Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /var/www/vhosts/taradthong.com/httpdocs/webboard/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3

Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /var/www/vhosts/taradthong.com/httpdocs/webboard/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3

Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /var/www/vhosts/taradthong.com/httpdocs/webboard/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3
 กระทู้ล่าสุดของ: sanook
TARADTHONG.COM
ธันวาคม 12, 2024, 11:35:39 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
  หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3
1  สมาชิก VIP / General Discussion / Re: VGMC น่าลงทุนหรือเปล่า? เมื่อ: เมษายน 28, 2013, 10:17:10 PM
เราว่าไม่น่าลงทุนนะ พวกชาวต่างชาติเชื่อไม่ค่อยได้ หากอยู่ๆหายตัวไป ปิดเว็ปไป จะทวงเงินยังไงล่ะแค่ในประเทศไทยยังตามจับกันลำบาก เมืองนอกไม่ต้องพูดถึง
2  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / โชคชะตาย้อนศร-ยุโรปอับเฉาอิเหนาศิษย์เก่าไอเอ็มเอฟอู้ฟู่ เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 06:56:29 AM
โชคชะตาย้อนศร-ยุโรปอับเฉาอิเหนาศิษย์เก่าไอเอ็มเอฟอู้ฟู่


      เอเจนซี - ขณะที่คำขู่ลดอันดับประกาศก้องเต็มสองหูยุโรป สถานการณ์ของตลาดเกิดใหม่บางชาติกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน
       
       ตัวอย่างที่บ่งชี้ความแตกต่างชัดเจนที่สุดคืออินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 15 ที่ผ่านมา ฟิตช์ประกาศเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือหนี้ภาครัฐแดนอิเหนาสู่สถานะน่าลงทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี
       
       ย้อนกลับไปในปี 1997 ตอนที่วิกฤตการเงินเอเชียระเบิด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต้องเข้ามาแทรกแซงด้วยเงินกู้ระยะ 3 ปีมูลค่า 10,100 ล้านดอลลาร์ โดยระบุว่า ภาคการธนาคารของอินโดนีเซียไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือความปั่นป่วนทางการเงินที่แผลงฤทธิ์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนั้น
       
       มาถึงปี 2011 จุดที่น่าเป็นห่วงกลับกลายเป็นแบงก์ยุโรป เนื่องจากวิกฤตยูโรโซนยังไม่เห็นทางออกที่ยอมรับได้ทางการเมือง
       
       บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำทั้งสามแห่งของโลกพร้อมใจเตือนชาติยุโรปว่า อาจถูกลดเรตติ้งถ้าไม่สามารถแก้ไขวิกฤตได้ วันที่ 16 ที่ผ่านมา ฟิตช์แถลงว่า ทางออกจะต้องครอบคลุมทั้งด้านเทคนิคและการเมือง
       
       กลับมาที่อินโดนีเซีย การสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า เศรษฐกิจแดนอิเหนาปีหน้าจะขยายตัวถึง 6.4% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของปีปัจจุบันเพียง 0.1% แต่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับยุโรปที่ถูกคาดหมายว่า ปีหน้าเศรษฐกิจจะถดถอย ขณะที่อัตราการเติบโตของอเมริกาอาจได้แค่ 1 ใน 3 ของอินโดนีเซียเท่านั้น
       
       บทเรียนที่เอเชียได้รับจากวิกฤตการเงินปลายทศวรรษ 1990 คือ ต้องแน่ใจว่ามีหลักประกันที่ดีพอ
       
       ปัจจุบัน เอเชียถือครองทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากที่สุดในโลก เฉพาะจีนและญี่ปุ่นรวมกันมีถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ประเทศอื่นๆ อย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ก็มีทุนสำรองมหาศาลเช่นกัน
       
       ทุนสำรองเหล่านี้สามารถเป็นฉนวนปกป้องความปั่นป่วนในตลาดเงินได้ ปีนี้อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย และอีกหลายประเทศ ต่างใช้ทุนสำรองปกป้องไม่ให้ค่าเงินของตนผันผวนเกินไป
       
       ตัวไอเอ็มเอฟเองดูเหมือนได้รับบทเรียนเล็กๆ น้อยๆ จากประสบการณ์ในเอเชียเช่นกัน โดยเฉพาะบทเรียนที่ว่า การให้ประเทศที่ประสบปัญหาตัดลดงบประมาณจำนวนมาก อาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและพลเมืองของประเทศนั้นๆ อย่างรุนแรง
       
       คำแถลงของกองทุนฯ ในเดือนพฤศจิกายน 1997 ระบุว่าข้อตกลงช่วยเหลืออินโดนีเซียอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า จาการ์ตาจะต้องใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินและการคลังเพื่อให้งบประมาณอยู่ในสภาวะเกินดุล
       
       ไอเอ็มเอฟในขณะนั้นคาดว่าการเติบโตของอินโดนีเซียที่เคยอยู่ที่ราว 8% ก่อนวิกฤต จะชะลอลงอยู่ที่ 5% ในปีแรกหลังเข้าโปรแกรม และ 3% ในปีที่ 2 แต่กลับกลายเป็นว่าเศรษฐกิจแดนอิเหนาหดตัว 13.1% ในปี 1998 และขยายตัวแค่ 0.8% ในปีต่อมา
       
       โดมินิก สเตราส์-คาห์น อดีตกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ ยอมรับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ว่า มาตรการปฏิรูปของกองทุนฯ สร้างความเจ็บปวดและทำร้ายคนอินโดนีเซีย
       
       นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกังวลว่า มาตรการรัดเข็มขัดของยุโรปในขณะนี้ที่คล้ายกับที่อินโดนีเซียเคยเจอมา จะจบลงที่เศรษฐกิจเสียหายหนักกว่าเดิมและปัญหาหนี้รุนแรงขึ้น
       
       โอลิวิเยร์ บลองชาร์ด อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ วิจารณ์ว่านักลงทุนมีอาการจิตเสื่อมกับมาตรการรัดเข็มขัดและการเติบโตทางเศรษฐกิจ กล่าวคือมีปฏิกิริยาแง่บวกต่อข่าวการรวมตัวทางการคลังของชาติยูโรโซน แต่ไม่นานกลับคัดค้านเมื่อการรวมตัวนั้นทำให้การเติบโตลดลง ทั้งๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
       
       ประเทศยุโรปคือตัวเก็งที่จะถูกดาวน์เกรดในอีกไม่ช้าไม่นาน การประกาศของเอสแอนด์พีนั้นอาจมีขึ้นได้ทุกเมื่อ ขณะที่มูดี้ส์เผยเมื่อวันที่ 12 ที่ผ่านมาว่า จะทบทวนเรตติ้งของยุโรปในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า
       
       แม้ตลอดปีนี้การลดอันดับและการขู่ลดอันดับเป็นข่าวที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ แต่สำหรับฟิตช์บอกว่า เท่าที่ดำเนินการมาจนถึงขณะนี้บริษัทมีทั้งอัปเกรดและดาวน์เกรดประเทศเป้าหมาย
       
       นับจากวันที่ 5 สิงหาคม เมื่อเอสแอนด์พีหั่นเรตติ้ง AAA ของอเมริกา ประเทศอย่างอินโดนีเซีย บราซิล เอสโตเนีย สาธารณรัฐเช็ก ปารากวัย เปรู คาซัคสถาน และอิสราเอล กลับได้รับการเลื่อนอันดับขึ้นโดยบริษัทจัดอันดับชั้นนำของโลกอย่างน้อย 1 ใน 3 แห่ง
       
       ประเทศต่อไปที่จะได้อัปเกรดอาจเป็นฟิลิปปินส์
       ผู้นำแดนตากาล็อกแสดงความผิดหวังที่อินโดนีเซียได้เลื่อนขั้นจากฟิตช์ก่อน แม้เมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมา เอสแอนด์พีจะทบทวนเรตติ้งมะนิลาเป็นบวกแล้วก็ตาม
       
       สำหรับสถานการณ์ปีหน้านั้น ประเทศก้าวหน้าในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) จะต้องกู้ยืมเงินราว 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง
       
       ในรายงานของโออีซีดีว่าด้วยหนี้ภาครัฐระบุว่า พวกผู้บริหารจัดการหนี้ของชาติโออีซีดีกำลังเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในการระดมทุนเพื่อตอบรับความต้องการกู้ยืมที่สูงเกินคาด
3  สมาชิก VIP / General Discussion / ต้องมนต์เสน่ห์ เมืองปราก นครแห่งพันยอดแหลม เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 11:10:57 PM
ต้องมนต์เสน่ห์ เมืองปราก นครแห่งพันยอดแหลม



ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสุดโรแมนติกอีกเมืองหนึ่งของโลก อาจเพราะมีสถาปัตยกรรมอันหลากหลายที่เก่าแก่และงดงาม ไม่ว่าจะเป็น ปราสาท อาคาร บ้านเรือน สะพาน หรือโบสถ์ รวมถึงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม จนได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม เมื่อ ค.ศ.1992 จึงไม่แปลกใจที่นักเดินทางจากทั่วโลก มักแวะเวียนไปท่องเที่ยว "เมืองปราก" (Prague) เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดใน "สาธารณรัฐเช็ก" เพราะฉะนั้น วันนี้เลยขออาสาพาเพื่อน ๆ ไปเดินทอดน่อง สัมผัสความงามของ "เมืองปราก" กัน อะ ๆ แต่ก่อนที่จะไปชิลล์เมืองปราก เรามาทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมาของเมืองนี้กันก่อนดีกว่า ...



 ประวัติ

            บริเวณ เมืองปราก มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เนื่องจากมีคนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล โดยช่วงแรกเป็นเผ่าเคลต์ (Celt) ก่อนจะถูกรุกรานโดยเผ่าเยอรมนิก (Germanic) และถูกครอบครองโดยเผ่าสลาฟในคริสต์ศตวรรษที่ 4 แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 7 วัฒนธรรมของทั้งสองเผ่าพันธ์ ได้ผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว

            ส่วนตัวเมืองปรากนั้น มีหลักฐานว่าสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และเป็นเมืองหลวงของแคว้นโบฮีเมีย ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน จากนั้นปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 กษัตริย์บอริวอจ พรีมิสโลเวก (Borivoj Premyslovec) ทรงสร้างปราสาทขนาดใหญ่บนเขาสูงสง่าเหนือแม่น้ำวัลตาวา (Vltava) แต่ชาวเยอรมันเรียกแม่น้ำนี่ว่า Moldau เขา Hradchin และมีการขนานนามปราสาทแห่งนี้ว่า ปราฮา (Praha) ซึ่งเป็นชื่อเรียกกรุงปรากในภาษาเช็ก



            กรุงปราก มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 1.2 ล้านคน มีแม่น้ำ Vltava ไหลผ่านกรุงเก่าแก่แห่งนี้ ด้วยเหตุนี้กรุงปรากจึงมีสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำ Vltava อยู่หลายแห่ง และถึงแม้ว่าเมืองปรากจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์ เป็นเวลานานกว่า 40 ปี แต่ปัจจุบันกลายเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรป

            อาจเพราะหลังรอดพ้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองปรากได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่งดงาม สิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่โดดเด่น ถนนสายคดเคี้ยว รวมทั้งพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ และความอบอุ่นเป็นกันเองของชาวเมือง จึงไม่ยากเลยที่จะเป็นเสน่ห์ชักชวนให้นักเดินทางหลงใหลในเสน่ห์ของเมืองนี้

 สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือน ได้แก่...



