย่อย แต่นโยบายการลงทุนของกองทุน จะเน้นไปที่การบริหารกองทุนเพื่อแสวงหากำไรสูงสุด ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ดังนั้น จังหวะการเข้าซื้อ/ขาย สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
 
อีกทั้งด้วยขนาดเม็ดเงินของกองทุนที่มีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายในตลาด ทำให้การตัดสินใจซื้อขายของกองทุน มีผลค่อนข้างมากต่อราคาทองคำที่ซื้อขายในตลาด ในขณะที่ นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ มักจะถือครองทองคำ เพื่อสะสมความมั่งคั่งและมองว่าทองคำเป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

 •สำหรับนักลงทุนสถาบันนั้น ทองคำถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ทางการเงินอย่างหนึ่งที่สามารถปกป้องความเสี่ยง ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะเก็งกำไรได้ ทั้งนี้ เนื่องจากราคาทองคำนั้น มีความสัมพันธ์ หรือเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ เช่น หุ้น และเงินสกุลดอลลาร์ฯ ฯลฯ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

 •วิกฤตการคลังในยูโรโซน...เป็นเหตุการณ์ล่าสุดที่กระต้นพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุน  โดยหลังจากวิกฤตซับไพร์มของสหรัฐฯ และวิกฤตเศรษฐกิจโลกเริ่มคลี่คลายลงตั้งแต่ช่วงต้นปี 2552 ซึ่งตามมาด้วยการที่เศรษฐกิจแกนหลักของโลกเริ่มหลุดจากภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกันนั้น  ราคาทองคำโลกก็ได้รับแรงหนุนที่ชัดเจนอีกครั้งในช่วงปลายปี 2552 จากความวิตกกังวลต่อปัญหาวิกฤตการคลังของบางประเทศในยูโรโซน โดยเฉพาะกรีซ ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความกังวลต่อปัญหาฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนในช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2553 และความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี  ซึ่งล้วนแล้วแต่สนับสนุนให้ราคาทองคำโลกทะยานขึ้นทะลุระดับ 1,200 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553 นี้   

 •ปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทานไม่ได้มีบทบาทมากนักในการกำหนดราคาทองคำ ปัจจัยพื้นฐานในความต้องการทองคำจริง (Physical Demand) มาจากความต้องการอัญมณีเครื่องประดับ และความต้องการใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งมีผลต่อราคาทองคำในปัจจุบันน้อยลง เนื่องจากโครงสร้างอุปสงค์ต่อทองคำได้เปลี่ยนแปลงไป สัดส่วนความต้องการทองคำเพื่อใช้ผลิตอัญมณีเครื่องประดับมีแนวโน้มลดลง ความต้องการทองคำสำหรับอุตสาหกรรมค่อนข้างคงที่ แต่ความต้องการลงทุนทองคำเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

   มองไปข้างหน้า...ราคาทองคำโลก ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อ แต่การเคลื่อนไหวอาจผันผวนสูงขึ้น
  ความต้องการลงทุนของนักลงทุนสถาบันในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงน่าจะอยู่ในระดับสูง  โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ราคาทองคำยังน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง หรือมีโอกาสขยับขึ้นได้อีก คือ ความต้องการลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงของนักลงทุนสถาบันที่คงจะยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางความซับซ้อนของปัญหาวิกฤตการคลังในยูโรโซน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม PIIGS (โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน) ที่ยังยากจะเยียวยาในอนาคตอันใกล้

 ทั้งนี้ ในปัจจุบัน มาตรการช่วยเหลือกรีซไม่ได้จัดการกับปัญหาการคลังที่สำคัญ โดยสหภาพยุโรปยังไม่มีหน่วยงานควบคุมการใช้จ่ายและการจัดเก็บภาษี อีกทั้งแผนที่วางไว้อาจนำไปปฏิบัติได้ยาก อาทิ กรีซต้องลดการใช้จ่ายภาครัฐในช่วง 4 ปีข้างหน้ารวมกันคิดเป็นขนาดสูงถึง 11% ของ GDP

นอกจากนี้ จากการประท้วงและการหยุดงานของประชาชน นอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปทางการคลังแล้ว ก็ยังอาจทำให้ GDP ออกมาแย่กว่าที่คิด ขณะที่ IMF มองว่า GDP ของกรีซจะหดตัว 4% ในปีนี้และอีก 2.6% ในปีหน้า โดยขนาดหนี้สินที่สูงมาก ประกอบกับความเสี่ยงที่การเติบโตเศรษฐกิจและฐานะการคลังอาจจะออกมาแย่กว่าที่คาด อาจนำมาสู่โอกาสการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มเติม

ตลอดจนความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต ซึ่งอาจจะกระทบต่อธนาคารเจ้าหนี้ต่าง ๆ ในยุโรป อันมีสภาพที่ย่ำแย่อยู่แล้วได้ (โดยเป็นที่คาดหมายว่า ประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม PIIGS อาจเผชิญสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับกรีซ แม้ว่าอาจไม่เลวร้ายเท่าก็ตาม ขณะที่ สเปนเพิ่งถูกปรับลดอันดับเครดิตลงโดยฟิทต์ เรตติ้ง จากระดับ AAA เป็น AA+ ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2553)   อนึ่ง ท่ามกลางความเป็นไปได้ข้างต้นดังกล่าว ความต้องการลงทุนในทองคำเพื่อประกันความเสี่ยงของนักลงทุนสถาบันก็น่าจะมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ ค่าเงินยูโรและตลาดหุ้นอาจยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อเนื่องไปในระยะข้างหน้า

  การขายทองคำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อาจมีอิทธิพลต่อราคาทองคำ บ้าง แต่คาดว่าธนาคารกลางชาติต่างๆ อาจยังมีความต้องการถือครองทองคำเพื่อทดแทนเงินยูโรที่อาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลง  ในปีนี้ IMF มีแนวโน้มที่จะขายทองคำ (Quota) ออกสู่ตลาดจำนวน 191.3 ตัน ซึ่งอาจจะส่งผลต่อราคาทองคำในตลาดในช่วงที่มีการทำสัญญาซื้อขาย อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดหมายว่า การถือครองทองคำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางชาติเอเชียที่มีการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง ยังน่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 เนื่องจากแนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินสกุลหลักโดยเฉพาะเงินยูโร ซึ่งส่งผลกระทบต่อฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ธนาคารกลางในประเทศต่างๆ จึงอาจจะมีการลดการถือครองเงินสกุลหลักดังกล่าวลง ขณะที่ยังคงให้น้ำหนักกับการสะสมทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนที่ปริมาณทุนสำรองในรูปทองคำ (Gold reserves) ของธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 780 ตัน (25.096 ล้านออนซ์) คิดเป็นการเพิ่ม 2.63% โดยมาจากการซื้อทองคำเพิ่มของประเทศจีน และอินเดีย

 ทั้งนี้ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาประเทศจีนมีการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 454 ตัน (คิดเป็นการเพิ่ม 75.69% เมื่อเทียบกับปีก่อน : YoY) และอินเดียมีการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 200 ตัน (คิดเป็นการเพิ่ม  55.90% เมื่อเทียบกับปีก่อน : YoY ) โดยข้อมูลล่าสุด ณ มี.ค. 2553 ประเทศจีนและประเทศอินเดียถือครองทองคำอยู่ที่ 1054.1 ตันและ 557.7 ตันคิดเป็น 1.6% และ 6.9% ของปริมาณเงินทุนสำรองทั้งหมดตามลำดับ (ประเทศไทยมีการถือครองทองคำ 84 ตันคิดเป็น 2.0% ของปริมาณเงินทุนสำรองทั้งหมด) ซึ่งยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่าหากเทียบกับปริมาณทุนสำรองในรูปทองคำทั่วโลกที่มีอยู่ประมาณ 10% ของปริมาณทุนสำรองทั้งหมด นั่นหมายความว่ายังมีโอกาสที่ประเทศจีน และอินเดียอาจมีการถืครองทองคำเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต

   อุปทานทองคำที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในขอบเขตที่จำกัด...คงช่วยหนุนราคาทองคำในระยะยาว ใน ระยะยาวแล้ว ราคาทองคำยังคงน่าจะปรับตัวขึ้นได้อีกเนื่องจากปริมาณทองคำที่ผลิตได้จากเหมืองแร่ทั่วโลกมีจำกัด  โดยในปัจจุบัน อายุที่เหลือของเหมืองแร่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 25-30 ปี อีกทั้ง จากการสำรวจทองคำในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีต้นทุนในการสำรวจที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากการปรับปรุงความปลอดภัยในการทำงานของคนงาน การรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อย่างไรก็ดี เป็นที่คาดกันว่า กว่าเหมืองต่างๆ จะสำรวจแหล่งทองคำและผลิตจนสามารถทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นได้ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน

โดยสรุปแล้ว จากปัจจัยต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะความต้องการลงทุนของนักลงทุนสถาบันเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ท่ามกลางความวิตกกังวลต่อวิกฤตหนี้ของยูโรโซนที่ยากจะยุติลงในอนาคตอันใกล้  ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าราคาทองคำในตลาดโลกยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกในระยะที่เหลือของปี

 อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่า พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนสถาบันดังกล่าว เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วตามเหตุการณ์ นั่นหมายความว่า หากสถานการณ์แวดล้อมของเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้ อาทิ ปัญหาวิกฤติหนี้ของยุโรปคลายตัวลงเร็วกว่า/ดีกว่าที่คาด หรือเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวอย่างชัดเจนและแข็งแกร่งเกินคาด จนนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) แล้ว  ความต้องการลงทุนในทองคำของนักลงทุนสถาบันก็อาจปรับตัวลดลง นำมาสู่แรงเทขายเพื่อนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าได้

ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า แนวโน้มการปรับขึ้นของราคาทองคำโลกในระยะจากนี้ไป คงจะเผชิญกับโอกาสการปรับฐาน และความผันผวนที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้การทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุนสถาบัน รวมไปถึงนักลงทุนรายย่อย อาจต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการจับจังหวะการลงทุนเป็นสำคัญ  ขณะที่ ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นไปมากแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี 2553 อาจทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำในระยะที่เหลือของปี 2553 อาจอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับผลตอบแทนกว่า 10% ที่ทำได้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ รวมถึงกว่า 20% ในปี 2550 และปี 2552
214  สมาชิก VIP / General Discussion / Re: ฝาก​แบงค์อย่าง​ไร​ไม่ต้อง​เสียภาษี เมื่อ: มิถุนายน 02, 2010, 12:21:52 PM
น่าสนใจดีค่ะ
215  สมาชิก VIP / General Discussion / คุยอย่างไรไม่ให้ทะเลาะกัน เมื่อ: มิถุนายน 02, 2010, 12:10:02 PM
คุยอย่างไรไม่ให้ทะเลาะกัน