            ปราสาทปราก (Prague Castle) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.885 เคยเป็นปราสาทของกษัตริย์แห่งเช็กในอดีต อีกทั้งเคยได้รับการรับรองจากกินเนสส์บุ๊ก ว่าเป็นปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวประมาณ 570 เมตร และความกว้างประมาณ 130 เมตร แต่ปัจจุบันรัฐบาลทำเป็นทำเนียบประธานาธิบดี, มหาวิหารเซนต์วิตุส (St. Vitus Cathedral) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1344 ด้วยศิลปะแบบโกธิค แต่แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1929 เป็นที่เก็บมงกุฎเพชรซึ่งทำขึ้นในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 กษัตริย์ผู้สร้างความเจริญสูงสุดจนทำให้เมืองปราก


 
            สะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1357 เพื่อแทนที่สะพานจูดิธซึ่งสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12  ในปัจจุบันสะพานชาร์ลส์เป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่ง สวยโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ทัศนียภาพของสะพานนี้จะสวยงามยิ่งขึ้นในช่วงเช้าตรู่และยามตะวันตกดิน



            จัตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square) และ หอนาฬิกาดาราศาสตร์ (Town Hall Clock) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า แวดล้อมด้วยสถาปัตยกรรมบารอค กอธิค และรอโคโคที่อลังการ จัตุรัสเมืองเก่าเป็นอีกย่านที่น่านั่ง มีคาเฟ่หลายร้านให้เลือก คุณอาจจะเช่าม้าหรือรถม้านั่ง เดินสำรวจตลาด หรือแม้แต่ชมหอนาฬิกาดาราศาสตร์




            จัตุรัสเวนเซสลัส (Wenceslas Square) สัญลักษณ์ของกรุงปรากยุคใหม่ มีแหล่งช้อปปิ้ง คาเฟ่เอฟรอปาซึ่งเป็นศิลปะแบบอาร์ต นูโว และอนุสาวรีย์เซนต์เวนเซสลัส, โบสถ์พระแม่ (Church of Our Lady Before Týn) เป็นสถานที่สำคัญในเขตเมืองเก่าของเมือง และเป็นโบสถ์หลักของเขตเมืองเก่ามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 หอคอยของโบสถ์สูง 80 เมตร และมียอดเล็ก ๆ 4 แห่งอยู่โดยรอบ ภายในโบสถ์มี pipe organ ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปราก สร้างขึ้นโดย Heinrich Mundt และเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของออร์แกน ในศตวรรษที่ 17 ในยุโรป, พระราชวังกินสกีซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบรอโคโค บ้านระฆังหินที่สร้างตั้งแต่ยุคกลาง และโบสถ์เซนต์นิโคลัสแบบบารอค

            ชุมชนชาวยิวยอเซฟอฟ (พิพิธภัณฑ์และโบสถ์เก่า-ใหม่) เป็นชุมชนชาวยิวที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป ตั้งชื่อตามจักรพรรดิยอเซฟที่สอง ประกอบด้วยโบสถ์ยิว 6 หลัง เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่แสนเศร้าของชาวยิวได้ที่พิพิธภัณฑ์ชาวยิว



            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดแสดงงานนิทรรศการประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ปี 1891 ภายในอาคารประดับตกแต่งอย่างสวยงาม อย่าพลาดชมวิวสุดอลังการของจัตุรัสเวนเซสลาสจากชั้นบน



            วิเชฮราด อดีตป้อมปราการที่ไม่มีใครอยากย่างกรายมา แต่ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์ยอดนิยมของชาวกรุงปราก แวะชมโบสถ์เซนต์มาร์ตินซึ่งอาคารหลังคาทรงกลมแบบโรมาเนสก์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง และโบสถ์เซนต์ปีเตอร์และเซนต์ปอล  เพลิดเพลินกับการเดินเล่นในบรรยากาศอันแสนสงบภายในสวน นอกจากนี้ หากคุณอยากดื่มด่ำกับความโรแมนติกของเมืองปราก เราแนะนำให้ไปล่องเรือในแม่น้ำ Vltava เพื่อสัมผัสความทัศนียภาพสองข้างทางที่สวยงามของเมือง

            และนี่เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ เพียงไม่กี่แห่งที่เราหยิบมานำเสนอ เพราะ เมืองปราก ยังมีอะไรให้ได้ชื่นชมอีกเพียบ! ถ้ามีโอกาสอย่าลืมแวะไปสัมผัสด้วยตัวคุณเองนะ



 การเข้าเมือง

            กรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็กเ ป็นสมาชิกในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 จึงมีข้อบังคับการเข้าเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ที่แตกต่างกับนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ โดยพลเมืองจากประเทศในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปใช้เพียงหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวในการเดินทางเข้าประเทศ ข้อกำหนดนี้ยังรวมถึงพลเมืองจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเคนสไตน์ ซึ่งสามารถเดินทางได้อิสระในเขตเศรษฐกิจยุโรป

            ส่วนพลเมืองจากประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (รวมทั้งประเทศไทย) จะต้องใช้หนังสือเดินทางที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน รวมทั้งต้องใช้วีซ่าด้วยในบางกรณี สำหรับคนไทย จะต้องใช้วีซ่ากลุ่มเช็งเกนซึ่ งสามารถขอได้จากสถานทูตสาธารณรัฐเช็กในกรุงเทพ ถ้าคุณถือสิทธิผู้อาศัยหรือวีซ่าของประเทศในกลุ่มเช็งเกนอื่น ๆ คุณก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเข้าเมือง

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่...

สถานทูตเชค ประจำประเทศไทย (สาธารณรัฐ)

ที่อยู่ 71/6 ซอยร่วมฤดี 2 ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 0-2255-5060, 0-2255-3027
โทรสาร 0-2255-4978
E-mail : bangkok@embassy.mzv.cz
4  สมาชิก VIP / General Discussion / 10 สุดยอดดอกไม้แปลกๆในโลก เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 11:05:11 PM
10 สุดยอดดอกไม้แปลกๆในโลก



1. Rafflesia arnoldii หรือดอกบัวผุด

เป็นกาฝากชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่บนรากของพืชจำพวกเถาองุ่นป่า (Tetrastigma) ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ย่านไก่ต้ม มีลักษณะเด่นที่ดอกซึ่งเป็นดอกเดียวขึ้นจากพื้นดินมีขนาดใหญ่ มีกลิ่นเหม็นมาก ให้เห็นระหว่างฤดูฝน ระหว่างพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม

ดอก ตูมอยู่จะคล้ายกับหม้อขนาดใหญ่มีกลีบหนาจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก 70-80 เซนติเมตร ที่โคนของดอกมีกลีบนำสีน้ำตาลอมเหลืองเรียงสลับซับซ้อนกันอยู่มาก ภายในดอกจะมีแผ่นแบนคล้ายจาน ด้านบนมีปุ่มคล้ายหนามแหลมจานนี้จะซ้อนเกสรตัวผู้และรังไข่ไว้ด้านล่าง ดอกจะบานอยู่ได้เพียง 4-5 วันเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ดำเน่าไป ดอกบัวผุดพบใน อำเภอพนม บนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสก ในจังหวัดสุราษฎ์ธานี ซึงเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี

 
 

2. Titan Arum ดอกซากศพ หรือดอกบุกยักษ์

ดอกไม้ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง หรือ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ " Amorphophallus titanum " ชื่อวิทยาศาสตร์แปลเป็นภาษาไทยได้ความหมายว่า ต้น "ลึงค์ยักษ์แปลง" คือแปลงกายให้เหมือนลึงค์แต่ไม่ใช่ลึงค์ เป็นพืชในเขตป่าร้อนชื้น ในพืชตระกูล "บัวผุด" (Rafflesia) เป็นดอกไม้เดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพืช พบขึ้นอยู่บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ลำพังตัวช่อดอกแทงยอดตั้งขึ้นไปกว่า 3 เมตร จึงพืชสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากสัตว์บางชนิด ขณะเดียวกัน กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนที่หึ่งไปทั่ว กลับเย้ายวนแมลงบางชนิดให้มาดูดน้ำหวาน และผสมเกสรให้มัน กล่าวกันว่ากลิ่นของดอก Titan Arum คล้ายกับเนื้อเน่าสำหรับคน แต่กลับเป็นกลิ่นหอมยั่วน้ำลายแมลงเต่าที่ชอบกินของเน่าและแมลงวันให้มาช่วย ผสมเกสร กลีบดอกสีแดงเข้มยังช่วยลวงตาให้สัตว์นึกว่าเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่น่าตอม ด้วย ซึ่งจะบาน 72 ชั่วโมง

 


3. Hydnora africana

พืชพื้นเมืองไปภาคใต้ แอฟริกา พืชเจริญเติบโตใต้ดินยกเว้นดอกไม้อ้วนที่ปรากฏบนพื้นและส่งเสียงของกลิ่น อุจจาระ เพื่อดึงดูดธรรมชาติ ผสมเกสร , ด้วงมูลสัตว์ และ ซากสัตว์ด้วง ดอกไม้ทำหน้าที่เป็นกับดักสำหรับระยะเวลาสั้น ๆ ยึดด้วงที่ใส่แล้วปล่อยพวกเขาเมื่อดอกไม้บานเต็มที่

 

4. Helicodiceros muscivorus - Dead horse arum lily

เป็นไม้ประดับ พื้นเมืองในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน มีกลิ่นเหมือนเนื้อเน่าเหม็นหึ่ง, ดึงดูดแมลง ให้มาผสมเกสร

 


5. ดาร์ลิงโทเนีย (Darlingtonia), Cobra Lilly, ลิลลี่งูเห่า


ลิลลี่งูเห่า เป็นพืชกินแมลงกลุ่มเดียวกับซาราซีเนียและ Heliamphora มีชื่อเสียงในแง่ของความแปลกประหลาด น่าพิศวงและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีชื่อด้านตรงข้ามในแง่ของความบอบบางจนกล่าวกันว่า ลิลลี่งูเห่าเป็นพืชกินแมลงที่เลี้ยงยากที่สุดในโลก แม้แต่ในถิ่นที่ลิลลี่งูเห่ากำเนิดเป็นดงใหญ่ ชาวบ้านในละแวกนั้น ขุดมาใส่กระถางก็ยังตาย ดาร์ลิงโทเนีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Darlingtonia californica ค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1841 โดยผู้ช่วยนักพฤกษศาสตร์นาม J.D. Brackenridge ในหนองน้ำแฉะทางตอนเหนือของรัฐ californica ซึ่งมีภูมิอากาศคล้ายคลึงกับประเทศไทย

ดาร์ลิงโทเนียเป็นพืชล้มลุกไม่มีเนื้อไม้ อายุหลายปี มีต้นฝังอยู่ใต้ดินเรียกว่าเหง้า รากแตกเป็นฝอยเล็กๆ ไม่มีรากแก้ว ใบของมันจะแทงขึ้นพ้นพื้นดินลักษณะเป็นกอ เช่นเดียวกับซาราซีเนีย แต่ความแตกต่างที่เห็นชัดคือว่า กรวยที่ยกขึ้นเป็นหลอดด้านหนึ่งจะโค้งงอเป็นรูปโดม จนไปชนปลายกรวยอีกด้านหนึ่งเหลือไว้เพียงรูเล็กๆ พอให้แมลงมุดขึ้นไปได้ ฝากรวยแปลงรูปไปเป็นแผ่นคล้ายลิ้นงู 2 แฉก แล้วกรวยของมันยังบิดตัวหมุนกลับ 180 องศา ทำให้ลิ้น 2 แฉกหมุนกลับมาอยู่นอกกอ ยอดโดมเป็นเนื้อเยื่อใสคล้ายพลาสติก แสงลอดผ่านได้ ใช้กลิ่นหอมของน้ำหวาน ที่มันผลิตขึ้นบริเวณปากทางเข้า เป็นตัวหลอกล่อให้แมลงเดินเข้าไปยังกับดักและตกลงไปตายในที่สุด

แต่เจ้าลิลลี่งูเห่าทำได้แยบยลกว่านั้น น้ำหวานที่มันผลิตจะหลอกล่อให้แมลงเดินเข้าไปในรูเปิดเล็กๆ บริเวณลิ้นงูเห่า ซึ่งผนังภายในมีน้ำหวานจำนวนมาก แมลงอาจลังเลที่จะมุดตัวเข้าไปในกรวยที่เต็มไปด้วยน้ำย่อย แต่เมื่อมันมองเข้าไปด้านใน มันจะเห็นแสงสว่างส่องมาจากด้านบนของโดม ซึ่งใสคล้ายพลาสติกทำให้มันหลงกลคิดว่าด้านบนคือท้องฟ้า หากเกินเหตุอันตรายมันก็สามาถบินหลบหนีขึ้นไปได้ทันที แมลงเคราะห์ร้ายจึงชะล่าใจมุดเข้าไปกินน้ำหวานลึกเข้าไปในกรวยที่มีขน ละเอียดและแหลมคม หันไปทิศทางเดียวกันทำให้แมลงไม่สามารถเดินย้อนกลับได้

 

6. Heliamphora

เป็นพืชที่มีเหมือกเหนียวสำหรับดักแมลง กลไกของดอกจะมีซอกซับซ้อนที่ทำให้แน่ใจว่าไม่สามารถมีเหยื่อเล็ดรอดไปได้ และเหยื่อจะถูกละลายด้วยน้ำเมือกที่เป็นกรด

 


7. Drosera หรือ หยาดน้ำค้าง

หยาดน้ำค้างเป็นพืชกินสัตว์สกุลใหญ่สกุลหนึ่ง มีอยู่ประมาณ 170 ชนิด เป็นสมาชิกในวงศ์หญ้าน้ำค้าง ล่อ, จับ และย่อยแมลงด้วยต่อมเมือกของมันที่ปกคลุมอยู่ที่ผิวใบ แมลงจะใช้เป็นสารเสริมทดแทนสารอาหารที่ขาดไปจากดินที่ต้นหยาดน้ำค้างขึ้น อยู่ มีหลากหลายชนิด ต่างกันทั้งขนาดและรูปแบบ สามารถพบได้แทบจะในทุกทวีป

ในประเทศไทยพบหยาดน้ำค้างอยู่ 3 ชนิดคือ จอกบ่วาย (Drosera burmannii Vahl), หญ้าน้ำค้าง (Drosera indica L.) และ หญ้าไฟตะกาด

 

8. Dionaea/Venus Flytrap หรือ กาบหอยแครง

กาบหอยแครง (อังกฤษ: Venus Flytrap) เป็นพืชกินสัตว์ที่ดักจับและย่อยกินเหยื่อที่จับได้ ซึ่งส่วนมากเป็นแมลงและแมง กาบหอยแครงมีโครงสร้างกับดักคล้ายคล้ายบานพับแบ่งออกเป็น 2 กลีบ อยู่ที่ปลายใบของแต่ละใบ และมีขนกระตุ้นบางๆบนพื้นผิวด้านในกับดัก เมื่อแมลงมาสัมผัสขนกระตุ้นสองครั้ง กับดักจะงับเข้าหากัน การที่ต้องการสิ่งกระตุ้นที่ซับซ้อนนี้ก็เพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงานไป กับการดักจับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อาหาร

 


9. Nepenthes หรือ หม้อข้าวหม้อแกงลิง

หม้อ (Pitcher) ของต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง คือเครื่องมือของนายพราน - กับดักสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก - ที่พืชสกุลนี้ส่วนใหญ่ (แต่ไม่ทุกต้น) มีไว้เพื่อหาอาหารที่ขาดแคลนในแหล่งดิน มันหลอกล่อเหยื่อให้เดินเข้ากับดักโดยอาศัยกลิ่นเลียนแบบกลิ่นอาหารตาม ธรรมชาติของเหยื่อ อาจเป็นกลิ่นน้ำหวาน กลิ่นเนื้อสัตว์ กลิ่นแมลงเพศเมีย ฯลฯ หรือยั่วยวนเหยื่อด้วยสีสัน หรือน้ำหวาน หม้อข้าวหม้อแกงลิง บางสายพันธุ์สามารถสะท้อนแสงยูวี (Ultraviolet)จากบริเวณปากหม้อ โดยเฉพาะหม้อแถบบอร์เนียว หลักการคล้ายกับการล่อแมลงโดยใช้แสงจากหลอดที่ชาวบ้านเรียกแบล็คไลท์ใช้ล่อ แมงดานา หม้อข้าวหม้อแกงแกงลิงก็มีแบล็คไลท์เพื่อล่อแมลงกลางคืน ด้านในและใต้ส่วนที่งุ้มโค้งของปากหม้อ (peristome) ส่วนใหญ่เป็นแหล่งผลิตน้ำหวานปริมาณ

N. mirabilis ชอบกินมดมาก เมื่อมดแมลงพยายามชะโงกตัวดูดกินน้ำหวานใต้ปากหม้อที่ลื่นและผิวเป็นคลื่น ตามแนวที่เหยื่อชะโงกอยู่ยืน นอกขจากนี้ ผิวที่ปากหม้อยังมีไขมันเคลือบเป็นมัน เหยื่อจึงมีโอกาสพลัดตกลงไปในหม้ออย่างง่ายดาย

หม้อ แต่ละชนิด จะดึงดูดเหยื่อไม่เหมือนกัน เช่นหม้อข้าวหม้อแกงลิงของไทยที่ชื่อ Nepenthes mirabilis เก่งในการล่อมดดำให้ตกลงไปในหม้อคราวละมากๆ บางครั้งเคยเห็นหม้อที่มีมดเกือบเต็ม ในขณะที่หม้ออัลบอ (N. albomarginata ) เก่งในทางหลอกล่อปลวก

 

10.Byblis

เป็นพืชที่เล็กที่สุดในตะกูลต้นไม้กินแมลง ใบผิวของขนหนาแน่นด้วยต่อมขับ เมือก สารจากปลายของเกสร ดึงดูดแมลงเล็กๆให้มาติดกับ ซึ่งเมื่อสัมผัสหลั่งเหนียว ก็จะไม่มีความแข็งแรงพอที่จะหลบหนี แมลงหรือเหยื่อก็จะเสียชีวิตด้วยความอ่อนเพลียทำให้หายใจไม่ออก เมื่อเมือกปกคลุมและอุดตันเส้นทางหายใจ
5  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / ‘โอบามา’เสนอแผนขึ้นภาษีคนรวย ท้าชน‘รีพับลิกัน’ที่ให้เน้นลดรายจ่าย เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 08:03:23 AM
‘โอบามา’เสนอแผนขึ้นภาษีคนรวย ท้าชน‘รีพับลิกัน’ที่ให้เน้นลดรายจ่าย


   เอเอฟพี/เอเจนซี/บีบีซีนิวส์ - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (19) เผยโฉมแผนการของเขาที่จะลดการขาดดุลงบประมาณให้ได้ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาสิบปี ข้อเสนอนี้นอกจากมีการตัดลดรายจ่ายแล้ว ยังกำหนดให้หารายรับเพิ่มราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยการเพิ่มภาษีที่เก็บจากคนร่ำรวย ทางด้านสมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรครีพับลิกัน ได้ออกมาปฏิเสธไม่ยอมรับแผนการนี้โดยกล่าวหาว่าเป็นเพียงการแสดงโลดโผนทางการเมืองเพื่อเรียกคะแนนเสียง ทำให้แทบไม่มีโอกาสเลยที่ข้อเสนอนี้จะได้กลายเป็นกฎหมายบังคับใช้
       
       ในการกล่าวปราศรัยจากสวนกุหลาบของทำเนียบขาวโดยมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์คราวนี้ โอบามาประกาศกร้าวด้วยว่า เขาจะใช้อำนาจยับยั้งแผนการใดๆ ก็ตามที่ให้ลดการขาดดุลงบประมาณด้วยการตัดลดค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีมาตรการหารายได้เพิ่มด้วยการขึ้นภาษี ท่าท่าเช่นนี้ของเขาเท่ากับการเปิดเวทีสำหรับการต่อสู้กันในทางความคิดอุดมการณ์กับพวกรีพับลิกัน ซึ่งยืนยันเหนียวแน่นคัดค้านการขึ้นภาษี โดยที่การโต้แย้งถกเถียงกันนี้น่าจะยืดเยื้อไปจนกระทั่งถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยต่อไปในต้นเดือนพฤศจิกายนปีหน้า
       
       “ผมจะไม่สนับสนุนแผนการใดๆ ที่เป็นการผลักภาระของการลดการขาดดุลของเรามาให้แก่ชาวอเมริกันธรรมดาสามัญ” โอบามาบอก “เราจะต้องไม่ไปทำข้อตกลงแบบด้านเดียว ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่ชาวบ้านเหล่านี้ที่เป็นพวกอ่อนแอที่สุดอยู่แล้ว”
       
       คำปราศรัยคราวนี้ของโอบามา สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นที่จะปกป้องหลักการต่างๆ ของพรรคเดโมแครตด้วยท่าทีอันแข็งกร้าวยิ่งขึ้น ภายหลังที่การทำศึกด้านงบประมาณ 2 ครั้งก่อนในปีนี้กับทางพรรครีพับลิกัน เขาถูกมองว่ายอมอ่อนข้อและถูกทุบตีอย่างสาหัส ซึ่งมีส่วนทำให้เรตติ้งความยอมรับผลงานของเขาไหลรูดลงสู่จุดต่ำสุดเป็นสถิติใหม่
       
       โพลหลายๆ สำนักชี้ว่า เวลานี้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่บอกว่าไม่พอใจกับความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโอบามา และความหวังที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยหนึ่งของโอบามา จึงอาจจะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา ในการทำให้ผู้ออกเสียงเชื่อว่า พวกรีพับลิกันเป็นตัวแทนของคนร่ำรวย ไม่ใช่ชนชั้นกลางที่เป็นคนส่วนใหญ๋ในอเมริกา
       
       โอบามากล่าวย้ำว่า เศรษฐีร่ำรวยและบริษัทใหญ่ทั้งหลาย ควรต้องจ่าย “ส่วนแบ่งอย่างยุติธรรม” ของพวกเขา เพื่อช่วยประเทศชาติลดการขาดดุลงบประมาณ โดยที่เขาเสนอให้ใช้ “กฎของบัฟเฟตต์” ที่จะกำหนดให้ชาวอเมริกันซึ่งมีเงินได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี ต้องจ่ายภาษีในอัตราเดียวกันกับผู้ที่มีเงินได้ไม่ถึงจำนวนดังกล่าว
       
       การเรียกข้อเสนอนี้ว่า “กฎของบัฟเฟตต์” เป็นการอ้างอิงถึง วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนผู้ร่ำรวยมหาศาล ซึ่งออกมาร้องเรียนหลายครั้งว่า เขาและเพื่อนๆ เศรษฐีทั้งหลาย เสียภาษีในอัตราที่น้อยกว่าพวกลูกจ้างพนักงานที่ทำงานให้พวกเขาเสียอีก
       
       ทั้งนี้ ชาวอเมริกันรายได้สูงจำนวนมาก ได้ประโยชน์จากช่องโหว่ในเรื่องภาษีที่ตั้งเกณฑ์กำหนดว่า รายได้จากการเงินทุนจะเสียภาษีในอัตราต่ำกว่ารายได้ที่เป็นค่าจ้าง
       
       เมื่อวันอาทิตย์(18)ที่ผ่านมา พอล ไรอัน ส.ส.รีพับลิกันที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณของสภาล่าง และเป็นผู้สนับสนุนการลดงบประมาณรายจ่ายเยอะๆ แต่ไม่ให้ขึ้นภาษีเลย ได้วิจารณ์แผนการของโอบามาว่า เป็นการประกาศ “สงครามชนชั้น”
       
       ในการปราศรัยที่สวนกุหลาบของทำเนียบขาวคราวนี้ โอบามาได้ถือโอกาสตอบโต้ว่า “นี่ไม่ใช่สงครามชนชั้น มันเป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ต่างหาก” พร้อมกับโต้แย้งว่า ถ้าไม่มีการขึ้นภาษีเอากับพวกที่สามารถจ่ายได้แล้ว การขาดดุลงบประมาณซึ่งทำท่ายืดเยื้อจนคุกคามชาวอเมริกันรุ่นลูกรุ่นหลาน ก็จะไม่มีทางแก้ไขได้
       ทว่าพวกรีพับลิกันก็ดาหน้ากันออกมาคัดค้านแผนการของโอบามาในทันที
       
       “วิธีการนำเอาชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งมาต่อสู้กับอีกกลุ่มหนึ่งเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่การแสดงความเป็นผู้นำเลย” เป็นคำแถลงตอบโต้ของ จอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำรีพับลิกันที่ขัดแย้งอย่างแรงกับโอบามาในเรื่องวิธีแก้การขาดดุลงบประมาณ
       
       แผนการของโอบามานี้ ถือเป็นข้อเสนอแนะที่ส่งให้แก่ คณะมหากรรมาธิการ (supercommittee) ของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยเดโมแครตและรีพับลิกันฝ่ายละ 3 คน คณะมหากรรมาธิการชุดนี้ทำหน้าที่หาช่องทางตัดการขาดดุลงบประมาณให้ได้ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อเสนอต่อรัฐสภาภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
6  สมาชิก VIP / ข่าวตลาดทอง / Re: สวัสดีเจ้า เมื่อ: สิงหาคม 24, 2011, 08:31:57 PM
ลงครับ เขาวิเคราะห์มั่ว
7  สมาชิก VIP / General Discussion / ในยุค 2011 คุณเป็นพ่อแม่ชนิดบรมโง่เขลามาก หรือเปล่า เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 04:29:38 PM
ในยุค 2011 คุณเป็นพ่อแม่ชนิดบรมโง่เขลามาก หรือเปล่า

มีด้วยหรือ ? ที่พ่อแม่จะสอนลูกให้ขี้เกียจ ? ตอบว่า “มี” และมีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย บางทีท่านที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่นี่แหละ ถ้าท่านมีลูก ท่านก็อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยสอน หรือกำลังสอนลูกให้ขี้เกียจอยู่ ! ลองพิจารณาดูทีรึ ว่าจะเป็นความจริงไหม ?