ถ้าทุกครั้งที่คุณมีประเด็นที่จำเป็นต้องพูดคุยกับคู่ของคุณ แล้วก็มักจะลงเอยด้วยการทะเลาะกัน หรือไม่อาจจบประเด็นที่ค้างคาใจกันได้ เพราะคุณ (หรือเขา) ไม่อาจยอมรับความจริงได้ ก็แสดงว่าการสื่อสารระหว่างคุณกำลังมีปัญหาซึ่งอาจทำให้คุณสองคนห่างเหินกันออกไปเรื่อยๆ ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้ใช้ขั้นตอนเหล่นี้ที่จะช่วยให้คุณสื่อสารกันด้วย ความมั่นคงทางอารมณ์และจบปัญหาลงได้โดยไม่ต้องทะเลาะกัน

ให้หรือรับข้อมูล

          จงเปิดใจต่อสิ่งที่ได้รับจากคู่ของคุณ คุณต้องยินดีที่จะทดสอบหรือถูกทดสอบคุณไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คุณคิด แต่ทุกอย่างที่คุณพูดออกไปต้องเที่ยวตรง ถ้าคู่ของคุณถามว่าคุณไม่สบายใจหรือเปล่า และถ้าคุณไม่สบายใจหรือโกรธ ก็ต้องพูดออกไปว่า "ใช่" มันสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องพูดความจริง


ชี้ชัดข้อมูลและอารมณ์

          หลังจากได้รับข้อมูลจากคู่ของคุณแล้ว แยกแยะว่าสิ่งที่คุณกำลังได้ยินคือสิ่งที่คู่ของคุณพูดออกมาจริงหรือเปล่า คุณต้องทวนว่า "สิ่งที่ฉันได้ยินจากคุณก็คือ..." จากนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจในความรู้สึกของเขาหรือเธอ คุณก็อาจพูดบางอย่าง เช่น "ความรู้สึกที่ฉันได้จากคุณก็คือความขุ่นข้องใจ ความโกรธ และเจ็บปวด" เพื่อให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธในสิ่งที่ตรงกับความรู้สึกของตัวเอง

อยู่กับปัจจุบัน

          จดจ่อกับเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่อย่าได้ขุดคุ้ยเรื่องในอดีตขึ้นมา ซึ่งจะทำให้ประเด็นทั้งหมดเบี่ยงบนไป

อย่าเดินหนี

          อย่าได้เดินหนีไปก่อนที่การพูดคุยจะจบสิ้นลง เพื่อไม่ให้มันยืดเยื้อมากนัก คุณสามารถต่อรองจำกัดเวลาก่อนหน้าได้ เพื่อที่ทั้งสองจะได้รู้ว่าการสนทนาจะยาวนานแค่ไหน
216  สมาชิก VIP / General Discussion / เคล็ดลับช่วยเผาผลาญเมื่อเผลอตามใจปาก (Woman's Story) เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2010, 06:35:11 PM
เคล็ดลับช่วยเผาผลาญเมื่อเผลอตามใจปาก (Woman's Story)
          ถึงแม้ว่าสาว ๆ จะเคร่งครัดในการทานอาหาร และควบคุมน้ำหนักอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าต้องมีช่วงเวลาที่แอบเผลอตามใจปากกันบ้าง ซึ่งก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะเรามีเคล็ดลับดี ๆ ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไปเลยมาแนะนำค่ะ

 น้ำส้มสดช่วยคุณได้

          เพราะวิตามินที่อยู่ในส้มจะช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ และถ้าทานเป็นผลเลยก็จะช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะในส้มมีเส้นใยธรรมชาติที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานค่ะ

 อาหารจำพวกธัญพืช

          เนื่องจากอุดมด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำการย่อยช้า ๆ เข้าสู่ร่างกาย เราก็จะรู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น

 เคี้ยวให้ช้าลง

          การทานเร็วจะทำให้ทานอาหารมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว และทางที่ดีหลัง 6 โมงเย็นไม่ควรทานอะไรอีก

 เลือกทานผักและผลไม้เป็นประจำ

          มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอยู่มากมาย จึงจำเป็นที่ร่างกายต้องได้รับทุกวัน ซึ่งผลไม้ควรเลือกที่ให้พลังงานต่ำ อย่างเช่น มะม่วง ฝรั่ง ชมพู่ แตงโม เป็นต้นค่ะ

 เคลื่อนไหวร่างกาย

          หาเวลาว่างเคลื่อนไหวร่างกายให้ได้เหงื่อบ้าง หรือถ้ามีเวลาก็ไปออกกำลังดีกว่า โดยเริ่มแรกอาจจะวันละ 30 นาที และเมื่อร่างกายปรับเข้าที่ก็เพิ่มเป็นวันละ 1 ชั่วโมง จะช่วยเผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดี


          รู้แล้วก็รีบทำเลยนะคะ จะได้กำจัดเจ้าส่วนเกินออกไปได้เร็ว ๆ และกลับมาสวยเพรียวเหมือนเดิม
217  วิเคาระห์กราฟแนวโน้มราคาทองรายวัน / วิเคาระห์กราฟแนวโน้มราคาทองรายวัน / วิเคาระห์กราฟแนวโน้มราคาทองรายวัน โดย Chart Pro-->ขึ้นจริงๆค่ะอาจารย์ เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2010, 02:08:34 PM

ขึ้นจริงๆค่ะอาจารย์ หนูดูทั้งโกลฮิฟ ทั้งร้านทองบอกจะลง มีอาจารย์คนเดียวแหละบอกจะขึ้น ขึ้นจริงด้วยค่ะ ฝากเป็นศิษย์เลยแล้วกันค่ะ Kiss Kiss Kiss
218  สมาชิก VIP / General Discussion / พูด กับเจ้านายอย่างไร ให้เป็นศรีแก่งาน เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2010, 01:57:16 PM
พูด กับเจ้านายอย่างไร ให้เป็นศรีแก่งาน
พูด กับเจ้านายอย่างไรให้เป็นศรีแก่งาน (Lisa)

 พูด ก่อนอื่นเลย หมั่นอัพเดตความคืบหน้าของงานให้หัวหน้าทราบ เพื่อจะได้รู้ฟีดแบ็กอย่างสม่ำเสมอ ถ้ามีปัญหาติดขัดก็อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ

 พูดให้เคลียร์ถ้ามีปัญหา โดยเฉพาะถ้ามีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ก่อนเรื่องจะถึงมือหัวหน้า คุณควรพยายามจัดการปัญหาเองเสียก่อน แต่ถ้าต้องพูดกับหัวหน้าจริง ๆ ให้พูดอย่างเป็นกลางและไม่ใส่อารมณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้

 พูดแต่ไม่จำเป็นต้อง "เยส" แม้พนักงานมักจะรู้สึกว่าต้องทำทุกสิ่งที่เจ้านายแนะ แต่คุณต้องรวบรวมความกล้าที่จะปฏิเสธ ถ้าคิดว่าโปรเจ็กต์นั้นไม่มีประโยชน์หรือเป็นไปไม่ได้ลองเปิดเผยความคิดเห็นออกมา พร้อมกับเสนอทางเลือกอื่น ๆ หรือลองประนีประนอมดู

 พูดก่อนสายเกินแก้ อย่าทำให้หัวหน้าหัวใจวายกับข่าวร้ายที่แก้ไขไม่ได้ เมื่อคุณมีเรื่องสำคัญต้องการจะบอก ไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายก็ตาม คุณควรบอกให้หัวหน้ารู้ทันทีที่เป็นไปได้ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมหรือเตรียมรับมืออย่างถูกต้อง

 พูดและยอมรับ หัวหน้าก็คือหัวหน้า บางคนอาจทำใจยอมรับหัวหน้าไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเราเป็นคนทะเยอทะยานและหัวหน้าเด็กกว่าเรา แต่เขาก็ยังมีอำนาจและหน้าที่สั่งงานเราอยู่ดีน่ะแหละ สิ่งที่เราทำได้คือทำงานให้ดีเยี่ยมที่สุด ไม่ว่ามีปัญหาอะไรก็จงขังลืมเอาไว้ในลิ้นชัก ถึงเราจะคิดว่าตัวเองเก่งกว่าหัวหน้า แต่เราก็ไม่ใช่หัวหน้านะจ๊ะ ขอบอก
219  สมาชิก VIP / General Discussion / ดูแลพรมปูพื้นรถยนต์ เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2010, 10:06:23 PM
          นอกจากเครื่องยนต์กลไกและตัวรถแล้ว ยังมีอีกส่วนหนึ่งของรถที่อย่ามองข้ามไปเสียล่ะ...ก็พรมปูพื้นในรถคุณนั่นไง

          พรมในรถยนต์ไม่ได้มีประโยชน์แค่ช่วยปกปิดความแข็งกระด้างของโลหะตัวถังพื้นรถเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันความร้อน ทั้งจากเครื่องยนต์ที่กำลังทำงาน และจากผิวถนนที่ถูกแสงแดดเผาในเวลากลางวันช่วยควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารให้คงที่ และยังช่วยซับเสียงรบกวน จากภายนอกด้วย ฉะนั้น มาดูแลพรมกันให้ดีเวลามีปัญหาต่อไปนี้

           พรมเปียกน้ำ ถ้าพรมเปียกน้ำเพียงเล็กน้อย ให้เช็ดด้วยผ้าหรือกระดาษทิชชู่ แล้วนำรถมาจอดไว้กลางแดดโดยเปิดกระจกทิ้งไว้ ความร้อนจะช่วยทำให้พรมแห้งได้ แต่ถ้าพรมเปียกน้ำมาก ควรถอดเบาะนั่งออกก่อน แล้วถอดพรมออกมาซักผึ่งแดดจัด ๆ อย่างน้อย 2 วัน หรือจนกว่าจะแห้งสนิทจึงนำไปใส่ที่เดิม

           ถ้าพรมเปื้อนโคลนหรืออาเจียน ควรใช้อุปกรณ์ตักเซาะเอาความสกปรกออก ใช้ผ้าแห้งที่สะอาดซับเอาความเปียกขึ้นออกไป โดยเช็ดจากวงนอกเข้าไปกลางจุดที่เปื้อน เพื่อป้องกันความสกปรกขยายวงกว้างออกไป ถ้ายังสกปรกอยู่อีกให้ใช้แชมพูซักพรมฉีดบริเวณนั้น