สมมุติว่า ลูกเรากำลังอยู่ในวัยเรียน อายุตั้งแต่ 3 หรือ 8 ขวบขึ้นไป ในวัยนี้เราสามารถที่จะให้ลูกช่วยเราทำงานบ้านได้ตั้งหลายอย่าง แต่พ่อแม่ส่วนมากก็มักจะไม่ให้ทำ ไม่ใช้ให้ทำ หรือไม่บังคับให้ทำ เช่น

- ลูกควรตื่นนอนเวลา 05.00 น. หรือ 06.00 น. พ่อแม่รู้ว่า ถ้าลูกตื่นในช่วงนี้แล้วลุกขึ้นเก็บที่นอน ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าวเสร็จล้างถ้วยชามเสร็จก็จะได้เวลาไปโรงเรียนพอดีๆ

แต่พ่อแม่บางคนหาได้ปลุกลูกในช่วงนี้ไม่ ไปปลุกเอาหลัง 06.00 น. หรือ 07.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่จะออกจากบ้านไปโรงเรียนแล้ว เลยต้องรีบทำอะไรๆ อย่างรีบด่วนไปหมด ขาดๆ ตกๆ ต้องเอะอะโวยวายลั่นบ้าน ให้เสียสุขภาพจิตของตนเองและลูก เพราะมีเวลาน้อย

ตามปกติ ธรรมชาติย่อมสร้างความสมดุลแล้ว ไม่ว่าในการกิน การนอน การสืบพันธ์ หรือการออกกำลังกาย ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องก็ย่อมจะไม่เกิดปัญหา ไม่ว่าระยะสั้นหรือระยะยาว

- งานกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างถ้วยชาม รดน้ำต้นไม้ ดายหญ้า ทำความสะอาดบริเวณบ้าน เก็บกวาดเศษขยะต่างๆ ล้วนแต่ลูกในวัยนี้ช่วยได้ ทำแทนได้เกือบทั้งหมด แต่พ่อแม่ส่วนมากก็ไม่ใช้ให้ทำ

- ถ้ามีรถส่วนตัว งานเช็ดรถ ล้างรถ ทำความสะอาดรถ ลูกในวัยนี้ก็ทำได้สบายมาก เป็นการช่วยให้ลูกได้ออกกำลังกายที่ดี ดีกว่าไปเล่นกีฬา และได้ประสบการณ์ด้วย คือ ช่วยให้ลูกทำงานคล่อง ทำงานเป็นและทำงานได้เรียบร้อย แต่พ่อแม่บางคนก็ไม่ใช้ให้ทำ

- ลูกเล่นของเล่นต่างๆ แล้วทิ้งไว้เกลื่อนบ้าน แล้วพ่อแม่หรือคนใช้เก็บให้ แทนที่จะให้ลูกช่วยตัวเอง ก็กลับให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น เป็นการสร้างนิสัยมักง่าย ความเห็นแก่ตัวสะสมขึ้นเรื่อยๆ

- พ่อแม่มีงานบ้านเต็มมือจนหาเวลาว่างไม่ได้ แต่ปล่อยให้ลูกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หรืออยู่ในบ้านก็ไม่ให้ช่วยแบ่งเบาภาระ ปล่อยให้นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี หรือวีดิโอ หรือเล่นอะไรไปตามประสา

สิ่งเหล่านี้ แสดงว่าพ่อแม่สอนให้ลูกขี้เกียจหรือไม่ ?

ถ้ามองดูอย่างผิวเผิน พ่อแม่อาจนึกภูมิใจว่าตนเองรักลูก เมตตาลูก จึงไม่อยากเห็นลูกลำบากหรือเหนื่อย แต่แท้ที่จริงแล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็นพ่อแม่ชนิดนี้บรมโง่เขลามาก เพราะนอกจากพ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกขี้เกียจแล้ว ยังเป็นการสะสมความเห็นแก่ตัวให้แก่ลูกอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าทั้งพ่อแม่และลูกก็โง่พอๆ กัน

แต่สำหรับพ่อแม่นั้นดูจะโง่มากกว่าลูกเสียอีก เพราะการที่พ่อแม่ได้สร้างตัวมาจนบัดนี้ ก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากความเกียจคร้าน แต่สร้างขึ้นมาได้ด้วยความขยัน แต่กลับไปปล่อยหรือยอมให้ลูกขี้เกียจ นี่ถ้าไม่เป็นเพราะบาปมันมาบังใจพ่อแม่แล้วมันจะเกิดจากอะไร ? ทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ไม่มีใครร่ำรวยขึ้นมาได้จากความเกียจคร้าน แต่พ่อแม่ก็กำลังสร้างลูกให้เกียจคร้านอยู่ แล้วอนาคตของลูกจะเป็นอย่างไร จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่จะอยู่เลี้ยงลูกจนตลอดชีวิตของลูก ?

ลูกเราถึงจะมีความรู้ดี มีปริญญายาวเป็นหางว่าว มีความสามารถสูง แต่ถ้ามันขี้เกียจหรือเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเสียอย่างเดียวแล้ว เขาจะเอาตัวก็ไม่รอด ! อย่าได้ไปคิดหวังว่า เขาจะเป็นที่พึ่งให้แก่พ่อแม่เลย

ว่ามาถึงตรงนี้แล้ว พ่อแม่บางคนอาจเถียงว่า “ก็ฉันไม่ได้สอนให้เขาขี้เกียจนี่นา เขาขี้เกียจเอง ฉันเบื่อที่จะเคี่ยวเข็ญ ก็เลยต้องปล่อยเขาไป จะมาโทษฉันได้อย่างไร ? จะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่อยากจะเห็นลูกขี้เกียจ ?”

การที่เราไม่ใช้ ไม่บังคับ และไม่ทำโทษลูก นั่นแหละคือ การสอนให้ลูกขี้เกียจละ เพราะเด็กเขาไม่รู้หรอกว่า ผลแห่งความเกียจคร้านมันจะเป็นอย่างไร ? แต่พ่อแม่นั้นย่อมจะรู้ดี จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้ลูกขี้เกียจ การอ้างแต่เพียงว่า ลูกมันไม่เอาหรือไม่ทำเอง หาได้เป็นข้ออ้างที่พ้นตัวไม่ ก็เราเป็นพ่อแม่เขา ถ้าเราบังคับลูกหรือเลี้ยงลูกให้ดีไม่ได้แล้วเราจะเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกได้อย่างไร ?

ขนาดลูกเราตัวเล็กๆ เรายังบังคับหรือสอนเขาไม่ได้ แล้วท่านแน่ใจหรือว่า เมื่อเขาโตแล้วเราจะสอนเขาได้ ? อย่าหวังเสียให้ยากเลย ไม้อ่อนย่อมดัดง่ายกว่าไม้แก่ฉันใด ? การไม่ดัดนิสัยขี้เกียจของลูกในยามเล็ก โดยหวังจะให้เขาไปขยันเอาเมื่อโตนั้น ก็ย่อมจะยากเย็น ฉันนั้น !

มาดูตัวอย่างภาพฟ้องให้เห็นว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม เลี้ยงลูกให้ขี้เกียจ หรือเลี้ยงลูกให้เป็นขโมย นั่นคือ พ่อแม่ต้องป้อนข้าวลูกหรือให้ลูกกินข้าวไปในรถ ขณะที่พาลูกไปส่งโรงเรียน ที่ลูกตื่นกินข้าวไม่ทันเพราะอะไร ?

มีนิทานจีนชวนคิดเรื่องหนึ่ง เจ้าหน้าที่กำลังนำนักโทษคนหนึ่งจะไปประหาร แม่ได้เดินตามนักโทษไปพลางก็ร้องไห้ไปพลาง นักโทษไม่ได้เสียใจหรือร้องไห้ แต่ได้เรียกให้แม่มาหา พอแม่เข้ามาใกล้เอียงหูมาจะฟังลูกพูด พอได้จังหวะ ลูกก็กัดใบหูของแม่เข้าเต็มแรง แม่ทั้งเจ็บทั้งตกใจ ร้องเสียงหลง เลือดไหลเป็นทาง

ลูกนักโทษตะโกนใส่แม่ด้วยความแค้นว่า “เป็นเพราะแม่คนเดียวเชียว ที่ทำให้ฉันจะต้องถูกประหาร ฉันได้ลักเล็กขโมยน้อยเรื่อยมาแต่เด็กแม่ก็ไม่เคยห้าม จึงทำให้ฉันเสียนิสัย เลยต้องกลายเป็นนักโทษ ถ้าแม่สั่งสอนหรือห้ามปรามฉันเสียแต่เล็กๆ ไฉนฉันจะต้องมาถูกประหารด้วยเล่า ?”

แม่ก็ได้แต่เดินก้มหน้าเสียใจ ว่าตนเลี้ยงลูกผิดไปแล้ว จากข้อคิดนี้ ถ้าพ่อแม่เห็นลูกได้อะไรติดมือมาจากโรงเรียน หรือที่ไหนก็ตาม ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจที่ลูกบอกว่าเก็บได้ หรือเพื่อนให้เสมอไป ลูกอาจจะไปลักของใครมาก็ได้ มันอาจจะเป็นทุกขลาภในภายหน้า ถ้าพ่อแม่ไม่สอบสวนให้ถ่องแท้เสียก่อน ควรสอนลูกให้ตระหนักไว้ว่า เมื่อเก็บของได้ในโรงเรียนก็ควรเอาไปให้ครูทุกครั้งไป ไม่ควรจะถือเอามาเป็นส่วนตัว เพราะอาจจะถูกหาว่าเป็นขโมยก็ได้

อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงการเลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม มีภาพลักษณ์ทางลบเกี่ยวกับแม่และลูก ประทับใจผู้เขียนอยู่ครั้งหนึ่ง ในสมัยที่ยังทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ควบคุมถุงไปรษณียภัณฑ์อยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง กทม.

ในวันนั้นมีอาจารย์หญิงรุ่นอายุเลขตัวหน้าเกิน 4 กว่าๆ ไปมากแล้ว ได้มาส่งลูกสาวไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์หญิงของ รร.เตรียมอุดมศึกษา เป็นผู้สนใจธรรมะและรู้จักผู้เขียนที่กุฏิของหลวงตาแพรเยื่อไม้

ผู้เขียนจึงตามขึ้นไปคุยด้วยบนรถไฟขบวนเชียงใหม่ อากาศวันนั้นค่อนข้าง อบอ้าว และไปรถไฟชั้นสามด้วยทั้งแม่และลูกต่างก็เหงื่อไหลเต็มใบหน้า พอนั่งลงที่เก้าอี้ แล้วแม่ก็เอาพัดเล็กๆ ที่ติดตัวมาพัดให้ลูกอย่างเร็ว โดยที่ไม่พัดให้ตัวแม่เองเลยส่วนลูกก็ทำเฉยปล่อยให้แม่พัดให้ ผู้เขียนเห็นแล้วก็สลดใจ เพราะคิดไม่ถึง ที่จริงลูกน่าจะพัดให้แม่มากกว่า

นี่แสดงให้เห็นถึงการเลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม คิดเดาเอาเองว่า ถ้าอยู่ที่บ้านแม่คงจะทำอะไรให้ลูกสาวหมด แม้แต่กางเกงในก็คงซักให้ด้วย และก็คงจะยังไม่ได้ทำให้อยู่อย่างเดียวคือไม่ได้ล้างก้นให้เท่านั้นกระมัง ! และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ผู้เขียนก็ไม่ติดต่อกับอาจารย์คนนั้นอีกเลยจนบัดนี้ เพราะผู้ที่ศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะอย่างถูกวิธีแล้ว เขาย่อมจะไม่เลี้ยงลูกให้เป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” เช่นนี้อย่างแน่นอน

การเลี้ยงลูกให้ถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย แต่ที่สำคัญจริงๆ ก็พ่อแม่นั่นแหละ จะต้องเป็นพ่อแม่ที่ทั้งเข้มและทั้งแข็งอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

แน่นอน, พ่อแม่บางคนเป็นคนใจอ่อน พอเห็นลูกเศร้าซึมหรือน้ำตาออกก็ใจแป้ว ไม่อาจจะบังคับหรือทำโทษลูกได้ ก็เลยยอมไม่ให้ลูกทำอะไรๆ ไปหมดทุกอย่าง บางคนลูกโตจนเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็ยังซักเสื้อผ้าไม่เป็น เพราะแม่ทำให้หมด ที่ยังไม่ได้ทำให้ก็เห็นจะมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือยังไม่ได้ล้างก้นให้เท่านั้นแหละ !
ลูกโง่ๆ บางคนอาจนึกภูมิใจ ที่ตนมีพ่อแม่ที่ตามใจไปหมดทุกอย่าง (โตแล้วไปโรงเรียนก็ยังต้องรับส่งกันอยู่) ไม่ว่ากิจในบ้านหรือนอกบ้าน ลูกไม่ต้องรับผิดชอบอะไรด้วยเลย วันเสาร์อาทิตย์หยุดเรียนก็นั่งเล่นนอนเล่น หรือเที่ยวไปตามสบาย พ่อแม่มีเงินให้ใช้ไม่ข้องขัด

ลูกทั้งหลายโปรดรับรู้ไว้เถิดว่า เธอไม่ใช่คนมีบุญหรอก มันเป็นบาปของเธอต่างหากที่ต้องมาเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ชนิดนี้ เพราะการที่เธอไม่ทำอะไร โตขึ้นก็จะทำอะไรไม่เป็น และคนที่ ไม่ทำงานออกแรงร่างกายก็ย่อมจะอ่อนแอ มักจะเจ็บออดๆ แอดๆ ถูกแดดถูกฝนนิดหน่อยก็เป็นหวัดง่ายเพราะร่างกายไม่แข็งแรง

บางคนอาจแย้งว่า จะปลุกลูกแต่ดึกได้อย่างไร ? ก็ลูกมันเพิ่งจะนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะทีวีเพิ่งปิด ถ้าปล่อยให้ลูกนอนตอนทีวีปิด ปัญหานี้ก็แก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้อาจารย์ทีวีเขาแก้ให้สิ ! พ่อแม่บางคนก็เหี๊ยบกับลูกมากจนเกินไป ใช้ให้ลูกทำงานที่เสี่ยงต่ออันตรายมาก และหนักเกินไปจนลูกไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อย่างนี้มันก็ตึงเกินไป