           ในกรณีที่ขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ควรนำรถไปจอดกลางแดดที่ร้อนจัด ปิดกระจกทุกบานไว้ประมาณ 2-5 ชั่วโมง จึงค่อยเปิดประตูรถให้ลมพัดผ่าน ความร้อนจากแสงแดดจะช่วยทำลายกลิ่นให้จางลงหรือหมดไป

           หมากฝรั่งติดพรม อย่าขูดหมากฝรั่งออกตอนที่ยังเหนียวอยู่ให้ใช้ก้อนน้ำแข็งมาประคบที่หมากฝรั่งให้เย็นจนแข็งตัว จะทำให้ขูดหมากฝรั่งออกได้ง่ายขึ้น

          พรมเปื้อนสารเคมี ถ้าพรมเปื้อนสารเคมีจำพวกยาทาเล็บ น้ำมันเครื่อง หรือจาระบี ควรใช้แชมพูสำหรับซักพรมโดยเฉพาะ และล้างออกทันที ก่อนที่สารเคมีเหล่านี้จะจับตัว ซึ่งยิ่งทำให้ล้างออกยาก
220  สมาชิก VIP / General Discussion / คุณโต้แย้งอย่างมีชั้นเชิงหรือไม่ เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2010, 10:04:33 PM
 คุณโต้แย้งอย่างมีชั้นเชิงหรือไม่ (Men’s Health)

โดย กนกวรรณ แก้วฟ้า (kanokwan_k@apm.co.th) จาก APMGroup

             การขัดแย้งทางความคิดในที่ทำงานหรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ เพราะทุกคนต่างมีแนวทางความคิดเห็นในการทำงานตามแบบฉบับของตนเอง การขัดแย้งหรือโต้เถียงกันเพื่อให้แนวทางของตนเองเป็นที่ยอมรับย่อมเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ถ้าเป็นการขัดแย้งในกลุ่มทีมงานที่มีตำแหน่ง หรือระดับงานเดียวกัน โอกาสที่จะชนะนั้นก็พอมีอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับเหตุผลหรือปัจจัยอื่น ๆ แต่ถ้าการขัดแย้ง โต้เถียงกับผู้บังคับบัญชา โอกาสที่คุณจะชนะอาจเป็นไปได้ยาก 

             ลองมาดูกันซิว่าชั้นเชิงในการโต้แย้งกับเจ้านายของคุณ สามารถให้ผลลัพธ์เป็นไปตามใจคุณได้หรือไม่

      1. ระหว่างการประชุมวงแผนงานประจำปี หากคุณพิจารณาแล้วว่าแผนงานที่เจ้านายวางเอาไว้นั้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สำเร็จ คุณจะ...

             ก. ตัดสินใจพูดกับเจ้านายกลางที่ประชุมทันที เพราะขั้นตอนการวางแผนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่คุณไม่อยากให้เกิดความผิดพลาด (ถ้าคุณเลือกข้อ ก. ไปที่ข้อ 2)

             ข. รอให้จบการประชุม จากนั้นจึงเข้าไปพูดกับเจ้านาย (ถ้าคุณเลือกข้อ ข. ไปที่ข้อ 3)

      2. ยกมือแสดงความคิดเห็นโดยพูดว่า...

             ก. แผนของเจ้านายมีแนวโน้มที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเหตุผลใดบ้าง (ถ้าคุณเลือกข้อ ก. ไปที่ A)

             ข. คุณมีคำถามที่จะชักถามมากมาย ดังนั้น คุณต้องการที่จะนัดประชุมกับเจ้านายเกี่ยวกับเรื่องนี้ (ถ้าคุณเลือกข้อ ข. ไปที่ข้อ 4)

      3. หลังจากจบการประชุมแล้ว คุณเดินเข้าไปพูดกับเจ้านายว่า...

             ก. แผนของเจ้านายนั้นมีแนวโน้มที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเหตุผลใดบ้าง (ถ้าคุณเลือกข้อ ก. ไปที่ A)

             ข. คุณมีคำถามที่จะซักถามมากมาย ดังนั้น คุณต้องการที่จะนัดประชุมกับเจ้านายเกี่ยวกับเรื่องนี้ (ถ้าคุณเลือกข้อ ข. ไปที่ข้อ 4)

      4. ในการซักถามปัญหาหรือข้อสงสัยต่างๆ นั้น คุณทำโดย...

             ก. ตั้งคำถามปลายเปิด เพื่อเปิดโอกาสให้คุณซักถามอย่างลงลึกมากขึ้น (ถ้าคุณเลือกข้อ ก. ไปที่ข้อ 5)

             ข. ตั้งคำถามที่จะชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดในแผนการของเจ้านาย (ถ้าคุณเลือกข้อ ข. ไปที่ B)

      5. หลังจากที่คุณรับฟังคำอธิบายของเจ้านายแล้วคุณจะ...

             ก. ทวนสิ่งที่คุณเข้าใจ จากนั้นขอนัดเจ้านายเพื่อประชุมอีกครั้งแต่คราวนี้เพื่อนำเสนอความคิดของคุณ (ถ้าคุณเลือกข้อ ก. ไปที่ข้อ 6)

             ข. รีบนำเสนอความคิดเห็นของคุณในแผนการนี้ทันที (ถ้าคุณเลือกข้อ ข. ไปที่ C)

      6. ในการประชุมรอบที่สอง คุณจะนำเสนอโดย...