ทางที่ถูกนั้นควรจะพบกันครึ่งทาง คือ ไม่ควรจะหย่อนยานจนลูกขี้เกียจ และก็ไม่ควรจะตึงจัดจนลูกเครียด อยู่ในระหว่างกลางๆ หรือมัชฌิมานั่นแหละเป็นดีที่สุด

———————————————
http://kid.plearnkid.com/?p=7792
บุตรธิดา คือ กระจกเงาของพ่อแม่
…ในฐานะเป็นพ่อแม่ วันนี้คุณเอาอะไรใส่มือเด็กๆ ของคุณ”
ว.วชิรเมธี
8  สมาชิก VIP / General Discussion / ของว่างเพื่อสุขภาพ? ที่หลงคิดว่ากินแล้วไม่อ้วน เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 02:00:59 PM
ของว่างเพื่อสุขภาพ? ที่หลงคิดว่ากินแล้วไม่อ้วน



กินอาหารเพื่อสุขภาพ สวยจากภายในสู่นอก (ไทยโพสต์)

          คุณเคยรู้สึกอย่างนี้บ้างมั้ย ในขณะที่เดินช้อปปิ้งที่ซูเปอร์มาร์เก็ต และผ่านชั้นสินค้าประเภทอาหารที่มีชื่อหรือคำอธิบายว่าเป็นผลิตภัณฑ์ "ดีต่อสุขภาพ" คุณจะตรงรี่เข้าไปดูทันที และยิ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อาหารประเภทโยเกิร์ต ชา หรืออาหารที่ทำด้วยธัญพืชทั้งหมด แน่นอนว่าคุณจะไม่รู้สึกลังเลใจ หรือรีรอที่จะหยิบใส่ในตะกร้าหรือรถเข็นช้อปปิ้งในทันที เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ แค่เพียงคำอธิบายของผลิตภัณฑ์ก็ทำให้คุณรู้สึกสนใจแล้ว

          แต่เราอยากแนะนำให้คุณใช้เวลาอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างจริงจังสักนิด เพื่อดูว่าคุณจะได้รับสารอาหารอะไรบ้าง หากคุณต้องจ่ายเงินสำหรับอาหารเหล่านั้น และอาหารที่ว่าดีต่อสุขภาพจริงหรือเปล่า ซึ่งจริง ๆ แล้ว...อาจไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายตามที่เราคิดก็ได้ เราลองมาอ่านคำแนะนำของโภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน แล้วปรับไปใช้ในชีวิตประจำวันนะคะ



 เค้กข้าวกล้องเคลือบคาราเมล หรือช็อกโกเล็ต

          เค้กข้าวที่ทำจากข้าวกล้องทั้งหมด จัดเป็นอาหารว่างเพื่อสุขภาพที่ให้แคลอรีต่ำ แต่เมื่อเคลือบด้วยช็อกโกเลตหรือคาราเมล จะทำให้เรารู้สึกเหมือนเคี้ยวลูกกวาดเจลลี่ที่มีเนื้อเหนียวหนึบ ๆ ซึ่งจะให้แคลอรีและคาร์โบไฮเดรตในปริมาณเท่ากัน แต่มีโซเดียมน้อยกว่า

วอฟเฟิล "ที่ทำด้วยธัญพืชล้วน"

          จากข้อมูลทางโภชนาการเปรียบเทียบระหว่างวอฟเฟิล และขนมอบกรอบที่ทำจากธัญพืชล้วน เราพบว่าอาหารทั้งสองประเภทล้วนให้คุณค่าทางโภชนาการที่ไม่ได้แตกต่างกันมากสักเท่าไร แต่เพื่อสุขภาพที่ดี เราควรงดการรับประทานแป้งชนิดฟอกขาว และหันมาบริโภควอฟเฟิลที่ทำจากโฮลเกรน 100% (โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย) ราดด้วยแอปเปิลซอสหรือผลไม้สด และโรยด้วยซินนามอน ซึ่งจะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งขึ้น   

ลูกเกดกับโยเกิร์ต

          หากคุณคิดว่า การบริโภคโยเกิร์ตพร้อมผลไม้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง คงต้องขอให้คุณคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง เพราะแม้ในโยเกิร์ตจะมีจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยอาหารและยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้ของเรา แต่หากรับประทานพ่วงกับผลไม้แล้วละก็ คุณก็จะได้รับน้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมเร็วและแคลอรีเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

          ดังนั้นจึงขอแนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตร่วมกับลูกเกดแทน โดยการผสมลูกเกด 2-3 เม็ดกับโยเกิร์ต 1 ถ้วย จะทำให้ได้อาหารเบา ๆ แต่ให้ประโยชน์สูงต่อร่างกาย หรือจะเลือกรับประทานลูกเกดชนิดที่เคลือบผิวด้วยโยเกิร์ตก็ได้ เพราะแม้ผิวของลูกเกดที่เคลือบโยเกิร์ตจะมีไขมันอยู่เพียบ แต่แคลอรีที่แสดงไว้บนสลากกลับมีปริมาณต่ำมาก ดังนั้นการรับประทานเพียงเล็กน้อยก็จะไม่เกิดโทษแก่ร่างกาย เนื่องจากลูกเกดเป็นผลไม้แห้ง แคลอรีที่ได้รับจากการรับประทานจึงมีปริมาณน้อย

แซนด์วิชทูน่า

          อย่าคิดว่า "ปลา" มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ เสมอไป ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการปรุงด้วยเช่นกัน โดยปกติแซนด์วิชทูน่าจะอุดมด้วยมายองเนส ซึ่งให้ปริมาณแคลอรีและไขมันมากเท่ากับเบอร์เกอร์ เนื่องจากมายองเนส 1 ช้อนโต๊ะจะให้แคลอรีสูงถึง 100 แคลอรี ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีคุณจึงควรลงมือทำแซนด์วิชรับประทานเอง โดยใช้เนื้ออกไก่ไม่ติดมัน หรือนำทูน่ากระป๋องผสมกับเนย หรือผลอาโวคาโดบด ทำเป็นสเปรดทาหน้าขนมปัง เพียงเท่านี้ก็จะได้อร่อยอย่างมีสุขภาพกันแล้ว




ซีเรียลกราโนลาบาร์ (Granola bars)

          กราโนลาทำจากข้าวโอ๊ต ธัญพืช ถั่ว น้ำผึ้ง และผลไม้อบแห้ง ดูเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่อุดมด้วยธัญพืชทั้งหมด แต่ก็มีกราโนลาบาร์หลายชนิดที่มีส่วนผสมของแป้งธัญพืชล้วนในปริมาณน้อยมาก หากแต่อุดมไปด้วยน้ำตาลในปริมาณสูง ดังนั้นแม้เราจะบริโภคกราโนลาบาร์เพียง 2-3 แท่ง แต่ก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย เทียบเท่ากับการรับประทานผลไม้แล้ว ถึงจะเป็นปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม

ผัก หรือผลไม้แผ่นอบกรอบ

          แม้ว่าแผ่นอบกรอบจะทำจากแอปเปิ้ลฝานบาง ๆ แต่ก็นำมาทอดด้วยน้ำมัน ซึ่งมีปริมาณไขมันสูง และเต็มเปี่ยมด้วยแคลอรี แนะนำให้รับประทานผลไม้และผักสดตามธรรมชาติ และเพิ่มรสชาติด้วยรสเค็ม ๆ มัน ๆ ของถั่วลิสง หรือขนมปังแครกเกอร์ที่ทำจากธัญพืชล้วน 100% จะดีกว่า

เครื่องดื่มชาบรรจุขวด

          น้ำชาที่ชงจากชาถุง หรือใบชาจัดเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งแตกต่างจากเครื่องดื่มชาแบบบรจุขวดที่มีชื่อขึ้นต้นว่า "ชา" และตามด้วยรสชาติและน้ำตาลที่ผสมเพิ่มเข้าไปอย่างสิ้นเชิง เครื่องดื่มชาหลายชนิดพอนำมาใส่ในบรรจุภัณฑ์ขวดขนาด 16 ออนซ์ จะบริโภคได้ประมาณ 2 ครั้ง แต่การเพิ่มแคลอรีและน้ำตาลตามที่ระบุไว้บนสลากอีก 1 เท่า จะทำให้เราได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกือบ 1 ใน 3 ถ้วยต่อเครื่องดื่มชา 1 ขวด ขอแนะนำให้ชงชาดื่มเองและเพิ่มความหวานสักเล็กน้อย เพื่อรสชาติที่อร่อย




มัฟฟิน

          บางครั้งเรามักรับประทานมัฟฟินเป็นอาหารเช้า ซึ่งมัฟฟินที่ซื้อจากร้านเบเกอรี่นั้นมักจะมีไขมันและน้ำตาลในปริมาณสูง ทั้งยังมีขนาดใหญ่ประมาณ 6 ออนซ์หรือมากกว่า โดยปกติมัฟฟินชิ้นใหญ่ 1 ชิ้น จะให้แคลอรีถึงประมาณ 100 แคลอรี หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบรับประทานมัฟฟินเป็นอาหารเช้าประจำ วิธีที่ดีต่อสุขภาพ คือทำมัฟฟินรับประทานเองแทนการซื้อจากร้านค้า โดยมัฟฟินที่ทำจากรำข้าวสามารถทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้านในถ้วยขนาดคัพเค้ก และนำมารับประทานเป็นอาหารมื้อเช้าเพื่อสุขภาพได้อย่างถูกหลักโภชนาการ
9  สมาชิก VIP / General Discussion / 7 อาการน่าเป็นห่วง! เมื่อรถของท่านต้องการการดูแล เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 01:37:17 PM
7 อาการน่าเป็นห่วง! เมื่อรถของท่านต้องการการดูแล



หากพูดถึงรถยนต์แล้วแม้ทุกวันนี้เราจะแนะนำมาในการซื้อรถใหม่เพื่อขจัดปัญหาและทำให้การดูแลรักษานั้นง่ายยิ่งขึ้นนั้น ทว่าปัจจุบันเรายังต้องยอมรับครับว่าหลายคนที่ใช้รถใช้ถนนไม่เคยรู้จักที่จะดูแลรถเว้นแต่การล้างรถที่จำเป็นต้องทำไม่เช่นนั้น "อายเขา"

ความอายเพื่อสร้างภาพนั้นทำให้หลายต่อหลายครั้งที่เราพบว่ารถหลายคันมีสภาพดีแต่กลับมีสภาพเครื่องยนต์ที่ไม่สู้ดีนัก รวมถึงกลไกอื่นๆต่างๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นรถยนต์ 1 คัน และวันนี้ก็คงได้เวลาแล้วที่เราจะต้องมาพูดคุยกันในเรื่องหลากปัญหาของรถที่คุณอาจจะสามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องถึงมือช่างและทำให้ป้องกันปัญหาก่อนที่จะลุกลามจนสร้างความเสียหาย หรือตายกลางทาง



งานนี้อาจจะต้องใช้การสังเกตสักเล็กน้อย แต่แน่นอนว่าบางครั้งคุณก็อาจจะรู้อยู่แล้วเพียงแต่ไม่ทราบว่ามันมีปัญหาจากส่วนใด ที่วันนี้ก็ได้เวลาที่เราจะมาพาคุณไปรู้จักหลากอาการเริ่มต้นต่างๆ ที่รู้ไว้ใช่เรื่องแบบนี้ป้องกันได้

1.สตาร์ทเครื่องนานกว่าปกติ ทันทีที่เราขึ้นรถแล้วบิดกุญแจเชื่อหรือไม่ครับว่า แม้แต่เสียงสตาร์ทนั้นยังบอกความเป็นสุขของรถท่านได้ โดยปกติแล้วการสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นจะใช้การถีบตัวไม่เกิน 3 ครั้งใช้เวลาไม่เกิน 30 วินาที ถ้านานกว่านั้นแสดงว่ารถเริ่มมีปัญหา ซึ่งโดยปกติ หมายถึงแบตเตอร์รี่อาจจะเริ่มเสื่อมสภาพ ยิ่งถ้ารถคุณ 2-3 เมื่อไรแล้วสตาร์ทช้า เตรียมเงินถอยแบตเตอร์รี่ลูกใหม่ได้เลย

2. ร่องรอยน้ำมัน บางครั้งเมื่อคุณจอดรถแล้วพบรอยน้ำมันหยดเป็นทางนั้น หรือเป็นจุดนั้นอย่าวางใจโดยเด็ดขาด เพราะตามปกติแล้วน้ำมันจะไม่สามารถหยดได้เอง นอกจากเกิดความเสียหายต่อระบบนั้นๆ ซึ่งหมายถึงต้องมีอะไรผิดปกติแล้ว ดังนั้นถ้าพบข้อนี้รีบตรวจสอบด่วน