             ก. นำเสนอแผนงานที่สอดคล้องกับความต้องการของเจ้านาย (ถ้าคุณเลือกข้อ ก. ไปที่ D)

             ข. นำเสนอแผนงานที่ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของแผนงานเจ้านาย (ถ้าคุณเลือกข้อ ข. ไปที่ E)


       ถ้าคำตอบของคุณคือ A

             การโต้แย้งของคุณกับเจ้านายเป็นการขัดแย้งแบบรุนแรง เพราะการที่คุเข้าไปชี้ให้เจ้านายเห็นว่าแผนงานของเขาหรือเธอนั้นมีความไม่สมบูรณ์ จะทำให้เจ้านายเกิดความรู้สึกต่อต้าน และต้องการที่จะปกป้องแผนงานตนเอง การขัดแย้งในลักษณะนี้ แตกต่างจากการขัดแย้งระหว่างการประชุมหารือ เพราะในกรณีหลังเป็นความต้องการความคิดเห็นจากหลาย ๆ ฝ่าย การโต้เถียงเพื่อให้ได้มุมมองที่แตกต่างย่อมเกิดผลดีมากกว่า ขณะที่ความขัดแย้งในแผนงานเป็นเหมือนการประกาศว่าแผนงานของเจ้านายนั้นมีความผิดพลาด

       ถ้าคำตอบของคุณคือ B

             การขอนัดประชุมเพื่อซักถามเป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตามคุณไม่ควรใช้โอกาสและเวทีนี้เพื่อการซักฟอกหรือไล่ต้อนเจ้านาย สิ่งที่คุณต้องการจากเจ้านาย คือการยอมรับ ไม่ใช่การพิสูจน์ว่าแผนการของเจ้านายคุณผิดพลาด การเปิดโอกาสให้ตัวคุณเองได้รับฟังวัตถุประสงค์และความคิดเห็นของเจ้านายอาจช่วยให้คุณได้เรียนรู้มากขึ้น

       ถ้าคำตอบของคุณคือ C

             การรีบนำเสนอแผนงานของคุณทันทีอาจทำให้คุณไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้านาย หลังจากได้รับฟัง คำอธิบายจากเจ้านายแล้ว ควรบอกว่าคุณมีความคิดเห็นที่ต้องการนำเสนอในการประชุมคราวหน้า จากนั้นนัดประชุมกับเจ้านายเพื่อหาโอกาสนำเสนอแผนงานของคุณ อย่าลืมว่าคุณควรที่จะนำเสนอแผนงานที่เกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยงกับความต้องการของเจานายคุณด้วย

       ถ้าคำตอบของคุณคือ D

             คุณเป็นผู้ที่สามารถเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นไปตามความต้องการของคุณได้ ถ้าแผนงานของคุณดีเลิศ สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือให้เจ้านายยอมรับในแผนงานของคุณ โดยที่ไม่ได้ทำให้เจ้านายรู้สึกว่าคุณชี้ให้เขาหรือเธอเห็นข้อผิดพลาดในแผนงานของพวกเขา

       ถ้าคำตอบของคุณคือ E

             คุณไม่ควรใช้โอกาสและเวทีนี้เพื่อการซักฟอกหรือไล่ต้อนเจ้านาย สิ่งที่คุณต้องการจากเจ้านายคือ การยอมรับ ไม่ใช่การพิสูจน์ว่าแผนงานของเจ้านายผิดพลาด การเปิดโอกาสให้ตัวคุณเองได้รับฟัง วัตถุประสงค์และความคิดเห็นของเจ้านายอาจช่วยให้คุณได้เรียนรู้มากขึ้น
221  สมาชิก VIP / General Discussion / การลดน้ำหนักขั้นพื้นฐาน ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2010, 08:57:26 PM
การลดน้ำหนักขั้นพื้นฐาน ที่ใคร ๆ ก็ทำได้
การลดน้ำหนักขั้นพื้นฐาน ที่ใครก็ทำได้ (woman's story)

          ปัจจุบันวิธีการลดน้ำหนักนั้น ก็มีออกมามากมายหลายรูปแบบ จนคุณสาว ๆ หลายคนอาจจะเลือกจนเวียนหัว เพราะไม่รู้จะเลือกทำวิธีไหนก่อนดี ดังนั้นจึงขอแนะนำวิธีที่เบสิกที่สุดให้เป็นการอุ่นเครื่อง ก่อนที่จะเพิ่มระดับในขั้นต่อ ๆ ไปให้นำไปใช้กันดังนี้ค่ะ

           รับประทานผักผลไม้ให้มาก ๆ  และงดปรุงอาหารด้วยไขมัน

           ลดอาหารที่มีแคลอรีสูง เช่น กล้วยทอด ปาท่องโก๋ พิซซ่า โรตี กะทิ เป็นต้น

           เลือกดื่มนมพร่องมันเนย

           ลดการทานของหวาน หรืออาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก

           งดการดื่มแอลกอฮอล์

           บริหารร่างกายโดยการเดินแทนการใช้รถ ขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์

           ออกกำลังที่คุณชื่นชอบอย่างสม่ำเสมอ เช่น ว่ายน้ำ แบดมินตัน ฯลฯ

          ถ้าหากเบื้องต้นคุณสามารถทำได้ตามนี้แล้ว การลดน้ำหนักในขั้นต่อไปก็คงไม่อยากแล้วล่ะค่ะ
222  สมาชิก VIP / General Discussion / Re: เจาะลึกชีวิต กรรณิกา ธรรมเกษร อดีตพิธีกรชื่อดัง เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2010, 08:56:15 PM
ชอบค่ะ อ่านทีไรก็มีกำลังใจน่าดู Tongue Tongue
223  สมาชิก VIP / General Discussion / Re: ต้นใผ่ และใบเฟิร์น เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2010, 08:55:14 PM
กลับมาอ่านใหม่แล้วได้แง่คิดจริงๆ icon_ninja
224  สมาชิก VIP / General Discussion / น้ำแข็งแห้ง อันตรายข้างตัวที่นึกไม่ถึง!! เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2010, 08:54:35 PM
น้ำแข็งแห้ง อันตรายข้างตัวที่นึกไม่ถึง!!
อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้!!

หลายคนคงนึกถึงอะไรเย็นๆ ที่จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้ อย่างห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ มีพัดลมสักตัว หรือแม้แต่การซื้อ น้ำแข็ง ตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อดับร้อน... บางรายก็มีไอเดียเก๋ไก๋ เอาน้ำแข็งชนิดที่รับประทานไม่ได้อย่าง น้ำแข็งแห้ง มาใช้คลายร้อนซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ!! ...แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีโทษอย่างที่เราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...

น้ำแข็งแห้ง แต่ก่อนใช้กันในเฉพาะวงการอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบสำหรับทำฝนเทียม ทำน้ำยาดังเพลิงเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่โตต่างๆ ในคอนเสิร์ตเองก็ใช้เพื่อสร้างควันหรือหมอกจำลอง แม้แต่งานแต่งงานก็มีการใช้น้ำแข็งแห้งมาประดับภายในงานเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเย็นสบาย ...ส่วนที่เห็นได้ใกล้ตัวเราอย่างการบรรจุใส่รถขายไอศกรีม เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลาย ....ที่นำมาใช้แบบนี้เป็นเพราะน้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดถึงลบ 80 องศาเซลเซียส ขณะที่น้ำแข็งธรรมดาทั่วไปมีอุณหภูมิราว 0 องศา โดยมีความเย็นมากกว่าน้ำแข็งธรรมดาทั่วไป 2 หรือ 3 เท่า จึงนิยมนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทไอศกรีม นม เบเกอรี่ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหารในขั้นตอนการผลิตหรือในการขนส่ง หรือใช้เก็บอาหารสำหรับเสิร์ฟบนเครื่องบิน และอาจใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดฟองปุดๆ ทำให้เครื่องดื่มนั้นดูน่าสนใจขึ้น

แต่หากนำมาใช้กันอย่างถูกวิธี น้ำแข็งแห้ง ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่หากใช้ผิดวิธีแล้วล่ะก็!! อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน เพราะ น้ำแข็งแห้งหรือดรายไอซ์นั้นแท้จริงแล้ว มันก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง หรือชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง นั่นเอง ขั้นตอนในการผลิตก็ค่อนข้างซับซ้อน นั่นคือต้องนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการอัดและลดอุณหภูมิลงภายใต้ความดันสูง จนได้ออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เหลว จากนั้นก็ต้องทำการลดความดันลงอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้วิธีการพ่นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวออกไปสู่ความดันบรรยากาศ จึงจะได้ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือ น้ำแข็งแห้งออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ แต่น้ำแข็งแห้งจะไม่หลอมละลายกลายเป็นน้ำเหมือนน้ำแข็งทั่วไป แต่จะระเหิดและกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทน
เพราะความเย็นจัดของไอ้เจ้าน้ำแข็งแห้งนี่เอง...ที่ทำให้เราอาจได้รับบาดเจ็บ หากสัมผัสมันด้วยมือเปล่า เพราะอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า frost bite หรือผิวหนังไหม้จากอุณหภูมิเย็นจัด ซึ่งอาการจะปวดแสบ ปวดร้อนยิ่งกว่าการถูกไหม้จากน้ำร้อนลวกเสียอีก ดังนั้น เวลาจำเป็นต้องสัมผัสน้ำแข็งแห้ง จึงควรใช้ถุงมือหรือกระดาษมารองไว้อีกหนึ่งชั้นก็พอจะช่วยลดอันตรายลงได้บ้าง หากในกรณีที่ถูกน้ำแข็งกัด ก็ให้ล้างมือโดยเร็ว ด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากและไปพบแพทย์ทันที