3.เสียงที่ผิดปกติ ในหัวข้อนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ยากในการสังเกตในระหว่างขับรถแต่คุณสามารถสังเกตได้เมื่อรถจอดหรือเดินเบาเครื่องยนต์ก่อนขับออกถนน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการทำงานของเครื่องยนต์จะไม่มีเสียงผิดแปลก โดยเฉพาะ**เสียงเหล็กกระทบกัน หรือทางศัพท์ช่าง เรียกว่า "เสียงน๊อก" (Knocking) ซึ่งหากท่านได้ยินเสียงดังกล่าว และไม่เคยได้ยินมาก่อนนั้น ให้รีบไปหาผู้เชี่ยวชาญทันที แต่ทางที่ดีอันนี้อยากแนะนำบันทึกเสียงนั้นไว้ก่อน โดยอาจจะถ่ายคลิป เพื่อใช้ประกอบในการอธิบายปัญหา

4.ควันขาวออกท่อ จงจำไว้ว่ารถที่ดีนั้นต้องไม่มีควันขาว และเมื่อไรก็ตามที่รถของท่านมีอาการควันสีขาวออกท่อ พร้อมกลิ่นฉุน นั่นหมายถึงต้องมีสิ่งที่ผิดปกติกับระบบเครื่องยนต์ ซึ่งหากชี้ชัดไปนั้นมันจะมีหลายอาการมาก แต่เอาเป็นว่าถ้าเห็นแล้วรับหาช่างจะดีกว่านะ



5.ขับรถแล้วดูนุ่มนวลผิดกว่าปกติ บางครั้งที่คุณขับรถนั้นเวลาขับสังเกตดีๆว่ารถเรานิ่มนวลผิดปกติไปหรือไม่จากที่เคยใช้มา ถ้าคำตอบคือ "ใช่" แสดงว่ารถคุณมีความเป็นไปได้ใน 2 ทาง คือ 1 ลมยางอ่อน บางครั้งอาจจะหมายถึงยางรั่ว กับ 2 ระบบช่วงล่างบางชิ้นเสื่อมสภาพ โดยมากคือสปริง หรือโช๊ค

6.เสียง จี๊ดๆ ตอนเบรก ในข้อนี้หลายคนอาจจะบอกว่ามันเป็นอย่างไร แต่เอาเป็นว่าเมื่อคุณกดเบรกแล้ว ได้ยินเหมือนเสียงหนูร้องเพรียกอยู่ในรถ อาจจะด้านหน้า หรือ ด้านหลัง ซึ่งข้อนี้หมายถึงผ้าเบรกที่กำลังหมดอายุการใช้งาน ถ้าได้ยินแล้วอย่ารอช้า รีบหาเวลาไปเปลี่ยนผ้าเบรกก่อนที่มันจะทำความเสียหายต่อชุดจานเบรก



7.รถเร่งแล้วอืดกว่าเดิม ถ้าเมื่อไรรถคุณเร่งแล้วรู้สึกว่าไม่พุ่งเหมือนเดิมนั้น แต่ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นเช่นรอยน้ำมัน นั่นหมายถึงรถคุณนั้น อาจจะต้องการการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้ว แต่หากถ่ายมาแล้วและยังวิ่งอืดอยู่ ก็จะมีอีก 2 ตัว คือ 1.กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และ 2 กรองอากาศ ซึ่งอาการรถมีอัตราเร่งถอยนี้มีผลโดยตรงต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงครับ

ทั้ง 7 ข้อนี้เป็นสิ่งที่คุณจะพอสามารถสังเกตในระหว่างการขับขี่หรือใช้งานโดยทั่วไป ซึ่งทันทีที่คุณพบอาการต่างๆเหล่านี้ จงอย่าวางใจรับไปพบผู้เชี่ยวชาญหรือเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบหาปัญหาโดยทันที
10  สมาชิก VIP / General Discussion / เรียนอย่างไรในยุค ปริญญาล้นประเทศ เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 01:31:31 PM
เรียนอย่างไรในยุค ปริญญาล้นประเทศ



โดย อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์

ประเทศเราทุกวันนี้จะมีคนจบปริญญาตรีประมาณปีละ 600,000 คนมีบัณฑิตจบใหม่มากมายที่หางานทำไม่ได้เพราะส่วนมากจะจบจากคณะสาขาด้านศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์(ปีละมากกว่า 400,000 คน) ซึ่งเกินความต้องการของตลาดแรงงานในบ้านเราหลายคนตกงาน บางคนเรียนต่อ ที่รองานไม่ไหวก็ต้องไปทำงานไม่ตรงวุฒิ หรือต่ำกว่าวุฒิ

ส่วนที่จบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็จะมีโอกาสหางานได้ง่ายขึ้นมาหน่อยแต่ก็ต้องมีความสามารถจริง เพราะจำนวนที่จบด้านนี้ก็ประมาณ 2 แสนคนซึ่งล้นตลาดเช่นเดียวกันสาขาที่จะมีตลาดงานรองรับแน่นอน จะมีเฉพาะบัณฑิตในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพครับ

น้องๆ ที่จบจากคณะ แพทย์ เภสัช ทันตะ เทคนิคการแพทย์ พยาบาล หางานไม่ยากเพราะที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยต่างๆ มีการเปิดรับน้อยช่วงนี้จึงมีคนที่จะจบด้านนี้รวมกันทั้งประเทศก็แค่ปีละไม่เกิน 30,000 คน

ดังนั้นน้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย คงต้องปรับตัวกันบ้างล่ะครับ อย่าไปเข้าใจผิด คิดว่าจบแล้วจะเอาปริญญาไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สมัครงานทำได้ง่ายๆ เหมือนสมัยก่อน ในยุคปริญญาล้นประเทศอย่างนี้ เราจึงควรใช้เวลาที่เรียนอยู่อย่างมีเป้าหมายครับเป้าหมายของเราไม่ใช่เรียนเพื่อ สอบ  สอบเพื่อจบ และจบเพื่อปริญญา แต่

เป้าหมายเราที่ควรจะเป็น คือ เรียนเพื่อพัฒนาคุณค่าในตนเองเพราะ ถึงแม้ว่าปริญญาจะล้นประเทศ แต่บัณฑิตที่มีคุณค่านั้นขาดแคลนจริงๆ ผมมีคำแนะนำง่ายๆ ให้ลองไปปรับ ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิต เพื่ออนาคตของเราเองครับลองมาลงทะเบียนหลักสูตร พัฒนาคุณค่าของเราเองเป็นหลักสูตรที่เราคิดเอง เรียนรู้เอง และให้เกรดตัวเอง

หลักสูตรนี้มี 4 วิชาครับ

1.วิชาชอบ

คือชอบอะไรสนใจอะไรก็แบ่งเวลาไปทำในเรื่องที่ตนเองชอบนะครับอย่ามัวแต่ เรียน สอบ และ เที่ยวไปวันๆสิ่งที่เราชอบ ถ้าชอบมันจริงศึกษาจริง บางทีมันจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานในอนาคตครับ มีรุ่นน้องคนหนึ่งเรียนสังคม ภูมิศาสตร์ แต่ชอบถ่ายรูปมาก ถ่ายจริงจังพอจบมาก็ไม่ได้ไปทำงานด้านที่เรียนหรอกครับแต่ไปเป็นช่างภาพนิตยสาร ตอนนี้กลายเป็นช่างภาพ National Geographicกลายเป็นช่างภาพระดับโลก

มีนักศึกษามาคุยกับผมทางเฟสบุค บอกว่าเรียนไม่ดี เพราะเอาเวลาไปเล่นหมากรุกมาปรึกษาเรื่องเรียนต่อผมก็แนะนำไปว่าให้ศึกษาจริงจังเรื่องหมากรุก ก็จะมีช่องทางหารายได้เลี้ยงตัวได้คนนี้ก็ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติไปแล้วกำลังจะไปแข่งซีเกมส์ที่อินโดนีเซีย และก็รับสอนหมากรุกมีรายได้ มีความสุขทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบอาชีพใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ ความถนัดทางหมากรุกอาจเกิดขึ้นอีกมากมายเช่นไปอยู่ในทีมทำเกมส์ (คนเล่นหมากรุกจะมีความถนัดในด้านเกมส์ที่ใช้ความคิด)ไปอยู่บริษัท Board game online (เช่นหมากต่างๆ ไพ่บริจดิ์)หรืออนาคตอาจเป็นนักหมากรุกอาชีพระดับโลกก็ได้

2.วิชาชีพ

ใครที่เรียนคณะสาขาที่หางานง่ายอยู่แล้วก็อาจไม่ต้องใส่ใจในวิชานี้แต่ใครที่เรียนในสาขาที่จบแล้วหางานทำยาก ต้องรีบหาวิชาชีพกันต้้งแต่ตอนนี้แล้วครับเช่น แบ่งเวลาไปสนใจกิจการครอบครัวใครไม่มีธุรกิจ ที่บ้านไม่ได้ค้าขาย ก็ควรหาทางไปฝึกงานที่ตนเองมีความชอบอย่ารอจนจบครับ มันช้าไปใครสนใจเรื่องทำขนม ทำผม ก็เริ่มเรียนได้เลย อย่างน้อยก็มีอาชีพแน่ มีงานแน่ถ้าไม่มีใครรับเข้าทำงานก็สามารถหาเลี้ยงตนเองได้

3.วิชาช่วย

คือภาษาอังกฤษ จำเป็นที่สุดครับ เพราะตลาดงานที่ใช้ภาษาอังกฤษนั้นกว้างมากและรายได้ก็สูงโอกาสที่เราจะได้ไปทำงานในบริษัทข้ามชาติมีสูงขึ้นทุกวันหลายบริษัทในยุโรป อเมริกา หันมาจ้างคนอินเดีย คนจีน และคนในเอเซียที่มีความรู้และสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ในบ้านเราก็มีบริษัทข้ามชาติมากมาย และจะมากขึ้นเรื่อยๆ

เขตการค้าเสรีอาเซียนก็เป็นอีกโอกาสที่เราจะมีงานดีๆ ถ้าเราใช้ภาษาอังกฤษได้พวกเราต้องฝึกฝนตนเองให้สามารถอ่านได้ พูดได้ เขียนได้เริ่มตั้งแต่วันนี้ได้เลยครับ ดูหนัง sub title เป็นภาษาอังกฤษ ดูบอลก็ sound track

เข้าเว็บ อ่านข่าว ให้เป็นภาษาอังกฤษ จะได้ผลกว่าไปลงทะเบียนเรียนภาษา ครับการที่เราสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการอ่านเขียน พูดคุยและค้นหาความรู้จะช่วยให้เราเป็น บัณฑิตที่มีคุณค่าเพิ่มอย่างนี้หางานทำได้แน่ครับ

4 วิชาใช่

วิชาสุดท้ายของหลักสูตร เพิ่มคุณค่าให้ตนเองนี้ คือสิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุดทุกวันนี้เจ้าของกิจการมักจะบ่นเรื่อง เด็กจบใหม่ไม่สู้งานเด็กจบใหม่ขาด Royalty (ความจงรักภักดีต่อองค์กร)เด็กยุคนี้ขาดความรับผิดชอบ ชอบเบี้ยวงาน เอาตัวรอดไปวันๆ

ดังนั้นจึงอยากบอกพวกเราว่าคนจะประสบความสำเร็จได้ ต้องเป็นคนที่มี คุณธรรม ครับความซื่อสัตย์ ความอดทน การมีน้ำใจ ความกตัญญู ความรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้จะต้องฝึกฝน จนเกิดผลเมื่อเกิดผลเราจะยิ่งมั่นใจ และทำต่อไป จนเป็นนิสัยและสุดท้ายกลายเป็นบุคคลิกภาพของตัวเราใครๆ ก็อยากได้ ลูกน้องที่รับผิดชอบ ใครๆ ก็ยกย่องหัวหน้าที่ซื่อสัตย์

คนโกงอาจดูเหมือนจะได้เปรียบ อาจคล้ายๆ จะชนะแต่มันก็เหมือนในหนังนั่นแหละครับคือตอนจบ คนดีความดีชนะทุกที
11  สมาชิก VIP / General Discussion / ครบรอบ 20 ปี หน้าเว็บเพจแรกของโลก เมื่อ: สิงหาคม 08, 2011, 12:33:10 PM
ครบรอบ 20 ปี หน้าเว็บเพจแรกของโลก



หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกว่า การสร้างเว็บไซต์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งจะแจ้งเกิดบนโลกได้เพียง 10 กว่าปีเท่านั้น แม้ว่าเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะมีใช้กันในหลายองค์กรอย่างแพร่หลายก่อนหน้านั้นหลายปีก็ตาม แต่ใครเลยจะรู้บ้างว่า จริง ๆ แล้ว การสร้างเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตได้ถือกำเนิดมาครบรอบปีที่ 20 แล้ว นับตั้งแต่มีเว็บเพจแรกถือกำเนิดขึ้นบนโลก

         โดยเว็บเพจแรกที่แจ้งเกิดบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนี้ สร้างขึ้นโดย ทิม เบอร์เนอร์ส ลี นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ หรือ CERN และเป็นผู้คิดค้นเครือข่าย World Wide Web (www) ซึ่งเขาได้เริ่มพัฒนา www มาตั้งแต่ปี 2532 ก่อนจะพัฒนาโปรแกรมต้นแบบที่จะสามารถใช้เปิดข้อมูลที่แชร์กันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนี้



         และหลังจากที่พัฒนาโปรแกรมรองรับแล้ว เขาก็สร้างเว็บไซต์และเว็บเพจแรกของโลกขึ้นมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534 ภายใต้ชื่อลิงก์ http://info.cern.ch/hypertext/WWW/TheProject.html ซึ่งเนื้อหาภายในนั้น ได้บรรยายเกี่ยวกับความหมายและรายละเอียดโครงการเครือข่าย www ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้น เครือข่าย www ถูกสร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรปเท่านั้น

        แต่แล้วหลังจากที่เขาเปิดเว็บไซต์นี้เพียงไม่กี่เดือน เครือข่าย www ก็เป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างรวดเร็วในวงการไอที ก่อนที่บริษัทไอทีทั้งหลายจะนำเครือข่าย www ไปพัฒนาต่อยอด พร้อมกับสร้างโปรแกรมมารองรับหลากหลาย และกลายเป็นเครือข่ายที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เผยแพร่ข้อเขียนและข้อมูลต่าง ๆ เรื่อยมา

         จนวันนี้ 20 ปีให้หลังนับตั้งแต่เว็บเพจแรกถือกำเนิดขึ้นบนโลก เครือข่าย www มีหน้าเว็บเพจทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 19.7 พันล้านเว็บเพจ หรือ 3 เท่าของจำนวนประชากรโลก โดยเครือข่าย www มีการเติบโตมากที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และดูเหมือนว่ามันจะได้รับความนิยมและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วโลกไปแล้วในโลกยุคปัจจุบัน
12  สมาชิก VIP / General Discussion / โรคแพ้ตึก ระบาด อาคารกักสารพิษ! เมื่อ: สิงหาคม 08, 2011, 12:30:30 PM
โรคแพ้ตึก ระบาด อาคารกักสารพิษ!



โรคแพ้ตึก ระบาด อาคารกักสารพิษ! (ไทยโพสต์)
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          เผยคนในเมืองใช้ชีวิตอยู่ในห้องปรับอากาศเกือบทั้งวัน มีแนวโน้มป่วยเป็น "โรคแพ้ตึก" มากขึ้น พบกรณีแม่บ้านเป็นมะเร็งปอดเสียชีวิต ระบุผลศึกษามลพิษอากาศในอาคาร พบสารสารระเหยอันตรายเกินค่ามาตรฐานสากล สาเหตุใช้เครื่องถ่ายเอกสารในบริเวณอากาศไม่ถ่ายเท โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าถุงลมในปอด ร่างกายกำจัดไม่ได้

          ผศ.ดร.สิริ ลักษณ์ เจียรากร นักวิชาการศูนย์วิจัยมลพิษอากาศในอาคาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ ดร.ประพัทธ์ พงษ์เกียรติกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อศึกษามลพิษอากาศในอาคาร ซึ่งเป็นงานวิจัยล่าสุดประจำปี 2554 พบว่า จากการเก็บตัวอย่างอากาศภายในอาคารที่ติดเครื่องปรับอากาศมีมลพิษที่เป็น อันตรายไม่น้อยกว่ามลพิษภายนอกอาคาร โดยเฉพาะคนในเมืองใช้ชีวิตอยู่ภายในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศประมาณ 20 ชั่วโมงต่อวัน จากการใช้รถปรับอากาศ ห้องทำงาน ห้องนอน ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ซึ่งคุณภาพอากาศในอาคารเป็นภัยเงียบที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักว่าเป็นมลพิษทางอากาศอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพโดยไม่รู้ตัว หรือที่เรียกกันว่าโรคแพ้ตึก ซึ่งคนในเมืองมีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้น

          ผศ.ดร.สิริลักษณ์ เผยว่า งานวิจัยชิ้นนี้ได้ตรวจวัดมลพิษที่เกิดจากการใช้เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องพิมพ์ภายในอาคารสำนักงาน พบสารระเหย ได้แก่ เบนซีนโทลูอีน และโอโซน โดยตรวจพบปริมาณที่มีค่าเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ มีอาการแสบจมูก ระคายเคืองในเยื่อบุทางเดินหายใจ และอาจทำให้เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนัง เนื่องจากขณะที่ถ่ายเอกสารหรือสั่งพิมพ์นั้น สารที่เป็นองค์ประกอบในผงหมึกเมื่อถูกความร้อนจะระเหยเป็นไอ สารระเหยในผงหมึกดังกล่าวนี้จัดเป็นสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบฝุ่นละอองขนาดเล็กต่ำกว่า 2.5 ไมโคร ฟุ้งกระจายออกมาในขณะพิมพ์ และเข้าสู่ถุงลมในปอดได้ง่าย เพราะเป็นฝุ่นระดับอนุภาคที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดได้ด้วยการจามเหมือนฝุ่นขนาดใหญ่ ทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ เป็นหวัดไม่หาย ไซนัสเรื้อรัง และส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานได้ไม่ดีในที่สุด

          "จากงานวิจัยพบว่า เครื่องถ่ายเอกสารและเครื่องพิมพ์แต่ละชนิดมีการปลดปล่อยสารพิษเหล่านี้แตก ต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม หากบริเวณที่ตั้งเครื่องถ่ายเอกสารอยู่ในจุดอับ ไม่มีการถ่ายเทอากาศอย่างเพียงพอ ก็จะทำให้เกิดมลพิษในอากาศได้มากกว่าบริเวณที่มีการระบายอากาศ" นักวิชาการศูนย์วิจัยมลพิษอากาศในอาคาร ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เผย
 
          นอกจากนี้ กลิ่นจากเฟอร์นิเจอร์ใหม่ เครื่องใช้สำนักงานใหม่ รวมทั้งรถใหม่ ยังพบการระเหยของสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของวัสดุที่ใช้ในการสร้าง และตกแต่งอาคาร เช่น เฟอร์นิเจอร์ พรมปูพื้น วัสดุบุผนังและพื้น สีต่างๆ อาจปล่อยสารพิษ เช่น สารฟอร์มัลดีไฮด์ และสารเบนซีนในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดอาการแสบตาและจมูก โดยตรวจพบสารพิษทั้งสองชนิดนี้มีค่าเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะสารฟอร์มัลดีไฮด์ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมการใช้สารฟอร์มัลดีไฮด์ ให้อยู่ในระดับปลอดภัย ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ออกกฎหมายควบคุมคุณภาพอากาศในอาคาร ซึ่งกระตุ้นให้ทั้งสถาปนิกผู้ออกแบบ และรับเหมาก่อสร้างอาคารตระหนักถึงการออกแบบ และติดตั้งเครื่องปรับอากาศและระบบระบายอากาศในอาคารที่เหมาะสม

          "ที่มาของงานวิจัยชิ้นนี้เกิดขึ้นจากการ พบว่า นักศึกษาและเจ้าหน้าที่ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีอาการป่วยเป็นโรคแพ้ตึกกันมากขึ้น เพราะมีการสร้างตึกและตกแต่งห้องใหม่เพิ่มเติม อีกทั้งยังมีกรณีตัวอย่างจากคนใกล้ตัว เป็นแม่บ้านอายุ 55 ปี ไม่ทำอาหารที่บ้าน ไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ แต่ชอบเดินห้างสรรพสินค้า บ้านติดแอร์ทั้งหลัง ที่สำคัญคือ ไม่เคยเปิดหน้าต่างห้องนอนเลย เพราะไม่อยากให้ฝุ่นเข้ามาในห้อง แต่กลับเป็นมะเร็งปอดและเสียชีวิตในที่สุด แพทย์ลงความเห็นว่าติดเชื้อในปอดจนนำไปสู่การเป็นมะเร็ง ซึ่งพิจารณาจากลักษณะการใช้ชีวิตจะเห็นว่ามลพิษอากาศในอาคารเป็นหนึ่งใน สาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งปอด" ผศ.ดร.สิริลักษณ์กล่าว และว่า การเกิดของมลพิษอากาศในอาคารยังรวมไปถึงกิจกรรมและการใช้วัสดุต่างๆ ภายในอาคาร เช่น การทำกับข้าว การสูบบุหรี่ การใช้ยาฆ่าแมลงภายในอาคาร เป็นต้น

          ข้อแนะนำสำหรับการแก้ปัญหามลพิษอากาศในอาคาร ควรเพิ่มการระบายอากาศภายในอาคาร ควรมีการเปิดหน้าต่างให้อากาศภายในห้องมีการถ่ายเทสะดวก เพื่อให้เกิดการเจือจางของมลพิษ หรืออาจติดตั้งพัดลมดูดอากาศภายในห้อง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาการสะสมของมลพิษภายในห้อง สำหรับตัวเราก็ไม่ควรสร้างแหล่งมลพิษในอาคาร เช่น ไม่สูบบหรี่ในอาคาร ไม่ควรปูพรม เพราะจะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค หรือภายในห้องถ้ามีน้ำรั่วซึมควรรีบปรับปรุงเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งของเชื้อรา
13  สมาชิก VIP / General Discussion / เรื่องควรรู้ในการรักษารากฟัน เมื่อ: สิงหาคม 08, 2011, 12:27:46 PM
เรื่องควรรู้ในการรักษารากฟัน



การรักษารากฟัน (หมอชาวบ้าน)

          วันนี้ ทพญ.ศศพินทุ์ เจณณวาสิน จะมาคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษารากฟันที่คุณผู้อ่านถามเข้ามากันค่ะ ไปดูสิว่า คำถามคืออะไร

          คำถาม : ดิฉันมีอาการปวดฟันประมาณ 1 อาทิตย์และมีตุ่มหนองที่เหงือกด้วยค่ะ ปวดมากกินอะไรไม่ค่อยได้ และจะปวดหนักตอนกลางคืน ดิฉันต้องไปถอนฟันหรือรักษาอย่างไรบ้างคะ

          คำตอบ : เรื่องของสุขภาพปากและฟันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแล โดยเฉพาะอาการฟันผุและปวดฟันที่ไม่สามารถอุดได้ อาจต้องได้รับการดูแลด้วยการรักษารากฟัน ซึ่งเป็นการรักษาที่เกิดขึ้นกับระบบโพรงประสาทฟัน จนเกิดการอักเสบและติดเชื้อตามมา หากไม่รักษาอาจลุกลามเข้าสู่กระดูกเบ้าฟันและช่องเนื้อเยื่อบริเวณใบหน้าได้

          อาการที่บ่งชี้ว่ามีการอักเสบติดเชื้อภายในโพรงประสาทจนต้องรักษารากฟัน เช่น มีอาการปวดฟันรุนแรงและยาวนาน เมื่อโดนความร้อนหรือความเย็น หรือปวดฟันโดยไม่มีสิ่งกระตุ้นซึ่งมักจะเป็นเวลานอน ลักษณะของฟันมีสีคล้ำผิดจากฟันซี่อื่น

          สำหรับการรักษารากฟัน จะเริ่มจากการกรอฟันเพื่อเปิดทางเข้าจากตัวฟันไปถึงโพรงประสาทฟันที่อักเสบ ขยายคลองรากฟันให้ใหญ่ขึ้น ล้างทำความสะอาดและใส่ยาฆ่าเชื้อโรค เมื่อโพรงประสาทฟันสะอาดดีแล้ว ทันตแพทย์จะอุดปิดโพรงประสาทฟัน โดยใช้วัสดุจำพวกยางอุดตั้งแต่ปลายรากฟันถึงพื้นโพรงประสาทฟันและปิดทับด้วยวัสดุทางทันตกรรม ทิ้งระยะเพื่อรอดูอาการ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของฟัน และเมื่อแน่ใจว่าการรักษารากฟันประสบความสำเร็จ ก็จะทำการบูรณะฟันตามความเหมาะสมต่อไป

          ทั้งนี้ การรักษารากฟัน คนไข้ต้องมารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ปกติจะใช้เวลารักษาประมาณ 2-4 ครั้ง และการรักษารากฟันจะช่วยเก็บรักษาฟันไว้ใช้งานได้ต่อไป ดีกว่าถอนฟันแล้วใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้ทดแทน เพราะฟันที่รักษารากแล้วจะยังคงมีเบ้ากระดูกยืดฟันให้มีความมั่นคง และให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการใส่ฟันปลอม
14  สมาชิก VIP / General Discussion / เดินทางไกลสนุกแถมสวย ด้วยเทคนิคจัดกระเป๋า เมื่อ: สิงหาคม 06, 2011, 07:54:55 AM
เดินทางไกลสนุกแถมสวย ด้วยเทคนิคจัดกระเป๋า



เดินทางไกลสนุกแถมสวย ด้วยเทคนิคจัดกระเป๋า (ไทยโพสต์)