แต่อันตรายที่ยิ่งกว่าของน้ำแข็งแห้ง ก็คือ ต้องไม่ลืมว่า ทั้งก้อนน้ำแข็งแห้งนั้น มันคือ คาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของเรา หากต้องเล่นกับน้ำแข็งแห้งที่มีการระเหิดมากๆ จึงควรอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรืออยู่กลางแจ้งเท่านั้น นอกจากนี้ การเก็บน้ำแข็งแห้งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามจัดเก็บน้ำแข็งแห้งปริมาณมาก ๆ ในห้องแคบหรือห้องที่มีเพดานต่ำ หรือที่มีระบบระบายอากาศไม่ดีพอ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหิดออกมาแทนที่ก๊าซออกซิเจน อาจทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ อีกทั้ง ไม่ควรเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมา อาจรวมตัวและเกิดระเบิดขึ้นได้ ที่สำคัญ!! ไม่ควรที่จะมาเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในตู้เย็นโดยเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิของน้ำแข็งแห้งนั้น ต่ำกว่าอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอาจทำให้ตู้เย็นไม่ทำงาน
และหากจำเป็นต้องนำน้ำแข็งแห้งไปใช้ประกอบการแสดงคอนเสิร์ต ควรจัดระบบระบายอากาศด้านล่างให้เหมาะสม เพราะหากระบบระบายอากาศถ่ายเทไม่ดี ก็อาจจะเกิดปัญหาได้เช่นกัน เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศทั่วไป ทำให้ก๊าซดังกล่าวลอยในระดับต่ำ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าก๊าซจะลอกอยู่ในระดับผู้ชมด้านล่างนั่นเอง อาจส่งผลต่อระบบหายใจได้ และที่สำคัญที่สุดห้ามบริโภคน้ำแข็งแห้งโดยตรง หรือแม้กระทั่งน้ำที่ถูกแช่ด้วยน้ำแข็งแห้งโดยเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ชื่อว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง และจำต้องเก็บให้พ้นมือเด็กด้วย

เห็นแล้วหรือยังครับว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากใช้ให้ถูกวิธี ประโยชน์นับไม่ถ้วน แต่หากผิดวิธีกลับมีอันตรายถึงชีวิตได้... น้ำแข็งแห้งคืออะไร? น้ำแข็งแห้งเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แข็งตัว ซึ่งได้ผ่านกรรมวิธีการผลิตทางเคมีแล้ว กรรมวิธีการผลิตก็คือการทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เย็นโดยใช้ความกดดัน ในขั้นแรกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นของเหลว แล้วใช้ท่อเป่าของเหลวนี้อีกจนกลายเป็นของแข็งไปในที่สุด น้ำแข็งแห้งจะมีความเย็นจัดมาก มีอุณหภูมิถึง -80 องศาเซลเซียส การที่น้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดเช่นนี้เอง จึงเป็นอันตรายต่อเรามาก หากเราเผลอรับประทานเข้าไปอาจถึงตายได้ หรือแม้กระทั่งถูกผิวหนังของเรา ก็ทำให้ผิวหนังเราไหม้ได้ แต่เราใช้ประโยชน์จากน้ำแข็งแห้งโดยการแช่เย็นผัก หรือสินค้าอื่นๆ ที่เราต้องการขนส่งในระยะทางที่ไกลๆ ได้ เช่น ขนไปต่างประเทศ เป็นต้น หรือใช้น้ำแข็งแห้งในการวิจัยทางการแพทย์ เพื่อแช่สายเคมีบางอย่างซึ่งนิยมใช้มากในทางการแพทย์ ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า... ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เป็นน้ำแข็งแห้งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร เป็นวัตถุดิบสำหรับในการทำฝนเทียม น้ำยาดังเพลิง สร้างควันหรือหมอกจำลอง ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นต้น

225  สมาชิก VIP / General Discussion / ต้นกำเนิดของ หวานเย็น เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2010, 08:53:17 PM
ต้นกำเนิดของ หวานเย็น
วันหนึ่งในช่วงฤดูหนาว ปี ค.ศ.1905 เด็กชายแฟรงก์ เอ็มเพอร์สั (Frank Epperson) อายุ 11 ปี ได้ผสมโซดาป๊อบกับน้ำทำกินเล่น ด้วยความบังเอิญ เขาลืมส่วนผสมโซดาป๊อบกับไม้คนทิ้งไว้ที่ระเบียงหลังบ้านทั้งคืน รุ่งเช้าแฟรงก์พบส่วนผสมโซดาป๊อบกลายเป็นแท่งน้ำแข็งที่มีไม้เสียบไปแล้ว เขาดึงแท่งไม้ที่มีแท่งน้ำแข็งแสนอร่อยหุ้มอยู่ออกมาจากภาชนะ แฟรงก์รู้ว่าตนเองได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่น่าตื่นเน้นและเข้าท่าเสียแล้ว โดยความบังเอิญแท้ๆ


แฟรงก์เรียกเจ้าสิ่งนี้ในครั้งแรกว่า "เอ๊พเพอร์สัน ไอซิเคิ้ล" (Epperson Icicle) ต่อมาเขาเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ว่า "เอ๊พซิเคิล" (Epsicle) แต่นั้นมาในฤดูร้อน เขาจะทำเจ้าเอ๊พซิเคิลในกล่องน้ำแข็งที่บ้าน เป็นแท่งหวานเย็นออกขายให้กับเพื่อนบ้านในละแวกนั้น ราคาแท่งละ 5 เซนต์ เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้าน แฟรงก์เรียกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้อีกครั้งว่า "ป๊อปซิเคิล" (popsicle) เพราะมันทำมาจากโซดาป๊อบ


และแล้วเจ้าหวานเย็นนี้ก็ได้แพร่ไปทั่วโลก แม้แต่ในเมืองไทยก็นิยมกินกันมาก ตั้งแต่ 40 ปีที่แล้วเป็นต้นมา
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16

Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!