          การ ท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมยอดฮิตสำหรับสาว ๆ ยุคใหม่ ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง เพื่อไปสัมผัสกับบรรยากาศ ความสวยงามของธรรมชาติ และได้พบเห็นสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งการเดินทางไม่ว่าใกล้หรือไกล นับว่าเป็นกำไรของชีวิต โดยการเดินทางที่ดีจะต้องเริ่มจากการวางแผนการเดินทางแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่การศึกษาข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยว การศึกษาวิธีการเดินทางไปยังจุดหมาย รวมไปถึงการเลือกที่พักที่ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์และงบประมาณ

          นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การเตรียมสัมภาระส่วนตัว หากสาว ๆ มีวิธีเทคนิคในการจัดเตรียมที่ดี การเดินทางก็จะง่าย สะดวกสบาย แถมยังช่วยให้สาว ๆ มั่นใจในทุกโอกาสอย่างคาดไม่ถึง ซึ่ง คอตตอน ยูเอสเอ และคอตตอน อินคอร์ปอเรท ได้แนะนำคีย์ไอเท็มเสื้อผ้าที่จะพาให้สาว ๆ สนุกไปกับการเดินทาง แถมรู้สึกมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนไว้อย่างน่าสนใจ และนำไปปฏิบัติดังนี้ค่ะ

 เลือกกระเป๋าคู่ใจให้เหมาะกับการเดินทาง

          แน่นอนว่าการเดินทางที่ดีเริ่มจากการมีกระเป๋าคู่ใจ หากเป็นการท่องเที่ยวในระยะสั้นที่สัมภาระไม่มากนัก กระเป๋าผ้าแคนวาส นับว่าเป็นไอเท็มที่เหมาะที่สุด เพราะด้วยความทนทาน และดูแลรักษาได้ง่ายจึงเหมาะมาก โดยเฉพาะกับการท่องเที่ยวแนวผจญภัย และในปัจจุบันกระเป๋าจำพวกนี้ ได้ถูกดีไซน์ให้ใช้ทั้งถือและสะพายไหล่ ทำให้สาว ๆ สามารถพกพาไปได้อย่างสะดวก แถมยังอินติดกระแสไม่ตกเทรนด์อีกด้วย

          แต่สำหรับสาวนักช็อปตัวยง ที่ไปที่ไหนจะต้องมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านทุกครั้ง ไม่ได้ควรพลาดที่จะต้องหยิบกระเป๋าผ้าฝ้ายคู่ใจ ที่นอกจากจะจุของได้มากแล้ว ยังเป็นการช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย

 เสื้อผ้าเรียบง่าย สวมใส่ได้ทุกสถานการณ์

          โอกาสพิเศษ ๆ มักจะเกิดขึ้นได้จากความบังเอิญ ใครจะรู้ว่าสาว ๆ อาจจะได้รับเกียรติไปร่วมดินเนอร์ใต้แสงเทียน สุดแสนโรแมนติกก็เป็นได้ ฉะนั้น เทคนิคการเลือกเสื้อผ้าที่ดี คือ ควรเลือกชุดที่สวมใส่เบาสบายเหมาะกับบรรยากาศในวันพักผ่อน แต่ก็สามารถเติมแต่งให้ดูดีได้ไม่ยากเย็นนัก อย่างเช่น กางเกงยีนส์ขายาวสีอ่อน เมื่อสวมใส่กับเสื้อสีสดใส ทำให้วันพักผ่อนเป็นวันที่สดชื่นอย่างน่าประหลาดใจ แต่เปลี่ยนเป็นเดรสสั้นสีเข้มที่เบาสบาย ก็จะช่วยเพิ่มกลิ่นไอของความเซ็กซี่น่าค้นหาได้ขึ้นมาทันที หรือสาว ๆ อาจจะลองหยิบชุดแม็กซี่เดรส ที่พริ้วไหวเบาสบาย แต่ก็สวยเซ็กซี่ได้ในเวลาเดียวกัน

 ผ้าคลุมไหล่ แอคเซสเซอรี่สารพัดประโยชน์

          นอกจากจะไว้ใช้คลุมไหล่เพื่อกันแสงแดดหรือกันหนาวแล้ว ผ้าคลุมไหล่ยังสามารถนำไปใช้ได้ในอีกหลากหลายโอกาส เพียงแค่สาว ๆ ต้องรู้จักนำมามิกซ์แอนด์แมตช์ สำหรับสาวที่ชอบสวมใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ซึ่งอาจจะดูธรรมดาเกินไป ลองนำผ้าพันคอมามัดผมแทนยางรัดผม หรืออาจนำโพกในสไตล์โบฮีเมียนก็ได้ สวมแว่นตากันแดดทรงโต ก็จะช่วยเพิ่มเติมเต็มให้สาว ๆ ดูเปรี้ยวขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว แต่หากเป็นสาวเซอร์ที่ชอบสวมเดรสยาว สามารถเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับสรีระของตนเอง โดยการนำผ้าพันคอมาคาดเอวแทนเข็มขัดก็ดูเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

          นอกจากนี้ สาว ๆ ยังสามารถเติมเต็มสไตล์การแต่งตัว ด้วยเลือกเครื่องประดับชิ้นเรียบแต่สวมใส่ได้ง่าย อย่างต่างหูตุ้มเม็ดเล็ก แหวนประดับลวดลายเก๋ไก๋ หรือแว่นกันแดดอันเก่งติดตัวไปด้วย แล้วทริปการเดินทางในครั้งนี้ ก็อาจจะเป็นทริปพิเศษที่ประทับใจจนยากจะรู้ลืมค่ะ
15  สมาชิก VIP / General Discussion / 15 ปุ่มลัดบนคีย์บอร์ด เพิ่มความไวในการใช้คอมพ์ เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2011, 04:11:10 PM
15 ปุ่มลัดบนคีย์บอร์ด เพิ่มความไวในการใช้คอมพ์



คุณรู้ไหมครับว่า ปุ่มต่าง ๆ บนคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์นั้น ที่มีอยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดนั้น มีประโยชน์และวีธีการใช้งานซ่อนเอาไว้มากมาย ซึ่งหากคุณได้รู้ถึงข้อดีของปุ่มต่าง ๆ เหล่านี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้คอมพิวเตอร์ของคุณได้ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน

          ด้วยเหตุนี้เอง เว็บไซต์ Mashable.com จึงได้รวบรวมเอาปุ่มลัดสำคัญ ๆ ที่ใช้งานกันอยู่บ่อยครั้ง มาให้ได้นำไปใช้กัน ลองมาทำความรู้จักกับคุณสมบัติเฉพาะตัวของปุ่มลัดเหล่านี้กันดีกว่า เพื่อว่าคราวต่อไปคุณจะได้ใช้ประโยชน์กับมันได้มากขึ้น จะมีปุ่มลัดใดบ้าง และทำประโยชน์อย่างไร มาดูกันเลย...




1. เลื่อนลูกศรไปมา  >> Ctrl + ลูกศรซ้าย + ลูกศรขวา

          เลื่อนลูกศรไปมาได้ง่าย ๆ แถมเลื่อนไปเป็นคำ ๆ อีกด้วย เหมาะสำหรับการแก้คำทั้งลบทั้งเพิ่มในระหว่างข้อความได้เป็นอย่างดี




2. คลิกคลุมคำในข้อความ  >> Ctrl + Shift + ลูกศรซ้าย หรือ ลูกศรขวา

          ไม่ต้องใช้เม้าส์คลิกคลุมข้อความให้ปวดนิ้วแต่อย่างใด ปุ่มลัดนี้จะทำหน้าที่ในส่วนนั้น โดยจะเลือกคลุมเป็นคำ ๆ ไปได้อย่างง่าย ๆ




3. ลบคำผิด  >> Ctrl + Backspace

          เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยพิมพ์ข้อความต่าง ๆ แบบผิด ๆ ถูก ๆ ตกคำนั้น ขาดคำนี้ กันอยู่บ้าง ปุ่มลัดนี้ จะช่วยลบข้อความนั้น ๆ ของคุณ เพื่อให้คุณได้พิมพ์ใหม่ให้ถูกต้องต่อไป




4. คลุมข้อความหรือประโยค  >>  Shift + Home หรือ End

          ไม่ต้องใช้เม้าส์ลากคลุมข้อความหรือประโยคที่ต้องการให้ยุ่งยากอีกต่อไป ปุ่มลัดนี้จะทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนให้เอง เพียงเท่านี้ก็หมดปัญหาอย่างเช่น การคลุมข้อความมาไม่ครบถ้วน




5. ย่อหน้าเบราว์เซอร์ทั้งหมด  >>  Menu + M

          ปุ่มนี้มีไว้ใช้สำหรับย่อหน้าเบราว์เซอร์ให้มีขนาดเล็กที่สุด เรียกได้ว่าหากคุณแอบเล่นเฟซบุ๊กหรือเกมในที่ทำงานแล้วล่ะก็ สองปุ่มนี้ล่ะ ช่วยหลบจากหัวหน้าของคุณได้แน่นอน




6. เรียกเปิดเบราว์เซอร์ที่ปิดไว้  >>  Menu + Tab

          ในการใช้คอมพ์แต่ละครั้งแน่นอนว่าจะต้องมีการเปิดเบราว์เซอร์ต่าง ๆ ไว้มากมาย ดังนั้นปุ่มลัดนี้จึงเหมาะมาก ๆ สำหรับการเรียกเปิดเบราว์เซอร์ต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาใช้เม้าส์คลิกแต่อย่างใด




7. ล็อกเครื่อง  >>  Menu + L

          เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เช่น ออกไปพักกลางวัน หรือไม่อยู่หน้าคอมพ์เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ล็อกเครื่องไว้ เพื่อความปลอดภัยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมาใช้คอมพิวเตอร์ของคุณได้




8. เปิดหน้า Task Manager  >>  Ctrl + Shift + Esc

          แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่คุณเปิดมีปัญหาหรือไม่ อยากจะเช็คหาสาเหตุใช่หรือเปล่า ทั้งสามปุ่มนี้จะลัดเข้าสู่หน้า Task Manager เพื่อดูรายละเอียดข้อมูลของหน้าแอพฯ ที่เปิดได้อย่างฉับไว




9. บันทึกหรือจับภาพหน้าเว็บ  >>  Alt + Print Screen

          ในการเข้าดูเว็บไซต์ต่าง ๆ คงมีหลายครั้งที่อยากจะ Save หรือ Capture หน้าเว็บนั้น ๆ เก็บเอาไว้ได้ ดังนั้นแล้วทั้งสองปุ่มนี้ ก็จะช่วยตอบโจทย์ส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี




10. เปลี่ยนชื่อไฟล์  >> ไฟล์ที่จะเปลี่ยนชื่อ + F2

          ถ้าคลิกขวาที่เม้าส์เพื่อต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่คลิกขวาเจ้ากรรมดันไม่ตอบสนองล่ะก็ ให้ลองใช้วิธีที่ง่ายแบบนี้ดู สามารถใช้แทนกันได้ไม่มีปัญหา




11. ขยายภาพเข้า - ออก  >> Ctrl + Mouse's Scroll

          หากคุณเปิดภาพขึ้นมาสักภาพหนึ่งแล้วต้องการจะขยายดูภาพนั้นอย่างละเอียดแล้วล่ะก็ ปุ่มลัดนี้จะช่วยให้ขยายภาพเข้า - ออก ได้ดีมากขึ้น เหมาะกับการใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ เช่น "Word Processors" หรือ "Photoshop" มาก ๆ




12. ดูภาพในขนาดปกติ  >> Ctrl + 0

          สองปุ่มนี้ใช้สำหรับการย้อนกลับไปดูภาพในขนาดปกติ หลังจากที่คุณขยายภาพเข้า - ออกไปแล้ว ถือเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายดายมาก ๆ




13. เปิดแท็บในเบราว์เซอร์ใหม่  >> Ctrl + T

          ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปุ่มลัดที่น้อยคนนักจะจำได้ ปุ่มลัดนี้จะช่วยเปิดแท็บใหม่ได้อย่างง่าย ๆ โดยไม่ต้องเอื้อมมือไปคลิกเม้าส์ให้เสียเวลาแต่อย่างใด




14. เรียกหน้าแท็บที่ปิด  >> Ctrl + Shift + T

          ถ้าคุณบังเอิญเผลอไปคลิกปุ่มปิดแท็บ ที่ใช้งานโดยที่ไม่ได้ตั้งใจแล้วล่ะก็ ไม่ต้องตกใจแต่อย่างใด คุณสามารถเรียกหน้าแท็บนั้นกลับมาได้ด้วยสามปุ่มนี้


 

15. ไฮไลท์ลิงก์ที่ใช้  >> Ctrl + L

          ถ้าคุณต้องการไฮไลท์ลิงก์ที่เปิดอยู่ล่าสุด ให้ใช้ทั้งสองปุ่มนี้ จะทำให้คลุมลิงก์เพื่อก็อปปี้นำไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย
หน้า: [1] 2 3

Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!